ตอนที่ 8 นกฮูก

บ่วงชะตากรรม : ราชันเร้นลับ (ราชันโลกพิศวง) ภาคสอง

ตอนที่ 8 นกฮูก

※ ※ ※ ※ ※

ลูมิแอร์นั้นเพียงแค่เกิดแรงบันดาลใจขึ้นมาอย่างปุบปับ แต่เขาไม่ได้คิดจะลงมือทำจริงๆ

นี่ยังไม่ต้องพูดถึงว่าอายุขัยของนกฮูกนั้นสั้นกว่ามนุษย์มาก ผ่านมาตั้งหลายปีขนาดนี้ ตัวที่บินเข้ามาตอนผู้ใช้เวทเสียชีวิตน่าจะกลายเป็นปุ๋ยไปนานแล้ว เอาแค่เรื่องของจำนวนนกฮูกบนภูเขาลูกนี้ก็ทำให้ลูมิแอร์ถอดใจไปไล่ตามหาแล้วล่ะ

มันมหาศาลเกินไปแล้ว!

นกฮูกตัวนั้นก็ไม่ได้มีลักษณะพิเศษอะไรเด่นชัดด้วย… ไม่สิ…ตามคำเล่าลือไม่ได้ระบุลักษณะเฉพาะตัวเสียหน่อย เมื่อตะกี้นาโรคาเองก็ไม่ได้พูดด้วย… ข้อมูลที่พวกเราถามไปยังไม่ละเอียดมากพอ… เมื่อลูมิแอร์ตั้งสติได้ก็หันไปพูดกับแรมุนด์ด้วยรอยยิ้ม

“นกฮูกที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้เวทอาจจะมีชีวิตอยู่ได้เป็นร้อยปีก็ได้”

เมื่อเห็นแรมุนด์หวาดกลัวมากกว่าเดิม เขาก็พูดปลอบใจ

“วางใจเถอะน่า นี่เป็นทางเลือกสุดท้ายแบบท้ายสุดๆ เลยล่ะ ฉันเองก็ไม่อยากไปเจอสัตว์ประหลาดเหมือนกันนั่นแหละ

“พวกเราลองไปถามคนแก่คนอื่นๆ ดู เผื่อว่าอาจจะได้เบาะแสที่นาโรคามองข้ามไปก็ได้”

จากนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงล่อลวง

“ถ้าหากฉันเป็นผู้ใช้เวท ฉันจะไม่เอาสมบัติทั้งหมดวางไว้ข้างตัวหรือเก็บไว้ในบ้านหรอก ฉันจะต้องแบ่งบางส่วนไปซ่อนไว้ที่ไหนสักแห่งแน่นอน ไม่งั้นจู่ๆ ถ้าเกิดวันดีคืนดีศาลบุกจู่โจมเข้ามากะทันหันจนต้องรีบเผ่นหนีกระเจิง จะได้ไม่ถังแตก ไม่มีเงินติดตัว”

หนึ่งในความรับผิดชอบสำคัญยิ่งของศาลโบสถ์ ‘สุริยันเจิดจรัส’ ก็คือการกำจัดผู้ใช้เวททั้งพ่อมดแม่มด ซึ่ง ‘วีรกรรมอันยิ่งใหญ่’ ของพวกเขานั้นร่ำลือไปทั่วชนบททุกหนแห่ง

“นั่นสิ!” แรมุนด์ฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง

ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความโหยหาคาดหวัง

“น่าเสียดายเนอะ ผ่านมาตั้งหลายปีขนาดนี้ พวกสมบัติที่โบสถ์ค้นเจอแล้วยึดไปคงหมดไปนานแล้ว”

“เด็กน้อยเอ๋ย… ความคิดของนายน่ะอันตรายมากเลยนะ” ลูมิแอร์พูดล้อเขา

ทั้งสองคนไปเยี่ยมเฒ่าปิแอร์กับนาเฟอร์รียาแห่งบ้านมอรี

ถึงแม้ว่าคำตอบของพวกเขาจะคล้ายกับนาโรคา แต่ลูมิแอร์กับแรมุนด์ที่มีประสบการณ์มาเรียบร้อยก็ถามรายละเอียดปลีกย่อยเพิ่มเติมอีก

อย่างเช่นนกฮูกตัวนั้นมีขนาดปานกลางถึงใหญ่ ลักษณะพื้นฐานก็เหมือนกับเผ่าพันธุ์ของมัน มีปากแหลม หน้าคล้ายแมว ขนสีน้ำตาล มีจุดดำอยู่ทั่วตัว ตาขาวเป็นสีน้ำตาลเหลือง ลูกตาสีดำ…

เพียงแต่ขนาดลำตัวของมันใหญ่กว่านกฮูกโดยเฉลี่ย ดวงตาเหมือนจะกลอกไปมาได้ ไม่ได้แข็งทื่อเหมือนพวกพ้องที่ดูเหมือนนกโง่งม

จากที่อธิบายมาทั้งหมด สิ่งที่มันแตกต่างจากตัวอื่นทำให้นกฮูกตัวนี้ดูชั่วร้ายมากยิ่งขึ้น

“ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่มีเบาะแสที่มีประโยชน์แล้ว” ระหว่างเดินบนถนนที่มุ่งไปยังลานจัตุรัสของหมู่บ้าน ลูมิแอร์พูดกับแรมุนด์ “พวกเราคงต้องเปลี่ยนไปเน้นที่เรื่องเล่าลือเรื่องอื่นกันแล้วล่ะ”

“อื้อ” แรมุนด์ไม่ได้ดูคับข้องใจเหมือนเมื่อตอนแรกอีก “เลือกเรื่องไหนกันดีล่ะ?”

เจ้าหมอนี่ทั้งกระตือรือร้นทั้งทุ่มเทซะจริงๆ … ลูมิแอร์แอบชื่นชม คิดว่าจะให้รางวัลแรมุนด์สักหน่อย

เขาผงกศีรษะเล็กน้อย

“กลับไปคิดดูก่อน ไว้พรุ่งนี้ค่อยตัดสินใจ

“แล้วตอนบ่ายฉันจะสอนเทคนิคการต่อสู้ให้นาย”

“ได้!” แรมุนด์ดีใจกับเรื่องไม่คาดฝันนี้

โอรอร์เก่งเรื่องการต่อสู้มาก ไม่อย่างนั้นก็คงจัดการกับพวกผู้ชายป่าเถื่อนกักขฬะในหมู่บ้านไม่ได้ น้องชายเธอก็น่าจะมีฝีมืออยู่เหมือนกัน

หลังบอกลาแรมุนด์ เกร็กแล้ว ลูมิแอร์ก็แยกไปทางย่อยที่นำไปยังบ้านตนเอง

เดินไปได้สักพักเขาก็เห็นว่ามีผู้ชายหลายคนเดินเข้ามาหา

คนที่นำกลุ่มเป็นชายฉกรรจ์ไม่สูงมากนัก ไม่ถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบ สวมเสื้อคลุมยาวสีขาว เส้นผมสีดำบนศีรษะค่อนข้างบาง

เขามีท่าทางน่าเกรงขาม หน้าตาบอกได้เพียงแค่ว่าไม่พิกลพิการ ปลายจมูกเชิดเล็กน้อย ภายในดวงตาสีฟ้าที่มองลูมิแอร์มานั้นมีความรังเกียจและอาฆาตพยาบาทอย่างไม่เก็บงำอำพราง

นี่ก็คือกีโยม เบอเน็ตบาทหลวงประจำโบสถ์ของโบสถ์ ‘สุริยันเจิดจรัส’ แห่งหมู่บ้านกอร์ดูนั่นเอง

“ฉันรอแกมาพักใหญ่แล้ว” กีโยม เบอเน็ตพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “แกตั้งใจพาพวกคนต่างถิ่นนั่นมาที่โบสถ์สินะ?”

“ผมคิดว่าคุณหลับอยู่ข้างในน่ะ” ลูมิแอร์อธิบายอย่างแข็งขันพร้อมกับค่อยๆ ก้าวถอยหลังอย่างเงียบๆ

เขารู้ว่าคนที่ยืนอยู่ข้างๆ กีโยม เบอเน็ตก็คือป็องส์ เบอเน็ตน้องชายของเขา คนคนนี้อายุสามสิบต้นๆ รูปร่างแข็งแรงกำยำ เป็นพวกชอบใช้กำลัง ชอบข่มเหงรังแกชาวบ้าน

ส่วนคนอื่นๆ อีกสองสามคนเป็นอันธพาลที่คอยติดตามเขากับนักบวชประจำโบสถ์

เมื่อเห็นลูมิแอร์ถอยหลัง กีโยม เบอเน็ตก็ส่งสายตาให้ป็องส์

ป็องส์ เบอเน็ตแสยะยิ้มพร้อมกับสืบเท้าก้าวขึ้นหน้า

“เจ้าสารเลวน้อย มารู้จักป็องส์พ่อแกให้ถึงทรวงซะ!”

พูดยังไม่ขาดคำ เขาก็เร่งความเร็วพุ่งใส่ลูมิแอร์ พวกอันธพาลอีกสองสามคนนั่นก็เช่นกัน

สถานที่ชนบทอย่างหมู่บ้านกอร์ดู การพูดจาด้วยเหตุผลไม่ได้ทำให้คนยอมฟัง แม้แต่การขอโทษก็ไม่ช่วยอะไร มีเพียงแค่การใช้กำลังและความรุนแรงถึงจะทำให้คนเคารพนับถือ ในจุดนี้กีโยม เบอเน็ตบาทหลวงประจำโบสถ์เข้าใจอย่างถ่องแท้และคุ้นเคยกับเรื่องแบบนี้มากด้วย ดังนั้นเมื่อเขามั่นใจแล้วว่าลูมิแอร์เป็นคนพาคนต่างถิ่นกลุ่มนั้นมาที่โบสถ์ เขาจึงตัดสินใจเป็นมั่นเหมาะว่าจะต้องจับเจ้าเด็กนี่มาสั่งสอน ทุบตีให้หนักจนลุกจากเตียงไม่ได้ไปเป็นเดือน ทุบตีจนกว่าจะมีใครมาชดใช้แทนเขา

แต่แน่นอนว่าต้องหลีกเลี่ยงโอรอร์ไว้ให้ดี

ส่วนเรื่องทางกฎหมายนั้น ขอเพียงแค่ไปพูดคุยกับบิวส์ผู้บริหารผู้พิพากษาดินแดนก็พอ ถึงยังไงผู้ตรวจการของเมืองก็ไม่ถ่อมาถึงชนบทเพื่อสืบสวนเรื่องทะเลาะเบาะแว้งจิ๊บจ้อยแค่นี้หรอก

ในกรณีที่ไม่มีความขัดแย้งเรื่องประโยชน์จำนวนมากแล้วล่ะก็ บิวส์ในฐานะคนนอกย่อมไม่คิดจะล่วงเกินบาทหลวงประจำโบสถ์อยู่แล้ว

สิ่งที่ทำให้กีโยม เบอเน็ตรู้สึกโชคดีก็คือคนต่างถิ่นกลุ่มนั้นไม่ได้กระจายข่าวเรื่องที่ตนเองกับปัวริสภรรยาของผู้บริหารท้องถิ่นออกไปเพราะอีกฝ่ายยังไม่รู้ว่าผู้หญิงอยู่กับตนคนนั้นเป็นใคร

พวกอันธพาลลงมือรวดเร็วก็จริง แต่ลูมิแอร์เร็วกว่า ทันทีที่ป็องส์เริ่มเอ่ยปาก เขาก็กลับหลังหันวิ่งเตลิดไปเรียบร้อย

เขารู้จักนิสัยและวิธีการลงมือของบาทหลวงประจำโบสถ์คนนี้เป็นอย่างดี

ครั้งหนึ่งเคยมีชาวบ้านไปแจ้งเบาะแสที่โบสถ์ ‘สุริยันเจิดจรัส’ ในเมือง บอกว่ากีโยม เบอเน็ตนอกจากจะมีชู้รักหลายคนแล้วก็ยังยักยอกเงินบริจาคของผู้ที่ศรัทธาต่อองค์ ‘สุริยันเจิดจรัส’ อีกด้วย ตอนอยู่ในหมู่บ้านก็ข่มเหงรังแกคนอื่น ทำตัวไม่เหมือนกับเจ้าหน้าที่ศาสนาแม้แต่นิดเดียว ต่อมาในบ่ายวันหนึ่งชาวบ้านคนนี้ก็ตายโดยไม่ทราบสาเหตุ

ตึก! ตึก! ตึก!

ลูมิแอร์วิ่งฉิวประดุจสายลม

“หยุดนะ รอพ่อแกด้วย!” ป็องส์วิ่งไล่ตามพร้อมกับตะโกน ความเร็วไม่ได้เชื่องช้าแม้แต่น้อย

พวกอันธพาลเองก็ตามมาติดๆ

ลูมิแอร์วิ่งไปตามทางเล็ก ไม่ได้ใช้เส้นทางหลัก เขาพรวดเข้าไปในบ้านหลังที่ใกล้ที่สุด

คนในบ้านกำลังเตรียมมื้อเที่ยงอยู่ในห้องครัวที่ใช้เป็นห้องรับแขกบางเวลา จู่ๆ ก็เห็นมีคนคนหนึ่งวิ่งพรวดพราดเข้ามา

เสียงดังหวือ ลูมิแอร์โฉบผ่านพวกเขาไปแล้วพลิกตัวออกไปทางหน้าต่างด้านหลังห้องครัว

ขณะที่พวกป็องส์วิ่งไล่ตามมา เจ้าของบ้านก็ได้สติ รีบลุกขึ้นมาขวาง

“ทำอะไรน่ะ?

“พวกคุณคิดจะทำอะไร?”

“ไอ้แก่ อย่าเกะกะขวางทาง!” ป็องส์ผลักเจ้าของบ้านออกไปอย่างแรง แต่ก็เสียเวลาไปเล็กน้อย

กว่าที่พวกเขาจะตามไปถึงหน้าต่างและปีนออกไป ลูมิแอร์ก็เข้าไปในทางเล็กอีกเส้นแล้ว

ไล่กวดกันไปพักหนึ่ง พวกเขาก็ถูกลูมิแอร์สลัดทิ้งไม่เห็นหลัง

“ไอ้ลูกหมาข้างถนนเอ้ย!” ป็องส์ถ่มเสมหะสีเขียวลงข้างทาง

* * * * *

นอกบ้านสองชั้นกึ่งใต้ดิน

ลูมิแอร์ปรับลมหายใจแล้วเปิดประตูเข้าไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“หนึ่ง สอง สาม สี่… สอง สอง สาม สี่…” มีเสียงตะโกนดังเป็นจังหวะดังเข้าหูของเขา

ลูมิแอร์มองไปยังพื้นที่โล่งอีกด้านของครัวก็เห็นโอรอร์ที่มัดผมบลอนด์เป็นหางม้า สวมเสื้อเชิ้ตลินินกับกางเกงเข้ารูปสีขาว ใส่รองเท้าบูตหนังแกะสีเข้ม กำลังเต้นหย็องแหย็ง เหงื่อเต็มหน้า

ตามธรรมเนียมของหมู่บ้านกอร์ดูนั้น พื้นที่ส่วนใหญ่ของชั้นล่างจะใช้เป็นครัว และเป็นพื้นที่หลักของบ้าน ไม่ว่าจะทำอาหารหรือกินอาหารก็อยู่ตรงนี้ การสังสรรค์กับแขกก็อยู่ตรงนี้เช่นกัน

ออกกำลังกายอีกแล้ว… ลูมิแอร์คุ้นกับฉากเหตุการณ์แบบนี้มานานแล้ว จึงไม่รู้สึกแปลกแม้แต่น้อย

โอรอร์มักทำเรื่องแปลกๆ อยู่เสมอ ถึงถามไปก็ไม่ได้คำตอบอยู่ดี

อย่างน้อยการออกกำลังกายก็เป็นเรื่องดีล่ะ แถมยังทำให้รูปร่างดีด้วย… ลูมิแอร์เขยิบเข้าไปใกล้ๆ แล้วเฝ้ามองอย่างเงียบๆ

ผ่านไปครู่หนึ่งโอรอร์ก็หยุดออกกำลังกาย ก้มลงไปปิดเครื่องบันทึกเสียงสีดำที่ใช้แบตเตอรี่

เธอรับผ้าขนหนูสีขาวจากลูมิแอร์ ขณะเช็ดเหงื่อบนหน้าผากก็ออกคำสั่งไปด้วย

“จำไว้ด้วยว่าบ่ายนี้นายต้องมาเรียนการต่อสู้”

“ให้เรียนทั้งหนังสือ ให้เรียนทั้งการต่อสู้ เธอเรียกร้องฉันเยอะเกินไปแล้วมั้ง?” ลูมิแอร์บ่นอย่างไม่จริงจัง

โอรอร์เหลือบมองเขา พูดกลั้วหัวเราะ

“นายต้องจำไว้ให้ดี เป้าหมายของเราก็คือจะต้องพัฒนาทักษะรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นคุณธรรม สติปัญญา ร่างกาย สุนทรียภาพ และงานหนัก [1] !”

ยิ่งพูดไปเธอก็ยิ่งมีความสุข ราวกับนึกถึงความทรงจำอันงดงามหรือไม่ก็เรื่องสนุกสักอย่างขึ้นมา

แค่เรื่องคุณธรรมฉันก็ไม่ผ่านแล้วล่ะ… ลูมิแอร์พึมพำเงียบๆ

เขาเปลี่ยนเรื่องถาม

“เรียนการต่อสู้แบบไหนเหรอ?”

เรื่องหนึ่งที่เขาไม่อาจเข้าใจได้ก็คือโอรอร์ที่ดูบอบบางอ่อนแอนั้นที่แท้แล้วกลับเป็นยอดนักสู้ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ต่อสู้หลายแขนง ทุกครั้งตนเองจะถูกจัดการเสียหมอบกระแต รับมือไม่ได้เลย

โอรอร์ครุ่นคิดอย่างจริงจังแล้วโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย แหงนหน้าครึ่งหนึ่งจ้องมองนัยน์ตาลูมิแอร์

แล้วเธอก็หัวเราะเหอะๆ พูดเสียงดัง

“วิชาต้านหมาป่า!” [2]

“หือ?” ลูมิแอร์ถามอย่างประหลาดใจ “นี่มันเอาไว้สอนเด็กผู้หญิงไม่ใช่หรือไง?”

โอรอร์ยืนตัวตรง สั่นศีรษะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ใช้คำพูดที่เปี่ยมด้วยน้ำใสใจจริง

“เด็กผู้ชายเวลาออกนอกบ้านก็ต้องป้องกันตัวเองให้ดี

“มีใครบอกหรือไงว่าเด็กผู้ชายจะไม่เจอพวกหมาป่าวิปริตจิตวิตถารเข้าน่ะ?”

รอยยกยิ้มที่มุมปากเธอค่อยๆ เด่นชัดจนไม่อาจปกปิดไว้ได้

ด้วยเป็นเพราะไม่ทราบว่าพี่สาวเพียงแค่พูดล้อเล่นหรือว่าวางแผนทำอะไรจริงๆ กันแน่ ลูมิแอร์จึงได้แต่นิ่งเสียตำลึงทองดีกว่า ก่อนจะรับผ้าขนหนูสีขาวกลับมาแล้วเดินไปที่บันได

ทันใดนั้นเท้าเขาก็กระตุกราวกับสะดุดของอะไรเข้า จากนั้นก็พุ่งเซถลาไปข้างหน้าอย่างแรง

ลูมิแอร์รีบเกร็งกล้ามเนื้อที่เอวและท้องน้อยกลางอากาศ เหยียดแขนไปกดเก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างแล้วตีลังกาพลิกตัว ‘ลงจอด’ ได้อย่างเฉียดฉิว

โอรอร์ชักเท้ากลับมาพร้อมกับหัวเราะฮิฮะ

“หนึ่งในข้อพึงระวังใส่ใจในยามต่อสู้ก็คือให้คอยระวังสังเกตสภาพแวดล้อมเอาไว้ตลอดเวลา ห้ามประมาทเลินเล่อแม้แต่นิดเดียว

“จำได้แล้วหรือยัง? เจ้าน้องชายไก่อ่อน”

เมื่อครู่นี้มือขวาเธอนั้นจับเสื้อกั๊กของลูมิแอร์เอาไว้แล้ว แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายควบคุมร่างกายไว้ได้ จึงชักมือกลับมา

“ก็เป็นเพราะไว้ใจเธอมากไปนั่นแหละน่า…” ลูมิแอร์บ่นอุบอิบ

แต่หลังจากครุ่นคิดอย่างละเอียดก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไว้ใจไปก็เท่านั้นแหละ เวลาอยู่ต่อหน้าโอรอร์ตนเองต้องเจออะไรแบบนี้มาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว

โอรอร์กระแอมแล้วควบคุมสีหน้า

“คุยกับผู้หญิงคนนั้นได้เรื่องยังไงบ้าง?”

ลูมิแอร์เล่าถึงการสนทนาให้ฟังคร่าวๆ รอบหนึ่งแล้วสุดท้ายก็พูดขึ้น

“ฉันกะว่าจะรอให้เพื่อนเธอตอบจดหมายกลับมาก่อน แล้วค่อยมาพิจารณาเรื่องสำรวจความฝันน่ะ”

“เลือกได้ฉลาดดี” โอรอร์ผงกศีรษะอย่างพึงพอใจ

จากนั้นลูมิแอร์ก็เปลี่ยนหัวข้อ

“มื้อเที่ยงกินอะไรดี?”

“ขนมปังปิ้งเมื่อเช้ายังมีเหลืออยู่ ฉันจะทำซี่โครงแกะย่างให้นายสี่ชิ้นละกัน” โอรอร์ครุ่นคิด

“แล้วเธอล่ะ?” ลูมิแอร์ถามต่อ

“ฉันเพิ่งกินไก่ฉีกกับเห็ดไผ่ไปน่ะ แล้วก็ซุปชีสหัวหอม ครั้งก่อนลองทำดูรู้สึกว่า…”

เธอยังพูดไม่ทันจบดี จู่ๆ ร่างก็ชะงักแข็งทื่อ

วินาทีถัดมาเธอก็ยกสองมือขึ้นอุดหู กล้ามเนื้อใบหน้าค่อยๆ บิดเบี้ยวเหยเก

นี่ทำให้ความงดงามของเธอกลายเป็นดุร้ายน่ากลัวอยู่บ้าง

ลูมิแอร์มองดูเงียบๆ สายตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล

ผ่านไปครู่หนึ่ง โอรอร์ก็ถอนหายใจยาว ค่อยๆ กลับเป็นปกติ

หน้าผากเธอชุ่มโชกไปด้วยเหงื่ออีกครั้ง

“เป็นไงบ้าง?” ลูมิแอร์เอ่ยถาม

โอรอร์ยิ้ม

“เสียงดังในหูอีกแล้วน่ะ นายก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือไงว่าฉันมีโรคประจำตัว”

ลูมิแอร์ไม่ได้ถามต่อ เขาเปลี่ยนหัวข้อ

“อื้อ งั้นฉันทำมื้อเที่ยงให้เอง เธอไปพักเถอะ”

ทุกครั้งที่เกิดเหตุเช่นนี้ขึ้นมา ความคิดที่ต้องการมีพลังพิเศษของเขาก็ยิ่งทวีความรุนแรงและร้อนรนมากขึ้น

* * * * *

[1] เป็นคำขวัญของสถาบันการศึกษาในประเทศจีน 德智体美劳全面发展,不忘初心牢记使命,成为一个对社会有用的人! แปลว่า พัฒนาทักษะรอบด้าน คุณธรรม สติปัญญา ร่างกาย สุนทรียภาพ และงานหนัก จดจำพันธกิจ อย่าลืมความตั้งใจเดิม เป็นคนที่มีประโยชน์ต่อสังคม

[2] วิชาต้านหมาป่า (防狼术) หมายถึงเทคนิคการป้องกันตัวที่เรียบง่ายและดุร้ายสำหรับให้ผู้หญิงฝึกไว้ป้องกันตัวจากผู้ชาย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บ่วงชะตากรรม : ราชันเร้นลับ 2

ตอนที่ 9 นิตยสาร

ตอนที่ 15 พูดคุยสอบถามข้อมูล