ตอนที่ 27 ความเปลี่ยนแปลงห้าอย่าง
ราชันเร้นลับ (ราชันโลกพิศวง) ภาคสอง : บ่วงชะตากรรม
ตอนที่ 27 ความเปลี่ยนแปลงห้าอย่าง
※ ※ ※ ※ ※
ปฏิกิริยาแรกของลูมิแอร์หลังจากที่เขาตื่นขึ้นมาท่ามกลางหมอกเทานั้นไม่ใช่การตรวจสอบสภาพร่างกายของตัวเอง แต่เป็นการลุกขึ้นนั่ง มองไปยังโต๊ะริมหน้าต่าง
ดอกเกาลัดแดงสามดอกกับขวดแก้วบรรจุใบป็อปลาร์ป่นวางนิ่งๆ อยู่ตรงนั้น โดยได้รับแสงจางๆ ที่ฝ่าหมอกหนาทึบจากฟ้าลงมา
“เธอส่งวัตถุดิบเข้ามาได้จริงๆ ด้วย…” ลูมิแอร์ถอนใจโล่งอก ลุกลงมาจากเตียงแล้วขยับตัวไปมา
เขาดีใจที่พบว่าความเจ็บปวดที่คอและแผ่นหลังได้ปลาสนาการไปหมดสิ้นแล้ว เช่นเดียวกับความรู้สึกไม่สบายในร่าง
“เป็นอย่างที่คิดเลย พอในความเป็นจริงหายดีแล้ว ในความฝันก็หายตามไปด้วย ถึงแม้ว่าอาการบาดเจ็บของทั้งสองฝั่งจะไม่เท่ากันก็ตาม…” ลูมิแอร์รีบเดินไปยังหน้าตู้เสื้อผ้าที่มีกระจกเต็มตัวติดไว้ ถอดเสื้อผ้าท่อนบนออกแล้วมองสำรวจทั่วตัว
รอยนิ้วห้อเลือดห้ารอย รวมถึงรอยฟกช้ำดำเขียวทั้งหลายไม่มีหลงเหลืออยู่อีกแล้ว
นี่ทำให้ลูมิแอร์อดสงสัยขึ้นมาครามครันว่าการล่าสัตว์ประหลาดพลังวิเศษเมื่อคืนนี้เป็นเพียงแค่ความฝันฉากหนึ่งหรือไม่
แต่ดีที่สิ่งของสีแดงเข้มในถุงผ้า จำนวนเหรียญทองแดงที่เพิ่มมาอีกเล็กน้อย และปืนลูกซองที่วางไว้ด้านข้างที่ได้มาในเวลาเดียวกันนั้นเป็นหลักฐานยืนยันความจริงของประสบการณ์ที่ได้พานพบมา
หัวใจลูมิแอร์สงบลง เขาถือถุงผ้าที่บรรจุสิ่งของสีแดงเข้มกับเงินเหรียญจำนวนมากออกจากห้องนอนตรงไปที่ชั้นล่าง หยิบขวดไวน์แดงออกมา หงายแก้วเหล้า และเอาโหระพากระป๋องมา
แน่นอนว่าเขาไม่ลืมเอาอุปกรณ์การสอนอย่างพวกกระบอกตวง เครื่องชั่งขนาดเล็ก ที่โอรอร์ผู้เป็นพี่สาวซื้อมาระหว่างที่สอนการบ้านตนเองด้วย
มองดูโต๊ะที่เต็มไปด้วยข้าวของกองไว้ เขาก็รู้สึกตื่นเต้นและกังวลขึ้นมาเล็กน้อยอย่างควบคุมไม่ได้
สิ่งของทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว เหลือเพียงแค่การปรุงโอสถเท่านั้น!
โอสถไม่ใช่เครื่องดื่ม อันตรายยิ่งกว่าเหล้า หากเกิดปัญหาขึ้นมาก็จะทำให้ผู้ดื่มเสียชีวิตหรือไม่ก็กลายเป็นสัตว์ประหลาด
ลูมิแอร์สูดหายใจเข้าแล้วปล่อยออกช้าๆ จากนั้นจึงรินไวน์แดง 80 มิลลิลิตรลงในแก้วเหล้าโดยใช้กระบอกตวง
ถัดมาเขาใส่ใบโหระพา 10 กรัม ใบป็อปลาร์ป่น 5 กรัม และดอกเกาลัดแดง 1 ดอกลงไป
ขั้นตอนทุกอย่างไม่มีปัญหา ของเหลวสีแดงในแก้วเหล้ายังคงเหมือนเดิม ที่เพิ่มมาก็มีเพียงกากตะกอนเล็กน้อยกับดอกไม้ที่ลอยอยู่
จากนั้นลูมิแอร์ก็ชูถุงผ้าข้างมือขึ้นมาต่อทันที เขาจ้องมองดูก้อนสีแดงเข้มหล่นลงไปในแก้วเหล้าอย่างจดจ่อ
ก้อนสีแดงเข้มนั่นเหมือนจะละลายอย่างรวดเร็วโดยไร้สุ้มไร้เสียง แต่ดูเหมือนของเหลวที่อยู่รอบๆ จะถูกดูดเข้าไปในตัวมัน
มีฟองปุดๆ ผุดออกมา ทั้งแก้วกลายเป็นสีเลือด ดอกเกาลัดแดงไม่ทราบว่าละลายหายไปตั้งแต่เมื่อไร
“นี่ก็คือโอสถ ‘นักล่า’ อย่างงั้นเหรอ?” ลูมิแอร์กลืนน้ำลายเอื๊อก หยิบแก้วเหล้าขึ้นมา
พลังวิเศษที่เขาไขว่คว้าตามหาอยู่ต่อหน้าต่อตาแล้ว
ลูมิแอร์ปรับลมหายใจ สงบสติอารมณ์ เงยหน้าเล็กน้อย แล้วกลั้นใจดื่มโอสถเข้าไปอย่างไม่ลังเล
อึก อึก อึก
โพรงจมูกเขาราวกับมีกลิ่นเลือดโชยเข้ามา ในหูราวกับได้ยินเสียงแว่ว
เพิ่งจะดื่มโอสถจนหมดและวางแก้วลง เขาก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา ความเจ็บปวดเสียดแทงไปทั่วสรรพางค์กาย
มันรุนแรงมากเสียจนลูมิแอร์สงสัยว่าเมื่อครู่ที่ตนดื่มเข้าไปนั้นใช่ลูกไฟหรือไม่ มันลุกไหม้แผดเผาหลอดอาหาร กระเพาะ หัวใจ ปอด ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ และหลอดเลือดทั่วร่าง
และในขณะเดียวกันเขาก็ได้กลิ่นสนิมเข้มข้นทะลักโชยออกมาจากลำคอตัวเอง
เขาจำได้ว่าผู้หญิงคนนั้นพูดอะไร จึงรวบรวมกำลังทั่วร่างมาควบคุมจิตใจเอาไว้ ไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองหมดสติไปเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นก็อาจจะหมายถึงตนเองถูกโอสถพิชิต ผลที่ตามมาย่อมจินตนาการได้ว่าเป็นเช่นไร
ระหว่างที่ตกอยู่ในความมึนงง ลูมิแอร์ก้มศีรษะลง มองเห็นว่าเส้นเลือดทั้งหมดบนหลังมือตัวเองปูดโปนออกมา ไขว้พันกันอีนุงตุงนัง เบียดเสียดแออัด เป็นสีแดงฉานสะดุดตา
อาการเจ็บแปลบปวดแสบปวดร้อนเกิดเร็วหายเร็ว ผ่านไปเพียงแค่สองสามวินาทีลูมิแอร์ก็รู้สึกว่าพวกมันมลายหายไปจนหมดสิ้น
ในเวลานี้ในหัวเขามีเสียงพึมพำ ในหูได้ยินเสียงลึกลับที่ราวกับดังมาจากฟากฟ้าอันไร้ที่สิ้นสุดแต่ก็เหมือนอยู่ใกล้
เสียงนี้ราวกับเหล็กแหลมที่เสียบทะลุเข้าไปในหัวเขาแล้วออกแรงคว้าน
ประสบการณ์เฉียดใกล้ความตายมาเยือนลูมิแอร์อีกครั้ง ความเจ็บแปลบปวดแสบปวดร้อนที่ก่อนหน้านี้หายไปแล้วพลันปะทุขึ้นมาอีกครั้งอย่างรุนแรงกว่าเดิม
ในวินาทีนี้ดวงตาลูมิแอร์เบิกถลน สองมือเกร็งกำไว้แน่น รู้สึกมีอะไรบางอย่างกำลังแหวกผิวหนังเจาะเลือดเนื้อตนเองออกมาข้างนอก
หมอกเทารอบตัวเขาราวกับหนาขึ้นมาอีกเล็กน้อย
เสียงน่ากลัวที่ได้ยินไม่ชัดนั้นค่อยๆ ซาลง การดิ้นของเลือดเนื้อในตัวลูมิแอร์หายไปราวกับเป็นภาพหลอน
ความเจ็บแปลบปวดแสบปวดร้อนที่น่ากลัวกับกลิ่นสนิมกลิ่นเลือดที่รุนแรงก็หายไปด้วยเช่นกัน
ในที่สุดลูมิแอร์ก็ได้สูดอากาศเย็นอีกครั้งและกลับมาควบคุมร่างกายได้
เขาอดไม่ได้จนต้องก้มตัวลงใช้สองมือยันเข่า หอบหายใจหนัก
เรื่องที่พี่สาวพูดถึงอันตรายของการแสวงหาพลังวิเศษนั้น ในตอนนี้เขาได้เข้าใจได้อย่างลึกซึ้งแล้ว
เพียงแค่โอสถของลำดับ 9 ก็ทำเอาเขาเกือบจะไปหายมบาล!
แต่แน่นอนว่าเดิมทีแล้วมันก็ยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอก เพียงแค่บอกได้ว่ามันค่อนข้างจะอันตรายเท่านั้น ทว่าเสียงลึกลับที่มาจากสัญลักษณ์พิเศษบนหน้าอกในช่วงเวลาวิกฤตนั่นแหละ ที่ทำให้เขาแทบจะแดดิ้นสิ้นชีพไปตรงนั้น
การสูดหายใจแต่ละครั้งราวกับทำให้ลูมิแอร์ฟื้นคืนพละกำลังขึ้นมาได้อีกหนึ่งส่วน เพียงไม่นานนักเขาก็รู้สึกหายเป็นปกติ
ลูมิแอร์ลองกำหมัดแล้วออกแรงเหวี่ยงใส่อากาศ
ปัง!
เขาสร้างเสียงคลื่นกระแทกออกมาได้โดยตรง
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยนึกฝันถึงเรี่ยวแรงขนาดนี้มาก่อน!
ลูมิแอร์ตื่นเต้นมากขึ้นทุกขณะ ภายในห้องนอนที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไรนั้น เขาขยับเท้าไปรอบๆ ทำท่าเทคนิคต่อสู้บางท่าที่พี่สาวสอนให้
ปัง! ปัง! ปัง!
แต่ละหมัดของเขาเปล่งเสียงดังฟังชัด การเคลื่อนไหวที่ออกท่าออกทางมากมายเพียงนั้นภายใต้สภาพแวดล้อมที่คับแคบแบบนี้ แต่ละท่วงท่าของเขาแม่นยำสมบูรณ์ ไม่ได้ไปโดนข้าวของใดๆ แม้แต่ชิ้นเดียว
กระบวนท่าเสร็จสิ้นไปหนึ่งชุดแต่ลูมิแอร์ไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกเหนื่อยเท่านั้น เขายังกระฉับกระเฉงขึ้นอีกด้วย
จากนั้นเขาก็ประเมินสภาพร่างกายของตัวเอง
“ยังเทียบโอรอร์ไม่ได้…
“ไม่ว่าจะเป็นพละกำลัง ความรวดเร็วคล่องแคล่ว ปฏิกิริยาตอบสนอง หรือการควบคุมร่างกาย ทั้งหมดนี้ดีขึ้นมาก เกินกว่ามนุษย์ธรรมดานิดหน่อย…
“มีทั้งพลังของหมี มีทั้งความคล่องตัวเหมือนแมว เทียบเท่ากับเอาทั้งสองอย่างมารวมกันนิดหน่อย…
“ถ้าไม่มีโอสถ ชั่วชีวิตนี้ฉันคงไม่มีทางมาถึงระดับนี้ได้…”
ยังตรวจสอบไม่ทันเสร็จ ลูมิแอร์ก็ได้กลิ่นเลือด
ในใจอดกระตุกวูบขึ้นไม่ได้ เขาสูดจมูกตามสัญชาตญาณทันที
วินาทีถัดมาเขาก็พบแล้วว่ากลิ่นเลือดที่ตนเองได้กลิ่นนั้นมีที่มาจากไหน
มันมาจากร่างกายเขาเอง!
ลูมิแอร์ก้มศีรษะลงก็มองเห็นว่าที่หลังมือมีรอยเลือด เหมือนกับว่ามีเลือดออกหลายจุด
เขาเดินไปที่กระจกเต็มตัวอีกครั้ง พบว่าบนใบหน้าก็มีหยดเลือดอยู่
ลูมิแอร์ยกมือขึ้นมาลูบหน้า เช็ดเลือดออกบางส่วน แต่ก็ไม่พบว่ามีบาดแผล
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็พอจะเดาออกมาได้บ้าง
“ที่ดื่มโอสถไปเมื่อตะกี้ ก็เลยทำให้ที่โอรอร์เรียกว่าเส้นเลือดฝอยมันแตกออกงั้นเหรอ? แล้วพอดูดซับโอสถเสร็จ บาดแผลก็เลยหายไปอย่างรวดเร็ว?”
มีเพียงอิทธิพลจากพลังวิเศษเหนือธรรมชาติเท่านั้นถึงจะสามารถอธิบายสถานการณ์ในตอนนี้ได้
ในเมื่อไม่ได้บาดเจ็บ ลูมิแอร์จึงไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้ต่ออีก เขาสนใจในเรื่องที่ว่าความรู้สึกของกลิ่นเลือดเหมือนจะเปลี่ยนไปอย่างชัดเจนมากกว่า
เมื่อเขารวบรวมสติ กลิ่นในอากาศก็ ‘สลาย’ ไปในทันที มันแทรกซึมเข้าไปในจมูกเขาด้วยรูปแบบต่างๆ
“กลิ่นเลือด กลิ่นไวน์ที่เหลือ กลิ่นดอกไม้ กลิ่นฝุ่น…” ลูมิแอร์จำแนกกลิ่นต่างๆ ออกมา แม้แต่กลิ่นที่ค่อนข้างเจือจางก็ยังไม่คลาดไปได้
ขณะเดียวกันเขาก็ ‘เห็น’ รอยเท้าบนพื้นซึ่งในยามปกติจะมองไม่เห็น - ‘เห็น’ ฝุ่นที่ลอยกระจายอยู่ในห้องนอน - ‘ได้ยิน’ เสียงหัวใจตัวเองเต้น - ‘ได้ยิน’ เสียงลมนอกบ้านพัดผ่าน…
“การเปลี่ยนแปลงอย่างที่สองก็คือประสิทธิภาพของประสาทสัมผัสเพิ่มเป็นทวีคูณ การตรวจหาร่องรอยทำได้เกินกว่าระดับมนุษย์ปกติไปมาก… มิน่าล่ะเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นมันถึงแกะรอยได้เก่งมาก…” ลูมิแอร์ค่อนข้างพอใจในเรื่องนี้
และที่สำคัญกว่านั้นก็คือการปรับปรุงประสิทธิภาพในลักษณะนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของเขา เพราะจำเป็นต้องรวบรวมสติให้นิ่งก่อนถึงจะปรากฏออกมา โดยปกติแล้วมันจะอยู่ในสภาวะปรับปรุงขึ้นมาแบบอ่อนๆ เท่านั้น
หลังจากทดลองและตรวจสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ลูมิแอร์ก็พบการเปลี่ยนแปลงอีกสองอย่างที่เกิดจากโอสถ ‘นักล่า’
“การเปลี่ยนแปลงอย่างที่สามก็คือหากเฝ้าสังเกตสภาพแวดล้อมอย่างระมัดระวัง จะสามารถค้นหาตำแหน่งที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ อย่างเช่นจุดที่ทำให้ทำลายกำแพงได้ง่ายขึ้น นี่จะทำให้ฉันวางกับดักได้เร็วขึ้นและดีขึ้น… นี่สามารถเอาไปใช้กับคน ใช้กับสัตว์ป่า แล้วก็ใช้กับสัตว์ประหลาดได้ด้วย จะทำให้ฉันฆ่าเหยื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น…
“การเปลี่ยนแปลงอย่างที่สี่ก็คือในหัวมีความรู้เกี่ยวกับการปลูกพืชป่าและอวัยวะของพวกสัตว์เพิ่มขึ้นมา นี่ช่วยให้ฉันอยู่รอดในป่าได้ดีขึ้น ถ้าได้รับบาดเจ็บก็สามารถหา ‘ยาห้ามเลือด’ ที่มีคุณภาพเจออย่างรวดเร็ว และในยามจำเป็นก็ยังหายาพิษมาป้ายบนอาวุธได้สะดวกขึ้นด้วย…”
เมื่อยืนยันเบื้องต้นมาถึงตรงนี้แล้ว ลูมิแอร์ก็รู้สึกไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นความจริง
“นี่ฉันจัดการกับเจ้าสัตว์ประหลาดปืนลูกซองนั่นได้จริงๆ เหรอเนี่ย?
“ตัวฉันในตอนนี้แข็งแกร่งกว่าตัวฉันก่อนหน้านี้มากก็จริง แต่มันก็ไม่ได้อ่อนแอกว่าตัวฉันในตอนนี้สักเท่าไหร่…”
หลังจากใคร่ครวญอย่างตั้งใจอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็สรุปออกมาได้สองประเด็น
“หนึ่ง… ความสามารถสำคัญก็จริง แต่สมองก็สำคัญไม่แพ้กัน!
“สอง… การใช้ชัยภูมิที่ดีจะสามารถช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ!”
คิดๆ ดูแล้วลูมิแอร์ก็เสริมอีกประโยคในใจ
“และนอกจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นตอนไหนก็ห้ามประมาทและห้ามใจร้อนเด็ดขาด…”
เขาเดินไปริมหน้าต่าง มองไปยังซากปรักหักพังของความฝันอีกครั้ง
ความรู้สึกบีบคั้น ความหวาดกลัว ความรู้สึกอันตรายต่างๆ ที่อธิบายไม่ถูกได้พลุ่งพล่านขึ้นมาในใจเขา มันไม่เคยปรากฏมาก่อนหรือไม่ก็ไม่เคยรุนแรงถึงขนาดนี้
“เอ่อ… การเปลี่ยนแปลงอย่างที่ห้าก็คือสัญชาตญาณบางชนิดยกระดับขึ้นมา…” ลูมิแอร์ผงกศีรษะเบาๆ
เขาเข้าไปห้องน้ำ ใช้น้ำสะอาดล้างเนื้อล้างตัว เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ พกเงินพวกนั้นติดตัวแล้วล้มกายลงนอนเตียงอีกครั้ง
เขาอยากกลับไปสู่ความจริงให้เร็วที่สุดเพื่อจะดูว่าพลังของ ‘นักล่า’ ที่ได้รับมานั้นเอาออกไปได้หรือไม่ ถ้าเอาออกไปได้ มันจะถูกลดทอนลงไปหรือเปล่า
* * * * *
หมู่บ้านกอร์ดูยามวิกาลนั้นเงียบสงัดเป็นอย่างยิ่ง เมฆสูงบนท้องฟ้าบดบังพระจันทร์สีชาดและหมู่ดาวเอาไว้ ทำให้ความมืดมนอนธกาลเป็นผู้ครอบครองอาณาบริเวณแห่งนี้
ลูมิแอร์มองดูฉากยามราตรีนี้ด้วยใจที่เบิกบาน
ในโลกความจริงเขาก็ได้กลายเป็นผู้วิเศษไปแล้ว เมื่อเทียบกับตอนอยู่ในความฝัน พลังของเขาไม่ได้ด้อยลงไปแม้แต่นิดเดียว!
ด้วยสัญชาตญาณชี้นำ ทำให้ลูมิแอร์ปลดกระดุมเสื้อออก แล้วก้มลงมองดูหน้าอกตัวเอง
สัญลักษณ์สีดำที่ดูเหมือนกับโซ่หนามค่อยๆ จางหายไป
“มันปรากฏออกมาในความเป็นจริงแล้ว…” ลูมิแอร์รู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก
ส่วนสัญลักษณ์สีดำเขียวที่ควรจะกดอยู่ด้านบนของโซ่หนามนั่น ราวกับมันอยู่เพียงแค่ในความฝันเท่านั้น
ทันใดนั้นลูมิแอร์ก็ใจกระตุกวูบ เงยหน้าขึ้นมา
บนต้นเอล์มที่อยู่ไม่ไกลนัก นกฮูกจากเรื่องเล่าลือของผู้ใช้เวทตัวนั้นกำลังมองเขาอยู่เงียบๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น