ตอนที่ 1 คนต่างถิ่น (องก์ที่หนึ่ง : ฝันร้าย)

บ่วงชะตากรรม : ราชันเร้นลับ (ราชันโลกพิศวง) ภาคสอง

ตอนที่ 1 คนต่างถิ่น (องก์ที่หนึ่ง : ฝันร้าย)

※ ※ ※ ※ ※

“ผมเป็นไอ้ขี้แพ้คนหนึ่งที่แทบจะไม่เคยสังเกตเลยว่าพระอาทิตย์ส่องแสงอยู่หรือเปล่า เพราะผมไม่มีเวลาไปทำแบบนั้น

“พ่อแม่ไม่ได้ให้การสนับสนุนผม ผมจึงเรียนไม่สูงนัก ต้องไปไขว่คว้าหาอนาคตในเมืองด้วยตัวคนเดียว

“ผมหางานมาหลายที่แต่ก็ไม่มีใครจ้าง อาจเป็นเพราะไม่มีใครชอบคนที่ไม่ช่างพูด ไม่ชอบสื่อสาร และไม่มีความสามารถที่แสดงออกมาให้เห็นได้มากพอ

“ผมเคยต้องหิ้วท้องหิวโซ ตลอดสามวันเต็มมีเพียงแค่ขนมปังสองก้อนเท่านั้นที่ตกถึงท้อง ตกดึกแล้วก็ยังหิวจนนอนไม่หลับ โชคดีที่ก่อนหน้านี้ผมจ่ายค่าเช่าล่วงหน้าไปหนึ่งเดือน เลยยังทำให้อาศัยอยู่ในห้องใต้ดินที่มืดมิดนั้นได้ ไม่ต้องไปทนทรมานกับลมหนาวที่โหดร้ายข้างนอก

“ในที่สุดผมก็หางานได้ เป็นงานเฝ้าห้องเก็บศพในโรงพยาบาล งานกะดึกน่ะ

“ค่ำคืนในโรงพยาบาลหนาวกว่าที่ผมคิดไว้มาก โคมไฟติดผนังที่ทางเดินก็ไม่ติด มืดสนิทไปหมดทุกที่ ต้องอาศัยแสงเล็กน้อยที่ลอดออกมาจากห้องถึงจะช่วยให้ผมมองเห็นปลายเท้าได้

“กลิ่นของที่นั่นไม่โสภาเอาเสียเลย บางครั้งก็มีศพที่บรรจุในถุงเก็บศพถูกส่งเข้ามา พวกเราจะช่วยกันย้ายเข้าไปไว้ในห้องเก็บศพ

“นี่ไม่ใช่งานที่ดีเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมมีเงินซื้อขนมปังกินได้ ช่วงเวลาว่างตอนดึกก็ยังเรียนหนังสือได้ ถึงยังไงถ้าไม่ใช่ว่าจะต้องมาส่งศพหรือนำศพไปเผาก็ไม่มีใครอยากมาห้องเก็บศพอยู่แล้ว แต่แน่นอนแหละว่าในตอนนี้ผมยังไม่มีเงินพอจะไปซื้อตำราเรียนหรอก ทุกวันนี้ก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าจะสามารถเก็บออมเงินได้เหมือนกัน ไม่มีความหวังเอาเสียเลย

“ผมรู้สึกขอบคุณอดีตเพื่อนร่วมงานมาก ถ้าไม่เป็นเพราะเขาลาออกกะทันหัน แม้แต่งานแบบนี้ผมก็คงไม่ได้มาทำ

“ผมอยากจะย้ายไปอยู่กะกลางวัน เพราะทุกวันนี้ผมต้องนอนกลางวันตื่นกลางคืน มันทำให้สุขภาพผมแย่ลงเรื่อยๆ จนบางครั้งก็ปวดหัวตุ๊บๆ

“มีวันหนึ่ง คนเข็นศพมาส่งศพใหม่

“ผมได้ยินคนอื่นพูดกันว่านี่ก็คืออดีตเพื่อนร่วมงานที่ลาออกไปกะทันหันคนนั้น

“ผมรู้สึกอยากรู้จักเขาขึ้นมานิดหน่อย หลังจากที่คนอื่นๆ ออกไปกันหมดแล้ว ผมก็ดึงตู้ออกมา รูดซิปเปิดถุงเก็บศพอย่างเงียบๆ

“เขาเป็นชายแก่ ใบหน้าซีดเซียวเขียวคล้ำนั่นเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่น ในที่ที่แสงน้อยแบบนั้นก็ยิ่งทำให้ดูน่ากลัวขึ้นไปอีก

“เส้นผมเขามีไม่เยอะเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ขาวโพลนหมดแล้ว เสื้อผ้าก็ถูกถอดออกจนหมด ไม่เหลือติดตัวแม้แต่ชิ้นเดียว

“สำหรับศพไร้ญาติแบบนี้ พวกคนเข็นศพไม่มีทางยอมปล่อยโอกาสรีดเงินอยู่แล้ว ก็เลยลอกคราบเขาจนเกลี้ยง

“ผมเห็นที่หน้าอกเขามีรอยสักแปลกๆ อยู่รอยหนึ่ง มีสีดำเหลือบเขียว เป็นลักษณะเฉพาะแบบที่ผมเองก็อธิบายไม่ถูก แถมแสงไฟในตอนนั้นก็มืดเกินไปด้วย

“ผมเอื้อมมือไปแตะที่รอยสักนั่น มันไม่มีอะไรเป็นพิเศษ

“ระหว่างที่มองดูอดีตเพื่อนร่วมงานคนนี้ ผมก็คิดขึ้นมาว่าถ้าหากผมยังใช้ชีวิตแบบนี้ต่อไปจนแก่จนเฒ่า สุดท้ายจะลงเอยแบบเดียวกับเขาหรือเปล่านะ…

“ผมบอกเขาว่าพรุ่งนี้ผมจะไปเชิงตะกอนเผาศพกับเขาด้วย และจะช่วยเอาเถ้ากระดูกเขาไปเก็บไว้ที่สุสานคนอนาถาที่อยู่ใกล้แถวนี้ที่สุด พวกคนที่รับผิดชอบเรื่องพวกนี้ขี้เกียจทำอะไรให้ลำบาก จึงมักจะโปรยทิ้งแม่น้ำหรือไม่ก็โยนทิ้งส่งๆ ในที่รกร้าง

“นี่จะทำให้ผมต้องเสียเวลานอนตอนเช้าไป แต่ก็ยังดี อีกไม่นานก็สุดสัปดาห์แล้ว ค่อยมานอนเสริมเอาตอนนั้นก็ได้

“พอพูดประโยคนั้นจบ ผมก็จัดการถุงบรรจุศพให้เรียบร้อย แล้วเก็บกลับเข้าไปในตู้ตามเดิม

“แสงไฟในห้องราวกับหม่นสลัวลงกว่าเดิม…

“หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ทุกครั้งที่เข้านอนผมก็จะฝันเห็นหมอกหนามาโดยตลอด

“ผมเกิดสังหรณ์ใจว่าในอนาคตอันใกล้นี้อาจจะเกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้น สังหรณ์ว่าไม่ช้าก็เร็วจะมีสิ่งที่ไม่ทราบว่าจะเรียกมนุษย์ได้หรือเปล่าเข้ามาหาผม แต่ไม่มีใครเชื่อคำพูดผมสักคน พากันคิดว่าผมทำงานแบบนั้น อยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น สภาพจิตใจคงจะผิดปกติไปแล้ว จำเป็นต้องไปหาหมอ…”

ลูกค้าชายผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์บาร์หันมองมาทางผู้พูดที่จู่ๆ ก็หยุดลงกะทันหัน

“แล้วต่อจากนั้นล่ะ?”

ลูกค้าชายผู้นี้อายุสามสิบเศษ สวมทวีดโค้ต [1] สีน้ำตาลและกางเกงขายาวสีเหลืองอ่อน เส้นผมหวีจนเรียบแปร้ ในมือถือหมวกกลมแบบเรียบง่ายสีน้ำตาลอยู่ใบหนึ่ง

เขาดูหน้าตาธรรมดาไม่ต่างจากคนส่วนใหญ่ในร้านเหล้า ผมดำตาสีฟ้าอ่อน ไม่ได้หล่อเหลาอะไร แต่ก็ไม่ถึงกับอัปลักษณ์ ไม่มีลักษณะเด่นเป็นพิเศษ

ผู้พูดที่ปรากฏต่อสายตาเขาก็คือชายหนุ่มอายุอานามสิบแปดสิบเก้าปี ร่างสูงเพรียวแขนขาบอบบาง มีเรือนผมสั้นสีดำขลับเช่นกัน ดวงตาสองข้างเป็นสีฟ้าอ่อน โครงหน้าชัดเจน ทำให้ผู้พบเห็นตาเป็นประกายได้

ชายหนุ่มคนนี้มองแก้วเหล้าเปล่าเบื้องหน้าก่อนจะถอนหายใจ

“ต่อจากนั้นน่ะเหรอ?

“ต่อจากนั้นผมก็ลาออก กลับมาอยู่บ้านนอก แล้วก็มาคุยโม้ให้คุณฟังนี่ไงล่ะ”

พูดไปแล้วใบหน้าเขาก็เผยรอยยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่แฝงความนัยของการยั่วล้อให้ชวนขบขัน

ลูกค้าชายผู้นั้นอึ้งไปชั่วขณะ

“เรื่องที่คุณเพิ่งจะเล่ามาทั้งหมดเมื่อตะกี้ก็คือการคุยโม้อย่างนั้นเหรอ?”

“ฮ่า ฮ่า” เกิดเสียงหัวเราะดังไปทั่วทั้งบาร์

เมื่อเสียงหัวเราะซาลงไปบ้าง ชายวัยกลางคนร่างผอมคนหนึ่งก็มองลูกค้าคนนั้นที่มีอาการกระอักกระอ่วนอย่างเห็นได้ชัด

“คนต่างถิ่น… คุณเชื่อเรื่องที่ลูมิแอร์เล่าจริงๆ งั้นเหรอ แต่ละวันน่ะเขาเล่าไม่เคยซ้ำกันสักเรื่อง เมื่อวานเขายังเป็นเจ้าคนดวงกุดที่ถูกคู่หมั้นถอนหมั้นเพราะความจนอยู่เลย แต่วันนี้กลายเป็นคนเฝ้าห้องเก็บศพไปซะแล้ว!”

“ใช่ บอกว่าสามสิบปีอยู่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำโซเรนโซ่ สามสิบปีก็มาอยู่ฝั่งขวาแม่น้ำโซเรนโซ่ พูดแต่เรื่องไร้สาระทั้งนั้นแหละ!” ลูกค้าประจำของร้านเหล้าอีกคนพูดต่อ

พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นชาวนาของหมู่บ้านขนาดใหญ่ที่ชื่อกอร์ดู สวมเสื้อนอกตัวสั้น สีดำบ้าง เทาบ้าง น้ำตาลบ้าง

ชายหนุ่มผมดำที่ชื่อลูมิแอร์ใช้สองมือยันเคาน์เตอร์บาร์ ค่อยๆ ยืนขึ้นอย่างเชื่องช้า พูดเจือรอยยิ้ม

“พวกคุณก็รู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ผมแต่งสักหน่อย ทั้งหมดเป็นพี่สาวผมเขียนขึ้นมาทั้งนั้น เธอชอบเขียนนิยายมากที่สุด แล้วก็ยังเป็นนักเขียนของนิตยสาร ‘นิยายรายสัปดาห์’ อะไรทำนองนั้นด้วย”

พูดจบเขาก็เอี้ยวตัวไปผายมือให้แขกต่างถิ่น เผยรอยยิ้มสดใส

“ดูท่าว่าพี่คงจะเขียนได้ไม่เลวสินะ

“ต้องขออภัยที่ทำให้คุณเข้าใจผิด”

ชายที่สวมทวีดโค้ตสีน้ำตาลหน้าตาธรรมดาสามัญไม่ได้โกรธเคืองอันใด เขาลุกขึ้นตามพร้อมกับตอบด้วยรอยยิ้ม

“เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก

“ไม่ทราบคุณชื่ออะไร?”

“จะถามชื่อใครก็ต้องแนะนำตัวเองก่อนไม่ใช่หรือไง” ลูมิแอร์ยิ้ม

ลูกค้าที่เป็นคนต่างถิ่นคนนั้นผงกศีรษะเล็กน้อย

“ผมชื่อไรอัน คอส

“สองคนนี้เป็นเพื่อนผม ชื่อวาเลนไทน์กับลีอาห์”

ประโยคหลังหมายถึงหนึ่งชายหนึ่งหญิงที่นั่งถัดไป

ผู้ชายอายุยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปด ผมบลอนด์เป็นเงา ดวงตาที่ไม่นับว่าใหญ่มีสีเข้มกว่าสีน้ำทะเลสาบเล็กน้อย สวมเสื้อกั๊กสีขาว ทวีดโค้ตสีน้ำเงินและกางเกงขายาวสีดำ เห็นชัดว่าได้รับการจัดการเป็นอย่างดีก่อนออกจากบ้าน

เขาดูอารมณ์เย็นชา ไม่ใส่ใจจะมองดูพวกชาวนากับคนเลี้ยงสัตว์ที่อยู่รอบข้างเท่าไร

ส่วนผู้หญิงคนนั้นดูอายุน้อยกว่าผู้ชายทั้งคู่ เรือนผมยาวสีเทาอ่อนเกล้าเป็นมวยอย่างประณีต คลุมด้วยผ้าคลุมหน้าสีขาวที่ทำหน้าที่เป็นหมวกด้วย

นัยน์ตาเธอเฉกเช่นเดียวกับสีผม จับจ้องมายังลูมิแอร์ด้วยรอยยิ้มที่ไม่อำพราง ราวกับรู้สึกสนใจเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่

ภายใต้แสงไฟจากตะเกียงน้ำมันติดผนังภายในร้านเหล้า ผู้หญิงที่ชื่อลีอาห์เผยให้เห็นจมูกโด่งงดงามและริมฝีปากได้รูป ในหมู่บ้านชนบทอย่างกอร์ดูนี่นับได้ว่าเป็นสาวงามอย่างแน่นอน

เธอสวมกระโปรงสีขาวเข้ารูปผ้าแคชเมียร์ไม่จับจีบ เสื้อโค้ตตัวเล็กสีเบจกับรองเท้าบูตยาวมาร์เซลล์ นอกจากนี้ที่ผ้าคลุมหน้ากับรองเท้าบูตก็ยังมีกระดิ่งเงินใบจ้อยสองลูกผูกไว้ด้วย ตอนที่เดินเข้ามาในร้านเหล้าเมื่อครู่นี้ก็มีเสียงกรุ๊งกริ๊งตลอดทาง สะกิดความสนใจจากผู้คนจนมีผู้ชายไม่น้อยที่หันมามองไม่วางตา

ในสายตาพวกเขา นี่ค่อนข้างจะเป็นแฟชันนำสมัยในแบบที่พบเห็นได้จากเพียงเมืองใหญ่เท่านั้น

ลูมิแอร์ผงกศีรษะให้คนต่างถิ่นทั้งสามคน

“ผมชื่อลูมิแอร์ ลี พวกคุณเรียกผมว่าลูมิแอร์ก็ได้”

“ลี?” ลีอาห์ร้องโพล่งออกมา

“มีอะไรเหรอ? นามสกุลผมมีปัญหาอะไรหรือไง?” ลูมิแอร์ถามด้วยความแปลกใจ

ไรอัน คอส ช่วยอธิบายให้ฟัง

“นามสกุลลีของคุณทำให้คนตกใจกลัวน่ะ เมื่อกี้ผมก็เกือบจะคุมเสียงตัวเองเอาไว้ไม่อยู่เหมือนกัน”

เมื่อเห็นสีหน้างุนงงสงสัยของชาวนากับคนเลี้ยงสัตว์ที่อยู่โดยรอบ เขาก็อธิบายต่อ

“ใครที่เคยติดต่อกับพวกลูกเรือและพ่อค้าทางทะเลต่างก็รู้กันทั้งนั้นว่าในห้าทะเลน่ะ มีคำร่ำลือกันว่า…

“ได้พบเจอกับนายพลเรือโจรสลัดหรือแม้แต่ราชาโจรสลัด ก็ยังดีกว่าต้องเจอกับคนที่ชื่อแฟรงก์ ลี

“คนคนนั้นก็นามสกุลลีเหมือนกัน”

“เขาน่ากลัวมากเลยเหรอ” ลูมิแอร์ถาม

ไรอันสั่นศีรษะ

“ผมไม่รู้หรอก แต่ในเมื่อคำร่ำลือว่ากันไว้แบบนั้น ก็น่าจะเป็นตามนั้นนั่นแหละ”

เขาหยุดหัวข้อสนทนานี้ แล้วพูดกับลูมิแอร์

“ขอบคุณสำหรับเรื่องเล่าของคุณ นับว่าคุ้มค่ากับเหล้าหนึ่งแก้ว คุณอยากดื่มอะไรดีล่ะ”

“งั้นขอเป็น ‘เทพธิดาหยก’ สักแก้วละกัน” ลูมิแอร์ไม่เกรงใจ ก่อนจะทิ้งตัวลงไปนั่งอีกครั้ง

ไรอัน คอสขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ ‘เทพธิดาหยก’ … เหล้าอัปแซ็งต์? [2]

“ผมจำเป็นต้องขอเตือนคุณไว้ก่อนนะ อัปแซ็งต์น่ะแรงมาก เหล้าชนิดนี้อาจจะส่งผลทำให้สติปั่นป่วนจนเห็นภาพหลอนได้

“คิดไม่ถึงเลยว่าความนิยมในกระแสเทรียร์จะแพร่มาถึงที่นี่ด้วย” ลีอาห์ที่ด้านข้างเสริมด้วยรอยยิ้ม

ลูมิแอร์ร้อง “อ้อ” ออกมาคำหนึ่ง

“คนที่เทรียร์เองก็ชอบดื่ม ‘เทพธิดาหยก’ เหมือนกันเหรอ…

“สำหรับพวกเราน่ะ ชีวิตนี้ทุกข์มาเยอะแล้ว กะอีแค่เรื่องอันตรายนิดหน่อย ไม่เห็นจะต้องใส่ใจ เหล้าแบบนี้ช่วยทำให้จิตใจเราผ่อนคลายมากขึ้น”

“ก็ได้” ไรอันกลับลงไปนั่ง มองที่บาร์เทนเดอร์ “ขอ ‘เทพธิดาหยก’ หนึ่งแก้ว แล้วก็เอา ‘เผ็ดถึงใจ’ ให้ผมด้วยอีกแก้ว”

‘เผ็ดถึงใจ’ ก็คือเหล้าผลไม้เลื่องชื่อ

“ทำไมไม่เลี้ยง ‘เทพธิดาหยก’ ผมสักแก้วด้วยล่ะ? เมื่อตะกี้ผมอุตส่าห์ช่วยบอกความจริงให้คุณรู้ แถมยังเล่าได้ด้วยว่าเจ้าหนูนี่น่ะเป็นยังไง!” ชายวัยกลางคนร่างผอมที่เป็นคนเปิดโปงว่าลูมิแอร์แต่งเรื่องเล่านิทานอยู่ทุกวี่ทุกวัน ตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ “คนต่างถิ่น… ผมมองออกนะว่าพวกคุณยังสงสัยว่าเรื่องเล่านั้นน่ะเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า!”

“ปิแอร์… เพื่อเหล้าฟรีแก้วเดียว คุณก็ยอมทำได้ทุกอย่างจริงๆ เลยนะ!” ลูมิแอร์ตอบเสียงดัง

โดยไม่รอให้ไรอันตัดสินใจ ลูมิแอร์ก็เสริมอีก

“เรื่องนี้ผมเล่าเองก็ได้ แบบนี้ผมก็จะได้ดื่ม ‘เทพธิดาหยก’ เพิ่มอีกหนึ่งแก้วใช่ไหมล่ะ?”

“นั่นเป็นเพราะเรื่องที่แกพูดน่ะ พวกเขาไม่รู้ว่าจะเชื่อได้หรือเปล่าน่ะสิ” ชายวัยกลางคนที่ชื่อปิแอร์พูดด้วยรอยยิ้มที่อิ่มเอม “พี่สาวแกชอบบอกพวกเด็กๆ ว่า ‘หมาป่ามาแล้ว’ อยู่เรื่อย เป็นพวกโกหกพกลมจนไม่มีใครเชื่อแล้ว”

“ก็ได้ๆ” ลูมิแอร์ยักไหล่ มองดูบาร์เทนเดอร์ไสแก้วเหล้าสีเขียวมาที่หน้าตนเอง

ไรอันมองเขาแล้วพูดขอความเห็น

“ได้ไหม?”

“ไม่มีปัญหา ขอเพียงแค่เงินในกระเป๋าคุณมีพอจ่ายค่าเหล้าล่ะนะ” ลูมิแอร์ไม่ใส่ใจ

“งั้นก็ขอ ‘เทพธิดาหยก’ อีกแก้ว” ไรอันผงกศีรษะ

ปิแอร์ยิ้มหน้าบานทันที

“คนต่างถิ่นใจกว้าง… เจ้าหนูนี่น่ะเป็นจอมป่วนที่สุดในหมู่บ้านเลยแหละ พวกคุณต้องอยู่ห่างๆ เขาหน่อยนะ

“เมื่อห้าปีก่อน โอรอร์พี่สาวเขาพาเขากลับมาที่หมู่บ้าน แล้วก็ไม่ได้ออกไปไหนอีก คุณคิดดูสิ…ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งจะอายุสิบสาม แล้วจะไปเป็นคนเฝ้าห้องเก็บศพในโรงพยาบาลได้ยังไง? อ้อ…โรงพยาบาลที่อยู่ใกล้พวกเราที่สุดน่ะอยู่ที่เชิงเขาดาริแยฌ ต้องใช้เวลาเดินทางตลอดทั้งบ่ายเลยแหละ”

“พากลับมาที่หมู่บ้านงั้นเหรอ?” ลีอาห์จับสังเกตได้

เธอหันศีรษะเล็กน้อยทำให้เกิดเสียงกรุ๊งกริ๊ง

ปิแอร์ผงกศีรษะ

“โอรอร์ย้ายมาอยู่ที่นี่เมื่อหกปีก่อน หนึ่งปีต่อมาเธอก็ออกไปแล้วพาเจ้าหนูนี่กลับมา บอกว่าเก็บมาจากข้างทาง เป็นเด็กจรจัดคนหนึ่งที่ใกล้จะอดตาย ก็เลยกะว่าจะรับเลี้ยง

“จากนั้นเขาก็ใช้นามสกุล ‘ลี’ ตามโอรอร์ แม้แต่ชื่อ ‘ลูมิแอร์’ เองก็เป็นโอรอร์ที่ตั้งให้

“ผมลืมไปแล้วด้วยว่าชื่อเดิมคืออะไร” ลูมิแอร์ดื่มอัปแซ็งต์ พูดหัวเราะฮิฮิ

ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจหรืออับอายที่อดีตของตัวเองถูกเปิดโปงออกมาเช่นนี้

* * * * *

[1] ทวีดโค้ต (tweed coat)

[2] อัปแซ็งต์ (Absinthe) เป็นเหล้ากลั่นจากสมุนไพรหลายชนิด มีสีเขียว จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า la fée verte แปลว่า the green fairy (เจ้าภูตเขียว) ได้รับความนิยมอย่างมากในฝรั่งเศสช่วงปลายศตวรรษที่ 19 มันมีปริมาณแอลกอฮอล์สูงถึง 50-70 ดีกรี และส่งผลให้ประสาทหลอนได้ จึงเป็นของต้องห้ามในสหรัฐอเมริกาและหลายๆ ประเทศในช่วง ค.ศ. 1915 และกลับมาเริ่มการผลิตอีกครั้งใน ค.ศ. 1990

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บ่วงชะตากรรม : ราชันเร้นลับ 2

ตอนที่ 9 นิตยสาร

ตอนที่ 15 พูดคุยสอบถามข้อมูล