ตอนที่ 6 ซากปรักหักพัง
บ่วงชะตากรรม : ราชันเร้นลับ (ราชันโลกพิศวง) ภาคสอง
ตอนที่ 6 ซากปรักหักพัง
※ ※ ※ ※ ※
ลูมิแอร์มองไปรอบๆ ตามจิตใต้สำนึก เขาเห็นโต๊ะ เก้าอี้ ชั้นหนังสือ ตู้เสื้อผ้า และเตียงนอนที่คุ้นตา
นี่เป็นห้องนอนของเขาจริงๆ แต่มันถูกปกคลุมด้วยหมอกสีเทาจางๆ
ความฝันรู้ตัว [1] เหรอ? นี่ฉันกำลังอยู่ในความฝันรู้ตัวงั้นเหรอ? ม่านตาลูมิแอร์ขยายตัวทันที
ความฝันรู้ตัวก็คือแม้ขณะที่กำลังฝัน แต่คนที่ฝันยังคงมีสติรู้ตัวอยู่ สามารถคิดและจดจำได้ นี่เป็นสภาวะที่ค่อนข้างพบเจอได้ยากชนิดหนึ่ง ผู้ที่ได้รับการฝึกฝนมาเป็นพิเศษจะยิ่งมีแนวโน้มในการกระตุ้นให้เกิดสภาวะนี้สูงขึ้น
ก่อนหน้านี้โอรอร์เคยใช้สารพัดวิธีในการสร้างความฝันรู้ตัวเพื่อไขความลับของความฝันหมอกเทาของลูมิแอร์ให้กระจ่าง จะได้ช่วยเขาขจัดอันตรายซ่อนเร้นให้หมดไป แต่ก็ล้มเหลวทุกครั้ง
แต่แล้วในขณะนี้ ลูมิแอร์พบว่าตัวเองกลับมีสติขึ้นมาในความฝันได้โดยที่ไม่รู้ว่าทำไม
หลังจากที่ตกตะลึงกึ่งประหลาดใจไปชั่วขณะ ลูมิแอร์ก็รีบตั้งสติและนึกถึงความเป็นไปได้ข้อหนึ่งขึ้นมาได้
“หรือว่านี่จะเป็นเพราะไพ่ทาโรต์ ‘ไม้เท้าหมายเลขเจ็ด’ ใบนั้น?
“ผู้หญิงคนนั้นบอกว่าไพ่ใบนี้จะช่วยฉันไขความลับของความฝันได้…
“ดังนั้น…หน้าที่ของมันก็คือทำให้ฉันเข้าสู่สภาวะความฝันรู้ตัว จะได้ไปสำรวจพื้นที่ที่ถูกหมอกเทาปกคลุมเอาไว้น่ะเหรอ?
“อืม…เท่าที่จำได้ ถ้าเทียบกันแล้วหมอกเทาตอนนี้ดูเหมือนว่าจะจางลงกว่าครั้งที่แล้วนะ จางลงไปเยอะเลย…”
ระหว่างที่หัวสมองกำลังครุ่นคิด ลูมิแอร์ก็หมุนตัวรีบเดินไปยังเก้าอี้เอนที่ด้านข้าง แล้วใช้สองมือยันโต๊ะริมผนังมองออกไปนอกหน้าต่าง
ภาพที่เข้าสู่ครรลองสายตาเขานั้นไม่ใช่ทิวทัศน์ที่คุ้นตา
ความฝันนี้ไม่ได้จำลองขึ้นจากหมู่บ้านกอร์ดูที่เขาอาศัยอยู่
ภายใต้หมอกสีควันบุหรี่เบาบาง สิ่งที่สะดุดตาที่สุดก็คือยอดเขาสูงตระหง่านที่ประกอบไปด้วยหินสีน้ำตาลแดงกับดินสีแดงน้ำตาลล้วนๆ มันสูงขึ้นไปบนฟ้าราวยี่สิบสามสิบเมตร
ที่ล้อมรอบภูเขาเอาไว้เป็นแถวของสิ่งก่อสร้างซ้อนกันเป็นชั้นๆ เป็นวงๆ พวกมันบ้างก็พังถล่มลงมากองกับพื้น บ้างก็ถูกเผาไหม้เกรียมจนนึกไม่ออกว่าสภาพดั้งเดิมที่สมบูรณ์นั้นเป็นเช่นไร
จากจุดที่ลูมิแอร์มองออกไป พวกมันเหมือนกับป้ายสุสานที่พังทลาย เรียงเป็นวงล้อมที่ระเกะระกะ
พื้นดินเต็มไปด้วยหลุมบ่อและก้อนหินใหญ่น้อยมากมายตลอดทั่วทั้งบริเวณ ไม่มีหญ้าขึ้นแม้แต่ต้นเดียว
นอกจากนี้ หมอกที่อยู่สูงขึ้นไปนั้นก็ยังหนาทึบ ลูมิแอร์จึงไม่อาจยืนยันได้ว่าบนท้องฟ้ามีพระอาทิตย์อยู่หรือไม่ รู้เพียงแค่ว่าที่นี่มืดมากจนราวกับเป็นค่ำคืนรัตติกาลที่มีเพียงแสงดาว
หลังจากสังเกตอย่างจริงจังอยู่ครู่ใหญ่ เขาก็พึมพำกับตัวเองเบาๆ
“นี่ก็คือฉากที่ฝันเห็นมาตลอดงั้นเหรอ?”
สภาพที่แท้จริงของความฝันที่ตามหลอกหลอนเขามาหลายปี มันเป็นแบบนี้เองเหรอ?”
หลังจากงุนงงไปช่วงสั้นๆ ลูมิแอร์ก็คิดถึงคำถามที่จริงจังมากขึ้น
“แล้วสิ่งที่เรียกว่าความลับของความฝันมันซ่อนอยู่ที่ไหนล่ะ?
“อยู่ที่ยอดเขาลูกนั้น หรือว่าอยู่ในซากอาคารที่พังทลายหลังไหนสักหลัง?”
ลูมิแอร์ไม่ได้ใจร้อนผลุนผลันเปิดห้องนอนออกไป แล้วเข้าไปบริเวณนั้นเพื่อสำรวจความฝัน เขายังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหน มองดูทุกๆ ที่ที่สามารถมองเห็นได้
แล้วทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าในซากอาคารที่อยู่รอบๆ ยอดเขานั่นมีเงาร่างหนึ่งพุ่งผ่านไป
เป็นเพราะบ้านที่อยู่นั้นมีเพียงแค่สองชั้น ไม่ได้สูงมากพอ ถึงหมอกเทาจะเบาบางลงไปเยอะแล้วก็ตามแต่ก็ยังคงมีอยู่ ในชั่วขณะหนึ่งลูมิแอร์จึงไม่อาจฟันธงได้ว่าตนเองนั้นตาฝาดไปหรือไม่
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ค่อยๆ ผ่อนหายใจออก พูดกับตัวเองในใจ
“ไม่ต้องรีบ อดทนไว้… ไม่ต้องรีบ อดทนไว้…
“ดูแล้วความฝันนี่น่าจะมีความลับอยู่ไม่น้อยจริงๆ มันเหมือนจะไม่ได้เป็นความฝันของฉันทั้งหมดเสียทีเดียว การบุ่มบ่ามไปสำรวจไม่ดูตาม้าตาเรืออาจเจออันตรายได้…
“อืม… พรุ่งนี้เช้าลองไปหาผู้หญิงคนนั้นดูว่าจะถามรายละเอียดอะไรได้บ้างหรือเปล่า จากนั้นค่อยตัดสินใจว่าจะทำยังไงต่อดี…”
ระหว่างที่ใช้ความคิด ลูมิแอร์ก็ละสายตากลับมา เตรียมตัวออกจากความฝันนี้ไปนอนหลับพักผ่อน
ทว่าเขาที่กำลังอยู่ในสภาวะความฝันรู้ตัวแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะต้องทำเช่นไรถึงจะทำให้ตัวเองตื่นขึ้นมาได้จริงๆ
หลังจากที่ผ่านความล้มเหลวมาหลายครั้ง เขาก็ล้มตัวลงบนเตียง พยายามทำให้ตัวเองคิดนู่นคิดนี่สะเปะสะปะเพื่อจำลองสภาวะขณะที่กำลังนอนหลับ
ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเพียงใด ในที่สุดลูมิแอร์ก็ลุกพรวดขึ้นมานั่งอย่างไม่รู้ตัว เขามองเห็นแสงสีทองอ่อนๆ ส่องลอดผ่านผ้าม่านในห้องเข้ามา
“ตื่นมาได้เสียที…
“อย่างที่คิดไว้เลย… ตอนอยู่ในความฝันถ้าหากทำให้อยู่ในสภาวะสะลึมสะลือเหมือนกำลังนอนหลับก็จะหลุดออกมาได้…”
ลูมิแอร์ถอนใจโล่งอก พูดพึมพำกับตัวเองอย่างไร้เสียง
แล้วในตอนนี้ก็มีเสียงเคาะประตูก๊อกๆๆ ดังขึ้น
“โอรอร์เหรอ?” ลูมิแอร์ใจกระตุกวูบ กังวลว่าจะเกิดเรื่องขึ้น
“ฉันเอง” เสียงโอรอร์ดังเข้ามาในห้อง
ลูมิแอร์พลิกตัวลุกจากเตียง รีบเดินมาที่ประตู เขาคว้าที่จับแล้วดึงเปิดออก
คนที่อยู่หน้าประตูเป็นโอรอร์จริงๆ เธอสวมชุดนอนผ้าไหมสีขาว ผมสีทองยาวสลวยระอยู่ด้านหลัง
“เป็นไงบ้าง?” ราวกับเธอมั่นใจมากว่าลูมิแอร์เพิ่งจะตื่นนอน
ลูมิแอร์ไม่ได้ปิดบัง เล่าให้โอรอร์ฟังว่าตนเองได้ไปเจออะไรมาบ้าง
โอรอร์ผงกศีรษะราวกับกำลังครุ่นคิด
“หน้าที่ของไพ่ใบนั้นก็คือทำให้นายมีความฝันรู้ตัวสินะ…”
จากนั้นเธอก็ถามต่อ
“แล้วนายคิดจะทำยังไงต่อ?”
ลูมิแอร์ร้อง “อืม” คำหนึ่ง
“เดี๋ยวหาอะไรใส่ท้องเสร็จแล้วฉันจะไปหาผู้หญิงคนนั้นหน่อย ดูว่าจะได้ข้อมูลอะไรเพิ่มบ้าง แล้วก็ดูว่าเธอตั้งใจจะทำอะไรกันแน่”
“ได้” โอรอร์ไม่ได้คัดค้าน
เธอพูดต่ออีก
“ฉันจะเขียนจดหมายถามใครสักคนเรื่องความฝันที่นายเล่ามา ดูว่ามันสื่อถึงอะไร”
พูดมาถึงตรงนี้เธอก็เหลือบมองสีหน้าประหม่ากังวลของลูมิแอร์ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“วางใจเถอะน่า ฉันจะเปลี่ยนรายละเอียดบางอย่าง ไม่ได้เล่าออกไปรวดเดียวจนหมดหรอก คนที่สอนหลักการว่าต้องทำอะไรทีละขั้นทีละตอนให้นายก็คือฉันคนนี้ไม่ใช่หรือไง
“อืม… ตอนที่คุยกับผู้หญิงคนนั้นน่ะ อย่าไปคาดคั้นอะไรล่ะ พยายามเป็นมิตรเข้าไว้ นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเรากลัวเธอ แต่การมีสหายเพิ่มมาหนึ่งคนย่อมต้องดีกว่ามีศัตรูเพิ่มมาหนึ่งคนใช่ไหมล่ะ”
“ไม่มีปัญหา” ลูมิแอร์เห็นด้วยหมดใจ
* * * * *
ณ ร้านเหล้าเก่า หมู่บ้านกอร์ดู
ทันทีที่ลูมิแอร์เข้ามาในร้านเหล้า เขาก็ปรี่เข้าไปหามอริส เบอเน็ตเจ้าของร้านเหล้าที่เป็นบาร์เทนเดอร์พาร์ตไทม์ทันที
“ผู้หญิงต่างถิ่นที่ข้างบนนั่นพักอยู่ห้องไหนเหรอ?”
ตัวร้านเหล้าเก่าเองก็เป็นเรือนแรมเพียงแห่งเดียวของหมู่บ้านอีกด้วย บนชั้นสองมีห้องพักทั้งหมดหกห้อง
มอริส เบอเน็ตไม่ได้อ้วนเผละและไม่ได้สูงใหญ่ เขามีผมดำตาฟ้าเช่นเดียวกับชาวบ้านส่วนมาก ลักษณะเด่นที่เห็นชัดที่สุดก็คือจมูกที่เป็นสีแดงตลอดเวลาอันเกิดจากการดื่มเหล้าอยู่เป็นนิจ
เขาเป็นญาติกับกีโยม เบอเน็ตบาทหลวงประจำโบสถ์ แต่ไม่ใช่ญาติใกล้ชิด เป็นลูกพี่ลูกน้องห่างๆ ทางฝั่งบิดา
“นายจะถามไปทำไม?” มอริส เบอเน็ตถามด้วยความสงสัย “ผู้หญิงที่มาจากเมืองใหญ่แบบนั้นเขาจะชายตามองคนบ้านนอกอย่างนายหรือไง?”
ใบหน้าเขาแสดงความสงสัยใคร่รู้ออกมาอย่างเปิดเผย มีความสนอกสนใจอย่างมากต่อเรื่องความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาระหว่างชายหญิง
“ตัวคุณเองก็เป็นคนบ้านนอก ไม่ได้มีฐานะหรือความรู้อะไรเหมือนกันนั่นแหละ” ลูมิแอร์แค่นเสียง จากนั้นก็หาเหตุผลเรื่อยเปื่อยขึ้นมาอ้าง “เมื่อคืนผู้หญิงคนนั้นเขาลืมของไว้แล้วผมไปเจอเมื่อตอนเช้า ก็เลยจะเอามาคืนให้”
“จริงเหรอ?” มอริส เบอเน็ตแสดงสีหน้าสงสัยในความน่าเชื่อถือของคำพูดลูมิแอร์
เจ้าหมอนี่พูดสิบประโยคเชื่อได้แค่สอง ที่เหลือโกหกทั้งเพ
“ไม่งั้นจะเป็นอะไรได้อีกล่ะ? คุณคิดว่าเธอคนนั้นจะสนใจมองผมด้วยเรอะ?” ลูมิแอร์พูดอย่างเต็มปากเต็มคำ
“นั่นสินะ” มอริส เบอเน็ตคล้อยตาม “เธอพักอยู่ห้องที่ใกล้ลานจัตุรัสน่ะ อยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้องน้ำ”
หลังจากมองลูมิแอร์เดินขึ้นบันไดไปแล้ว เจ้าของร้านเหล้าเช็ดแก้วเหล้าไปก็พูดพึมพำเบาๆ ไปด้วย
“ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ซะทีเดียว บางทีคนเราก็อยากจะลองรสชาติใหม่ๆ ดูบ้างแหละ…”
ที่เขาพึมพำออกไปก็พอจะทำให้ลูมิแอร์ได้ยินอยู่บ้าง
* * * * *
บนชั้นสองของร้านเหล้า บนทางเดินที่มืดสลัวนั้น ลูมิแอร์เจอห้องน้ำอยู่หนึ่งห้อง จากนั้นก็มองเห็นแผ่นกระดาษสีขาวแขวนไว้ที่ด้ามจับทองเหลืองของบานประตูไม้สีแดงเข้มในฝั่งตรงข้าม
บนนั้นเขียนด้วยตัวอักษรภาษาอินทิสว่า
‘กำลังพักผ่อน
‘กรุณาอย่ารบกวน’
ลูมิแอร์ก้มหน้ามองอยู่สองสามวินาที แทนที่จะรีบร้อนเคาะประตูห้องเขากลับถอยหลังไปสองก้าวแล้วยืนพิงผนัง
เขาตั้งใจว่าจะรออยู่ตรงนี้จนกว่าผู้หญิงคนนั้นจะออกมา
ชีวิตเร่ร่อนในสมัยก่อนได้สอนเขาว่าเมื่อโอกาสมาถึงก็ต้องพยายามไขว่คว้าให้ถึงที่สุด ต้องไม่ลังเล ต้องรู้จักมองการณ์ไกลใคร่ครวญให้มาก อย่ามัวแต่ห่วงศักดิ์ศรีหน้าตา อย่าขี้ขลาดใจเสาะ ไม่อย่างนั้นโอกาสจะหลุดลอยไป ต้องกลับไปสู่วงจรอันน่าเวทนายิ่งกว่าเดิม ถ้าหากโอกาสยังไม่ปรากฏก็ต้องอดทนอดกลั้นและรอคอยอย่างสุขุมเยือกเย็น
เวลาค่อยๆ ผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า ลูมิแอร์ยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่แสดงอาการหงุดหงิดแม้เพียงน้อยนิด
หากไม่เป็นเพราะเขาขยับมือขยับเท้าเป็นครั้งคราว เกรงว่าถ้ามีคนเฝ้ามองดูอยู่ก็คงคิดว่าเป็นรูปปั้นเป็นแน่
ในที่สุดประตูบานนั้นก็เปิดออก
ผู้หญิงคนนั้นเปลี่ยนเป็นชุดเดรสยาวสีเขียวอ่อนมีขอบสีขาว ผมสีน้ำตาลมัดรวบเป็นมวยไว้ด้านหลัง
ดวงตาสีฟ้าอ่อนของเธอชำเลืองดูลูมิแอร์แล้วก้มมองป้ายกระดาษที่ลูกบิดประตู ก่อนจะเอ่ยถามเจือรอยยิ้ม
“รอมานานแค่ไหนแล้ว?”
เธอไม่แปลกใจแม้แต่น้อยที่ลูมิแอร์อยู่ที่นี่
ลูมิแอร์เดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว
“ไม่สำคัญหรอก”
เขาพยายามรักษาระดับน้ำเสียงไม่ให้ดูร้อนใจมากนัก
“คุณอยากจะถามอะไรล่ะ?” ผู้หญิงคนนั้นพูดเข้าประเด็นโดยตรง
“ให้พูดที่นี่เลยเหรอ?” ลูมิแอร์มองไปรอบๆ
ผู้หญิงคนนั้นตอบกลับด้วยรอยยิ้มจางๆ
“ถ้าคุณไม่ว่าอะไร ฉันก็ไม่ใส่ใจหรอก”
ลูมิแอร์สังเกตเห็นว่าพวกไรอันลีอาห์ที่เดิมทีพักอยู่ที่นี่ดูเหมือนว่าตอนนี้จะไม่อยู่กัน บนชั้นสองของร้านเหล้านอกจากตนเองกับผู้หญิงที่อยู่เบื้องหน้าคนนี้ก็ไม่มีคนอื่นอยู่อีก
เขาเรียบเรียงถ้อยคำแล้วเอ่ยขึ้น
“ในความฝันนั่นมีความลับอะไรซ่อนอยู่เหรอ?”
ผู้หญิงคนนั้นหัวเราะออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“คนที่ตอบคำถามนี้ควรจะต้องเป็นคุณมากกว่า ไม่ใช่ฉัน”
เธอหยุดไปอึดใจก่อนจะพูดต่อ
“ฉันบอกได้เพียงแค่ว่าคุณสามารถได้รับพลังพิเศษบางอย่างมาจากที่นั่นได้”
พลังพิเศษ… ลูมิแอร์หัวใจกระตุกวูบก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ได้พลังพิเศษในความฝันแล้วจะไปทำอะไรได้?
“มันไม่ได้ส่งผลต่อความเป็นจริงเสียหน่อย”
ผู้หญิงคนนั้นยิ้ม
“ในแดนพิเศษ อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
“ไม่แน่นะ บางทีมันอาจจะเป็นจริงขึ้นมาก็ได้”
พลังพิเศษที่ฉันลำบากลำบนดั้นด้นตามหา สุดท้ายมันก็เข้ามาในชีวิตฉันด้วยวิธีแบบนี้งั้นเหรอ? ลูมิแอร์เงียบงันไป
ผู้หญิงคนนั้นระงับสีหน้าก่อนจะพูดเสริมอย่างจริงจัง
“ฉันต้องขอเตือนคุณไว้ด้วยว่าที่นั่นน่ะเต็มไปด้วยอันตราย ถ้าตายอยู่ที่นั่น คุณก็จะตายอย่างสมบูรณ์”
การสำรวจความฝันนั่น ถ้าเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมาก็จะทำให้ฉันตายในความเป็นจริงงั้นเหรอ? ลูมิแอร์ไม่ค่อยเข้าใจมากนัก แต่ก็เลือกที่จะเชื่อ
ข้อแรก…ดูเหมือนว่าความฝันหมอกเทาที่กวนใจมาหลายปีค่อนข้างจะพิเศษอยู่บ้างสินะ ข้อสองคือโอรอร์บอกว่าระวังไว้ก่อนก็ไม่เสียหลาย ให้ทำเป็นว่าปัญหานี้ดูท่าจะลำบาก และผลที่ตามมาก็ค่อนข้างหนัก แบบนี้ก็จะได้ใส่ใจให้มากหน่อย ไม่ประมาททำอะไรหละหลวมเลินเล่อ
ไม่กี่วินาทีถัดมาเขาก็เอ่ยถามขึ้น
“แล้วถ้าผมไม่ไปสำรวจล่ะ หลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น”
“ถ้าว่ากันตามทฤษฎีแล้ว มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก เรื่องนี้จะทำหรือไม่ทำก็ไม่มีใครไปบังคับคุณ” ผู้หญิงคนนั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “แต่ฉันก็รับประกันไม่ได้ว่าพอเวลาผ่านไปมันจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า ซึ่งถ้าหากเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นมา ความเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนไปในทางร้ายจะสูงกว่าเปลี่ยนไปในทางดีค่อนข้างมาก”
“สูงกว่าแค่ไหน?” ลูมิแอร์ถามต่อ “ซัก 90% ต่อ 10% หรือเปล่า?”
“ไม่ใช่… 99.99% ต่อ 0.01% ต่างหาก” ผู้หญิงคนนั้นพูดเสริมอย่างจริงจัง “แต่แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่การประเมินของฉันคนเดียวเท่านั้น คุณจะไม่เชื่อก็ได้”
ลูมิแอร์ตกอยู่ในความสองจิตสองใจขึ้นมาทันที ความคิดอ่านประดังเข้ามาในหัวอย่างต่อเนื่อง
“ช่วงนี้ฉันรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าความฝันนี้มีอันตรายซ่อนอยู่ การปล่อยวางไม่สนใจมัน นับเป็นตัวเลือกที่แย่ที่สุด
“แต่ถ้าต้องการสำรวจจริงๆ ถ้าหากไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันสักอย่าง โอกาสเจอเรื่องไม่คาดฝันจะมีสูงมาก…
“หรือว่ารอให้โอรอร์ได้รับข้อมูลอะไรมาจากเพื่อนทางจดหมายเสียก่อนถึงค่อยไปลองสำรวจดี?
“แต่ถ้าแบบนั้น โอรอร์ต้องไม่มีทางเห็นด้วยแน่ที่ฉันจะมีโอกาสได้รับพลังพิเศษหลังจากเข้าไปสำรวจความฝัน…
“ที่ฉันกำลังสืบหาความจริงของเรื่องเล่าลือก็เพราะต้องการตามหาพลังพิเศษไม่ใช่หรือไง…
“แต่มันก็อันตรายมาก อาจจะตายขึ้นมาจริงๆ ก็ได้…
“แล้วถ้าลองเริ่มการสำรวจจากริมๆ ชายขอบของซากปรักหักพังในความฝันก่อนล่ะ? ไม่ต้องเข้าไปลึกมาก นี่ก็เท่ากับว่ากำลังรวบรวมข้อมูลไปด้วย…
“อืม… เล่าเรื่องที่คุยกันเมื่อตะกี้ให้โอรอร์ฟังได้ แต่จะพูดถึงว่ามีความเป็นไปได้ที่จะได้รับพลังวิเศษมาไม่ได้เด็ดขาด…”
หลังจากที่ความคิดต่างๆ เริ่มสงบลง ลูมิแอร์ก็มองผู้หญิงเบื้องหน้าแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก
“คุณเป็นใครกันแน่?
“ทำไมถึงให้ไพ่ทาโรต์ใบนั้นผมมา? ทำไมถึงให้โอกาสผมได้เข้าไปสำรวจในความฝันนั่น?”
ผู้หญิงคนนั้นเผยรอยยิ้มจางๆ
“ไว้รอให้คุณไขความลับของความฝันนั่นได้เมื่อไหร่ ฉันถึงจะบอกเรื่องนี้ให้ฟัง”
* * * * *
[1] ความฝันรู้ตัว (lucid dream) เป็นความฝันประเภทหนึ่งที่ผู้ฝันรู้ตัวว่ากำลังฝันในขณะที่ฝัน ในความฝันรู้ตัวนั้นผู้ฝันอาจจะควบคุมสภาวะแวดล้อมและการกระทำในความฝันได้ในระดับหนึ่ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น