ตอนที่ 29 วิธีการ

ราชันเร้นลับ (ราชันโลกพิศวง) ภาคสอง : บ่วงชะตากรรม

ตอนที่ 29 วิธีการ

※ ※ ※ ※ ※

ลูมิแอร์นำความรู้นี้มาผสมผสานกับวิชาฟิสิกส์ที่ร่ำเรียนมา เขาครุ่นคิดแล้วเอ่ยถาม

“แล้วทำไมถึงไม่เรียกว่ากฎการอนุรักษ์ [1] ล่ะ?”

“นั่นเป็นกฎอีกข้อหนึ่ง แต่คุณยังไม่ต้องเข้าใจเนื้อหารายละเอียดในตอนนี้หรอก” ผู้หญิงคนนั้นผงกศีรษะเป็นเชิงยอมรับ “อันที่จริงตัวแก่นสารใจความหลักของมันก็เหมือนกับกฎแห่งการไม่อาจถูกทำลายนั่นแหละ เพียงแต่จะมีเงื่อนไขเบื้องต้นและรายละเอียดจำเพาะเจาะจงเพิ่มขึ้นมาบางส่วน”

อย่างนี้นี่เอง… ลูมิแอร์ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดอย่างไตร่ตรอง

“ตามกฎแห่งการไม่อาจถูกทำลาย ถ้าหากผมอยากจะได้คุณลักษณ์พิเศษมา นอกจากการล่าสัตว์ประหลาดที่เกี่ยวข้องแล้ว ก็ยังสามารถกำหนดเป้าไปที่ผู้วิเศษคนอื่นได้อีกใช่ไหม?”

ในเมื่อคุณลักษณ์พิเศษไม่สามารถทำลายได้ งั้นหลังจากที่ผู้วิเศษตายไปก็ย่อมจะต้องมีคุณลักษณ์พิเศษแยกออกมาแน่นอน

ผู้หญิงคนนั้นแสดงอารมณ์ออกมาในระดับหนึ่ง

“คุณนี่เฉียบไวมาก

“ดังนั้นกฎข้อนี้จึงไม่ควรให้ผู้วิเศษส่วนใหญ่รู้ เพราะจะส่งผลให้เกิดการฆ่ากันเอง ทำให้ในระหว่างผู้วิเศษจะไม่มีความไว้เนื้อเชื่อใจกันอีกต่อไป”

“ต่อให้ไม่มีกฎข้อนี้ มนุษย์ก็ยังฆ่ากันเองอยู่ดีนั่นแหละ” ลูมิแอร์ไม่ได้แยแสเรื่องนี้นัก “ในโลกแห่งความเป็นจริงนี่น่ะ ความหวาดระแวง การกลั่นแกล้ง การฆ่ากัน ใช่ว่าจะมีน้อยซะเมื่อไหร่ล่ะ”

ผู้หญิงคนนั้นตอบกลับด้วยความรู้สึกสนใจ

“แต่อย่างน้อยก็ยังมีความอบอุ่นอยู่ในระดับหนึ่ง ยังมีความสดใสของความเป็นมนุษย์อยู่บ้าง”

ลูมิแอร์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“ถ้าว่ากันจากมุมมองอื่น กฎข้อนี้ก็ควรจะเปิดเผยให้เป็นความเข้าใจร่วมของผู้วิเศษนะ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้น พวกผู้วิเศษที่อ่อนแอก็จะได้มีการระวังป้องกันล่วงหน้า ไม่ตกเป็นเหยื่อของคนส่วนน้อยที่รู้ในเรื่องนี้”

ผู้หญิงคนนั้นผงกศีรษะเบาๆ

“ฟังดูมีเหตุผล

“จะว่าไปแล้วก็มีการต่อสู้ระหว่างผู้วิเศษเกิดขึ้นอยู่ประปราย มีความเป็นไปได้ว่าคนที่เกี่ยวข้องพอจะคาดเดาอะไรได้ระดับหนึ่งแล้วเหมือนกัน”

เธอเปลี่ยนหัวข้อ

“กฎข้อที่สองเรียกว่ากฎแห่งการรวมตัวของคุณลักษณ์พิเศษ”

“การรวมตัว…” ลูมิแอร์ยากจะเข้าใจ

เขาไม่อาจจะอนุมานความหมายของมันออกมาจากเนื้อหาที่พูดมาก่อนหน้านี้ได้

สีหน้าผู้หญิงคนนั้นจริงจังขึ้นมา

“ในฐานะตัวตนที่สร้างโลกนี้ขึ้นมา การที่ปฐมบรรพผู้สรรค์สร้างแยกตัวออกเป็นคุณลักษณ์พิเศษของเส้นทางต่างๆ นี่ไม่ได้หมายความว่าพระองค์จะถอนตัวจากเวทีนี้โดยสิ้นเชิง จิตวิญญาณของพระองค์ยังคงสถิตอยู่ในคุณลักษณ์พิเศษแต่ละชิ้น ไม่อาจทำลายได้ชั่วนิจนิรันดร์ เว้นเสียแต่ว่าโลกนี้จะแตกสลายดับสูญไปโดยสิ้นเชิง

“ต่อให้จิตวิญญาณเหล่านี้จะใกล้เคียงกับการเป็นตราประทับมากกว่าก็เถอะ แต่มันก็มีสัญชาตญาณในการกลับมารวมตัวเข้าด้วยกันอีกครั้ง เพื่อทำให้องค์ปฐมบรรพผู้นั้นฟื้นคืนชีพขึ้นมา

“หรือพูดอีกอย่างก็คือหลังจากที่คุณกลายเป็นผู้วิเศษแล้ว ก็จะมีโอกาสได้พบเจอผู้วิเศษคนอื่นง่ายกว่าเดิม มีแนวโน้มว่าจะได้เจอผู้วิเศษในเส้นทางเดียวกันและเส้นทางประชิดมากกว่าจากเส้นทางอื่น นี่ก็คือการรวมตัวอันเนื่องมาจากโชคชะตา ยิ่งลำดับสูงมากขึ้นเท่าไหร่ สถานการณ์นี้ก็จะยิ่งเห็นได้ชัดมากขึ้นเท่านั้น”

คำพูดร่ายยาวเป็นชุดนี้ทำให้ลูมิแอร์มีคำถามมากมายที่อยากจะถาม แต่ไม่อาจจะถามออกไปรวดเดียวได้ทั้งหมด จึงได้แต่ต้องเริ่มจากคำถามที่ร้ายแรงที่สุดก่อน

“เมื่อเอากฎข้อนี้มารวมกับกฎแห่งการไม่อาจถูกทำลายของคุณลักษณ์พิเศษ นี่ก็เท่ากับสรุปออกมาได้ว่าเป็นการรวมตัวเพื่อให้มาฆ่ากันใช่หรือเปล่า?”

ผู้หญิงคนนั้นเผยอารมณ์บนสีหน้าว่ายอมรับอีกครั้ง

“ในเรื่องแบบนี้ คุณเฉียบไวมากจริงๆ

“ตอนที่อยู่ในลำดับต่ำก็ยังไม่เท่าไหร่หรอก แต่เมื่อไปถึงขั้นตอนของกึ่งเทพ โดยเฉพาะหลังจากเป็นเทวทูตแล้ว ก็ยิ่งต้องคิดหาวิธีหลีกเลี่ยงหรือไม่ก็วิธีการที่ทำให้อิทธิพลของการรวมตัวอ่อนลง”

“กึ่งเทพ? เทวทูต?” แม้ลูมิแอร์จะรู้อยู่แล้วว่าในแต่ละลำดับนั้น สุดท้ายแล้วจะสามารถกลายเป็นเทพที่แท้จริงได้ แต่เมื่อได้ยินคำสองคำนี้ก็ยังอดประหลาดใจและคาดหวังไม่ได้

ผู้หญิงคนนั้นอธิบายต่ออย่างไม่เป็นทางการ

“กึ่งเทพก็คือคำย่อของกึ่งเทพกึ่งมนุษย์ มีความหมายรวมผู้วิเศษตั้งแต่ลำดับที่ 4 ไปจนถึงลำดับที่ 1

“ซึ่งในกลุ่มนี้ ลำดับที่ 4 และลำดับที่ 3 จะเรียกว่านักบุญ ส่วนลำดับที่ 2 และลำดับที่ 1 จะเรียกว่าเทวทูต ที่จริงก็ยังมีคำเรียกอย่างอื่นอยู่อีกแหละ แต่ตอนนี้คุณอย่าเพิ่งรู้จะเป็นการดีที่สุด”

นักบุญ… เทวทูต… ลูมิแอร์นึกถึงนักบุญองค์อุปถัมภ์และเทวทูตในภูมิภาคต่างๆ ขึ้นมาทันที

พวกเขามีตัวตนอยู่จริงเหรอเนี่ย?

ซากสังขารของนักบุญก็คือซากศพของนักบุญ มันมีคุณลักษณ์พิเศษที่ยังคงหลงเหลืออยู่?

ลูมิแอร์รู้สึกกลัวขึ้นมาบ้างแล้ว เขาเปลี่ยนเรื่องถาม

“ในคุณลักษณ์พิเศษแต่ละชิ้นจะมีตราประทับจิตวิญญาณแห่งองค์ปฐมบรรพผู้สรรค์สร้างอยู่ ยิ่งลำดับสูงเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีเหลืออยู่มากขึ้นใช่ไหม?

“งั้นคนที่ดื่มโอสถเข้าไปจะยังได้รับผลกระทบในเรื่องอื่นด้วยหรือเปล่า?”

ผู้หญิงคนนั้นผงกศีรษะพูดด้วยรอยยิ้ม

“ไม่งั้นคุณคิดว่าทำไมมันถึงถูกเรียกว่าเส้นทางที่เต็มไปด้วยภยันตรายและความบ้าคลั่งล่ะ?

“นี่เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้การดื่มโอสถอาจจะส่งผลให้สูญเสียการควบคุมนั่นเอง

“อ้อ ที่ว่าสูญเสียการควบคุมนี่น่ะ ก็คือสูญเสียการควบคุมทางร่างกายและจิตใจที่มีต่อพลังวิเศษจนกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวนั่นแหละ”

“ยังมีสาเหตุอื่นอยู่อีกเหรอ?” ลูมิแอร์ถามต่อ

ผู้หญิงคนนั้นร้อง “อื้อ” ออกมาคำหนึ่ง

“ข้อแรก ความเข้มข้นของจิตวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของเจ้าของเดิมก่อนจะกลายเป็นคุณลักษณ์พิเศษที่สอดคล้องกัน โดยหลักๆ แล้วจะขึ้นอยู่กับบุคลิกภาพของเขาเอง เอ่อ…ระดับความยึดมั่นและความหลงใหลก่อนตายเองก็จะส่งผลเพิ่มเติมด้วย

“ข้อสอง การปรุงโอสถที่ผิดขั้นตอนหรือผิดวิธีอาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งในร่างกายอย่างรุนแรง

“ข้อสาม การดำรงอยู่ของบางสิ่งจะช่วยเพิ่มอิทธิพลต่อการดื่มโอสถ อย่างเช่น แต่ละครั้งที่เส้นทาง ‘ผู้สอดส่องความลับ’ ดื่มยา ก็จะต้องยอมรับการปลูกฝังความรู้จาก ‘ปราชญ์เร้นกาย’ โดยอัตโนมัติทุกครั้งไป

เป็นสถานการณ์คล้ายๆ กับตอนที่ฉันดื่มโอสถ ‘นักล่า’ เข้าไปแล้วได้ยินเสียงนั่นน่ะเหรอ? ลูมิแอร์ใคร่ครวญชั่วครู่แล้วเล่าเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ตนเองได้เผชิญออกมาตามความเป็นจริง สุดท้ายก็พูดขึ้น

“นั่นเป็นอิทธิพลของตัวตนท่านไหนเหรอ?”

วินาทีถัดมาเขาก็เห็นว่าสีหน้าของผู้หญิงเบื้องหน้ามีอาการแปลกไปเล็กน้อย

เธอพูดอย่างเคร่งขรึม

“มีบางตัวตนที่เพียงแค่รู้ตัวตนของพระองค์ก็สามารถทำให้คุณปนเปื้อนจนสูญเสียการควบคุมได้แล้ว

“โชคไม่ดีที่เจ้าของเสียงนั่นก็คือตัวตนที่ว่านี่แหละ ในเวลานี้คุณยังไม่เหมาะที่จะทราบนามอันสูงส่งของพระองค์”

น่ากลัวขนาดนั้นเลยเชียว? เทพที่แท้จริงของลำดับ 0 งั้นเหรอ? แต่ว่าฉันกับชาวอินทิสส่วนใหญ่รู้จัก ‘สุริยันนิรันดร’ รู้จัก ‘เทพแห่งไอน้ำและจักรกล’ ก็ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไรนี่นา… อย่าบอกนะว่านี่เป็นความแตกต่างระหว่างเทพที่แท้จริงกับเทพปีศาจน่ะ? ไม่สิ… เมื่อกี้เธอเพิ่งจะเอ่ยถึง ‘ปราชญ์เร้นกาย’ ที่เป็นลำดับที่ 0 ไป… เป็นไปได้ไหมว่าที่จริงๆ แล้วเธอเองก็ไม่รู้ว่าเป็นตัวตนท่านไหนน่ะ ก็เลยใช้คำพูดกำกวมเพื่อปิดบังความไม่รู้ของตัวเอง? ในหัวลูมิแอร์เกิดความคิดมากมายผุดขึ้นมาไม่หยุดหย่อน

เมื่อใคร่ครวญถึงพลังของตัวเองแล้ว เขาจึงเลิกล้มหัวข้อนี้แล้วเปลี่ยนไปถามถึงคำศัพท์อีกคำที่น่าสนใจ

“อะไรคือเส้นทางประชิด?”

สีหน้าผู้หญิงคนนั้นกลับมาเป็นปกติ

“ภายใต้สถานการณ์ปกติน่ะ เมื่อคุณเลือกเส้นทางไหนก็ต้องดื่มโอสถที่สอดคล้องกัน และต้องไปตามเส้นทางดังกล่าวทีละขั้นๆ เท่านั้น ไม่อย่างนั้นมันจะนำไปสู่การสูญเสียการควบคุม หรืออย่างน้อยก็ต้องเสียการควบคุมไปครึ่งหนึ่ง แต่ทุกเรื่องล้วนมีข้อยกเว้นเสมอ แต่ละเส้นทางจะมีเส้นทางประชิดตั้งแต่หนึ่งเส้นทางขึ้นไป เมื่ออยู่ในลำดับที่กำหนดคุณจะสามารถกระโดดข้ามไปยังเส้นทางอื่นได้ อย่างเช่นลำดับ 4 ที่เป็นขอบเขตแบ่งแยกระหว่างมนุษย์กับกึ่งเทพ

“เส้นทางประชิดของ ‘นักล่า’ ก็คือ ‘นักฆ่า’ ”

‘นักฆ่า’ … ฟังดูดีมีระดับมากกว่า ‘นักล่า’ แฮะ… ลูมิแอร์ถามต่ออย่างไม่วางใจ

“เส้นทางประชิดของ ‘ผู้สอดส่องความลับ’ คืออะไร?

“การกระโดดไปเส้นทางประชิด จะทำให้ไม่ต้องรับอิทธิพลจาก ‘ปราชญ์เร้นกาย’ อีกแล้วหรือเปล่า?”

“เป็นเส้นทาง ‘ผู้รอบรู้’ ส่วนลำดับ 0 ในปัจจุบันนี้ก็คือ ‘เทพแห่งไอน้ำและจักรกล’ ” ผู้หญิงคนนั้นตอบเรียบๆ “หลังจากที่กระโดดข้ามไปแล้วก็ยังจะได้รับอิทธิพลจาก ‘ปราชญ์เร้นกาย’ อยู่ แต่จะลดระดับลงไปมาก ถึงอย่างไรคุณลักษณ์พิเศษที่เกี่ยวข้องก็ยังอยู่ในตัว นอกเสียจากว่าสามารถคิดหาวิธีเอาพวกมันออกไปได้”

“เอาออกไปได้ยังไง?” ลูมิแอร์คิดไม่ถึงว่ายังมีเรื่องแบบนี้ด้วย

“วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือมีลูก มีความเป็นไปได้ค่อนข้างมากที่คุณลักษณ์พิเศษจะโอนถ่ายไปให้ลูกผ่านทางกรรมพันธุ์ด้วยศาสตร์ลี้ลับ” ผู้หญิงคนนั้นตอบสั้นๆ เพียงแค่สองประโยค “นอกจากนี้ก็ยังสามารถใช้พลังวิเศษของบางเส้นทางได้ด้วย แต่ก็มีความเสี่ยงในระดับหนึ่งและจำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายไม่น้อย”

ลูมิแอร์ผงกศีรษะก่อนจะถามคำถามอื่นต่อ

“ต้องอยู่ในลำดับที่กำหนดเท่านั้นหรือเปล่าถึงจะเปลี่ยนเส้นทางได้?”

การที่ต้องให้เป็นกึ่งเทพลำดับ 4 นี่ ฟังแล้วความหวังช่างริบหรี่เหลือเกิน

ผู้หญิงคนนั้นเหลือบมองเขา

“ถ้าว่าการตามทฤษฎีแล้วก็สามารถเปลี่ยนตอนอยู่ลำดับต่ำได้แหละ แต่ความเสี่ยงที่จะสูญเสียการควบคุมจะมีมากขึ้นหลายเท่า ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะหมดหนทางจริงๆ ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้ว ก็อย่าไปลองจะดีที่สุด”

เธอหยุดไปอึดใจ

“กฎทั้งสองข้อก็พูดไปจนหมดแล้ว ต่อไปก็คือหนึ่งวิธีการ

“นี่เป็นหนึ่งในความรู้ที่สำคัญที่สุดของโลกแห่งความลี้ลับ”

สำคัญที่สุด? ลูมิแอร์นั่งตัวตรงขึ้นตามสัญชาตญาณ ตั้งใจฟังอย่างจดจ่อเต็มที่

ผู้หญิงคนนั้นพูดต่อ

“มันเรียกว่า ‘การแสดง’

“เป็นวิธีที่จะช่วยให้คุณย่อยโอสถ หลังจากที่ย่อยโอสถไปแล้ว เมื่อกินโอสถของลำดับถัดไป ความเสี่ยงต่อการสูญเสียการควบคุมจะลดลงไปมาก”

มิน่าล่ะ แบบนี้นี่เองถึงไม่สามารถกินโอสถลำดับ 9 วันนี้ แล้วพรุ่งนี้ก็กินโอสถลำดับ 8 ต่อได้ทันที… จะต้องใช้ ‘การแสดง’ เพื่อย่อยโอสถก่อนหน้านี้เสียก่อน… ลูมิแอร์กระจ่างขึ้นมา

เขาไม่ได้พูดแทรกอีกฝ่าย ฟังคำอธิบายของเธออย่างตั้งใจ

“จำไว้ว่าย่อย ไม่ใช่ควบคุม

“อะไรคือ ‘การแสดง’ น่ะเหรอ? ก็เหมือนกับเป็นนักแสดงที่แสดงบทบาทตามชื่อของลำดับที่เกี่ยวข้องนั่นแหละ ใช้เพื่อทำให้ความแตกต่างระหว่างตัวตนของตนเองกับตราประทับทางจิตวิญญาณที่ตกค้างอยู่ในคุณลักษณ์พิเศษรอมชอมต่อกัน ให้ได้รับการยอมรับและหลีกเลี่ยงจากต่อต้านจากตัวตนเดิม ให้คุณลักษณ์พิเศษและตัวตนของตนเองหลอมรวมเข้าด้วยกันได้”

“หรือพูดอีกอย่างก็คือผมต้องแสดงเป็น ‘นักล่า’ ขึ้นไปล่าสัตว์บนภูเขาทุกวันใช่ไหม?” ลูมิแอร์เข้าสู่สถานะนั่งฟังเป็นนักเรียน

ผู้หญิงคนนั้นสั่นศีรษะ

“นั่นเป็นการเลียนแบบอย่างผิวเผินที่สุด พวกเราไม่ใช่แค่ทำความเข้าใจความหมายของชื่อลำดับอย่างผิวเผินเท่านั้น ยังจะต้องสำรวจเข้าไปในความหมายระดับลึกของมันอีกด้วย อย่างเช่นทั้งเมืองเป็นป่า คนทุกคนเป็นทั้งเหยื่อและเป็นทั้งนักล่า”

เรื่องนี้สบายมาก… ลูมิแอร์เข้าใจความหมายในระดับลึกของ ‘นักล่า’ มานานแล้ว

โดยหลักๆ แล้วก็มาจากสมัยที่เขายังใช้ชีวิตเร่ร่อนนั่นแหละ

“งั้นจะมั่นใจได้ยังไงว่าตัวเองย่อยโอสถหมดแล้ว พร้อมจะเลื่อนไปลำดับถัดไป?” เขาอดถามต่อไม่ได้

ผู้หญิงคนนั้นยิ้มให้

“ตอนที่โอสถถูกย่อยไปได้จริงๆ คุณก็จะรู้สึกได้ด้วยตัวเองนั่นแหละ”

ดี… ลูมิแอร์ไม่ได้สานต่อในหัวข้อนี้ เขาถามด้วยความสงสัย

“พวกชื่อของลำดับต่างๆ เนี่ย ใครเป็นคนตั้งเหรอ?”

ทำไมการแสดงบทบาทตามชื่อลำดับถึงทำให้โอสถถูกย่อยได้ล่ะ?

สีหน้าผู้หญิงคนนั้นจริงจังขึ้นมา

“การแบ่งลำดับในแรกสุดนั้นเกิดจากการที่องค์ปฐมบรรพผู้สรรค์สร้างแยกตัว มันเป็นแผ่นศิลาที่เต็มไปด้วยความรู้ของศาสตร์ลี้ลับ

“เป็นเพราะเกี่ยวข้องกับความลับของการกลายเป็นเทพ ดังนั้นมันจึงถูกเรียกว่าศิลาลบหลู่

“ในยุคโบราณ หรือก็คือช่วงสิ้นสุดยุคสองและยุคสามตลอดทั้งยุค มีเทพที่แข็งแกร่งองค์หนึ่งซึ่งเกือบจะเทียบเท่าองค์ปฐมบรรพผู้สรรค์สร้างปรากฏตัวขึ้น นามว่าเทพสุริยันบรรพกาล หลังจากพระองค์อาสัญดับสูญก็มีศิลาลบหลู่ชิ้นที่สองเกิดขึ้นจากซากวรกาย ชื่อลำดับและสูตรโอสถที่ใช้ในปัจจุบันก็มาจากในนั้น”

ประวัติศาสตร์ยุคสองกับยุคสามที่ฉันเรียนมามันไม่ใช่แบบนั้นนี่… ลูมิแอร์พึมพำอยู่ในใจ

ผู้หญิงคนนั้นพูดต่อ

“ตอนที่จักรพรรดิโรเซลล์ยังมีชีวิตอยู่ เขาสร้างไพ่ลบหลู่ขึ้นมาหนึ่งสำรับโดยอ้างอิงจากศิลาลบหลู่แผ่นที่สอง มันเป็นไพ่ทาโรต์ชุดหลักเมเจอร์อาร์คาน่า มีอยู่ด้วยกันทั้งหมดยี่สิบสองใบ แต่ละใบได้ใส่เส้นทางแห่งเทพไว้หนึ่งเส้นทาง”

“จักรพรรดิโรเซลล์เองก็เป็นผู้วิเศษเหมือนกันงั้นเหรอ?” ลูมิแอร์ตกตะลึง

ในฐานะประชาชนคนธรรมดาของอินทิส ย่อมเป็นการยากที่เขาจะไม่ชื่นชมเทิดทูนจักรพรรดิโรเซลล์พอสมควร

“แล้วจะเป็นอะไรได้อีกหรือไง?” ผู้หญิงคนนั้นหัวเราะ

ลูมิแอร์ถามต่อ

“แข็งแกร่งถึงขนาดไหน?”

“เกือบเป็นเทพแล้ว” ผู้หญิงคนนั้นพูดอย่างรวบรัด

แข็งแกร่งขนาดนั้นเลยเชียว? ลูมิแอร์ทั้งอึ้งและทึ่ง แต่ก็รู้สึกว่าสมควรแล้วที่เป็นเช่นนั้น

เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“งั้นไดอารี่ที่จักรพรรดิโรเซลล์เหลือทิ้งไว้ก็มีค่ามากน่ะสิ?”

ผู้หญิงคนนั้นผงกศีรษะ

“ใช่ แต่คนที่สามารถเข้าใจตัวอักษรแปลกๆ นั่นได้มีน้อยคนมาก”

ดูเหมือนว่าโอรอร์เก็บรวบรวมบทคัดลอกของไดอารี่จักรพรรดิโรเซลล์เอาไว้ส่วนหนึ่ง แถมยังทำเหมือนว่าอ่านเข้าใจเสียด้วย… ความแข็งแกร่งบางส่วนของเธอมาจากเนื้อหาข้างในนั้นงั้นเหรอ? ลูมิแอร์จมอยู่ในห้วงความคิด

* * * * *

[1] กฎการอนุรักษ์ (Conservation Laws) ในเชิงฟิสิกส์กล่าวถึงปริมาณบางอย่างในระบบปิด ซึ่งจะมีค่าคงที่ตลอดไม่ว่าระบบจะเกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ก็ตาม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บ่วงชะตากรรม : ราชันเร้นลับ 2

ตอนที่ 9 นิตยสาร

ตอนที่ 15 พูดคุยสอบถามข้อมูล