ตอนที่ 30 เริ่มเทศกาลมหาพรต
ราชันเร้นลับ (ราชันโลกพิศวง) ภาคสอง : บ่วงชะตากรรม
ตอนที่ 30 เริ่มเทศกาลมหาพรต
※ ※ ※ ※ ※
ผู้หญิงคนนั้นมองออกไปนอกหน้าต่างร้านเหล้าเก่า
“เกือบได้เวลาแล้ว งั้นสุดท้ายนี้ฉันจะบอกความรู้พื้นฐานเล็กๆ น้อยๆ ให้คุณฟังอีกนิดละกัน
“จากกฎแห่งการไม่อาจถูกทำลายของคุณลักษณ์พิเศษน่ะ เราจึงได้รู้ว่าเมื่อคนรวมกับคุณลักษณ์พิเศษจะกลายเป็นผู้วิเศษ เมื่อสัตว์รวมกับคุณลักษณ์พิเศษจะกลายเป็นสัตว์วิเศษ อย่างงั้นถ้าสิ่งของรวมกับคุณลักษณ์พิเศษล่ะ จะกลายเป็นอะไร?”
เธอพูดออกมาตรงๆ โดยไม่เปิดโอกาสให้ลูมิแอร์ตอบ
“ก็จะเป็นวัตถุอาถรรพ์
“แต่เป็นเพราะตัวของสิ่งของไม่ได้มีพวกเจตจำนง ไม่มีจิตวิญญาณ ไม่มีการควบคุมตัวเอง จึงต้องใช้ปัจจัยอื่นๆ ในการผสมผสานเข้าด้วยกัน ดังนั้นหลังจากที่มันหลอมรวมเข้ากับคุณลักษณ์พิเศษแล้ว นอกเหนือจากการแสดงพลังพิเศษที่สอดคล้องกันออกมา ก็ยังนำมาซึ่งผลกระทบเชิงลบที่รุนแรงมากด้วย แต่ละโบสถ์จึงพากันใช้วิธีผนึกพวกมันเอาไว้ มีเหตุจำเป็นเมื่อไหร่ถึงค่อยใช้วิธีที่เหมาะสมในการคลายผนึก
“นี่จึงเป็นเหตุให้วัตถุอาถรรพ์ถูกเรียกว่าวัตถุปิดผนึกนั่นเอง
“และวัตถุอาถรรพ์ที่ถูกทางโบสถ์ใหญ่ปิดผนึกเอาไว้นั้นจะมีหมายเลขลำดับเป็นของตัวเอง มันถูกแบ่งออกเป็นสี่ระดับด้วยกัน คือระดับ 3 2 1 และ 0 ยิ่งมีตัวเลขน้อยลงเท่าไหร่ ความเป็นอันตรายก็ยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น ในของเหล่านี้ วัตถุปิดผนึกระดับ 0 และ 1 นั้นมีจำนวนจำกัดและมีอันตรายสูงมาก หมายเลขลำดับเหล่านี้ทางโบสถ์ใหญ่แต่ละแห่งจะใช้ร่วมกัน ไม่มีการใช้ตัวเลขซ้ำกัน”
“วัตถุปิดผนึกระดับ 0…” ลูมิแอร์กระซิบคำนี้ออกมาเบาๆ
เขายังฝังใจกับเรื่องที่ลำดับ 0 นั้นเทียบเท่าเทพที่แท้จริงอยู่ จึงคิดเชื่อมโยงกันในระดับหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากถามออกไป
“มันเป็นวัตถุปิดผนึกที่ก่อตัวขึ้นจากเทพที่อาสัญในอดีต หรือไม่ก็จากเทพปีศาจที่ถูกกำจัดใช่ไหม?”
เส้นทางของทวยเทพทั้งยี่สิบสองเส้นทางล้วนมีลำดับ 0 และมีเทพที่แท้จริงเพียงองค์เดียว ซึ่งจำนวนเทพในตอนนี้ก็เห็นได้ชัดว่ามีไม่ครบเส้นทาง
แต่แน่นอนว่าลูมิแอร์ก็ยอมรับว่านี่อาจเป็นเพราะตนเองไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับเทพปีศาจและตัวตนลึกลับที่ดำรงอยู่
“ไม่ใช่ทั้งหมด” ผู้หญิงคนนั้นครุ่นคิด “ส่วนใหญ่จะเป็นเทวทูต มีน้อยคนมากที่มีพลังมากพอจะสังหารเทพได้”
ลูมิแอร์ผงกศีรษะ
“ผมเข้าใจแล้ว ผมจะไม่ดูแคลนสิ่งของในมือคนอื่น”
ผู้หญิงคนนั้นพูดเสริม
“และก็อย่าได้ดูแคลนผลกระทบเชิงลบของวัตถุปิดผนึกด้วย ในภายภาคหน้าคุณเองก็จำเป็นต้องมีวัตถุปิดผนึกเป็นของตัวเองด้วยเหมือนกัน
“อ้อ ในเขตแดนแห่งศาสตร์ลี้ลับก็ยังมีสิ่งของอีกประเภท มันเรียกว่าวัตถุวิเศษ ผู้วิเศษในลำดับที่สอดคล้องกันจะใช้พลังจากตัวเองและจิตวิญญาณ หรือไม่ก็อาศัยความช่วยเหลือจากโลกวิญญาณหรือองค์เทพสร้างขึ้นมา พวกมันไม่มีคุณลักษณ์พิเศษฝังอยู่ แต่ก็แสดงพลังวิเศษได้ในระดับหนึ่ง เพียงแต่ว่าพลังของมันจะค่อยๆ จางหายไปตามกาลเวลา ของพวกนี้ถ้าเป็นพวกยันต์หรือน้ำยาก็จะใช้งานได้เพียงแค่ครั้งเดียว
“เมื่อเทียบกันแล้ว อาวุธวิเศษจะมีความเสถียรมากกว่า มีหลายชิ้นที่สามารถใช้งานได้เป็นปี
“ในฐานะ ‘นักล่า’ ก่อนที่คุณจะไปถึงลำดับ 7 จะยังไม่มีพลังรับมือกับสิ่งมีชีวิตในรูปแบบภูตผีวิญญาณ ถ้ามีโอกาสก็ลองพิจารณาเรื่องหาวัตถุปิดผนึกหรือวัตถุวิเศษในด้านนี้มาใช้”
ลูมิแอร์ตั้งใจฟังจนจบก็เอ่ยถามอย่างสงสัย
“โลกวิญญาณคืออะไร?”
เขาเคยเห็นคำนี้ในนิตยสาร ‘ผ้าคลุมหน้าของความลับ’ มาก่อน แต่มันไม่มีคำอธิบายมากนัก
ผู้หญิงคนนั้นพูดเร็วขึ้นเล็กน้อย
“จากมุมมองของศาสตร์ลี้ลับ โลกนี้แบ่งออกเป็นสามชั้น หนึ่งคือโลกความเป็นจริง สองคือโลกวิญญาณ สามคือโลกดารา ส่วนที่เหลือนอกจากนี้ อย่างเช่นยมโลก ก็คือการอิงจากรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งของสามชั้นนี้แหละ
“ฉันคงไม่ต้องอธิบายโลกความเป็นจริงหรอกนะ เพราะตัวคุณเองก็รู้ดีอยู่แล้ว โลกวิญญาณคือโลกที่วิญญาณอาศัยอยู่ ในที่แห่งนั้นน่ะ พวกแนวคิดในความเป็นจริงส่วนมากไม่ได้มีอยู่อีกต่อไป เรื่องนี้ในภายหลังคุณจะค่อยๆ เข้าใจไปเอง ส่วนโลกดารานั้นเดิมทีเป็นการพูดถึงโลกของเทพ แต่ในปัจจุบันจำเป็นต้องนิยามควบรวมถึงอวกาศหรือก็คือฟากฟ้าดาราเข้าไปด้วย”
ตัวลูมิแอร์นั้นที่จริงแล้วก็ถามไปอย่างนั้นเอง เมื่อได้รับคำตอบเบื้องต้นมาแล้ว เขาก็ย้อนกลับไปยังหัวข้อเมื่อครู่นี้ทันที
“ ‘นักล่า’ สามารถสร้างวัตถุวิเศษได้หรือเปล่า?”
เขารู้สึกว่า ‘ผู้ใช้เวท’ ควรจะทำได้
ผู้หญิงคนนั้นสั่นศีรษะก่อนแล้วพูดต่อ
“ ‘นักล่า’ จะอาศัยเพียงแค่ลำดับของตัวเองสร้างออกมาไม่ได้ แต่เป็นเพราะวิญญาณได้ยกระดับขึ้นมาแล้ว จึงสามารถเรียนรู้เวทมนตร์พิธีกรรมได้ ทำการอธิษฐานต่อเทพหรือตัวตนลึกลับบางองค์แล้วอาศัยการตอบสนองของพวกพระองค์สร้างวัตถุวิเศษอย่างยันต์หรืออาวุธขึ้นมา
“แต่ฉันต้องขอเตือนคุณไว้ก่อน ตัวตนลึกลับส่วนใหญ่อันตรายอย่างยิ่งยวด ดีที่สุดแล้วอย่าทดลองอธิษฐานถึงพวกพระองค์เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นน่ะการลงเอยด้วยความตายนับได้ว่าเป็นจุดจบที่ดีที่สุดแล้วล่ะ ส่วนเทพเที่ยงแท้ดั้งเดิมทั้งเจ็ดพระองค์ก็จะไม่ตอบสนองต่อคุณ นอกจากคุณจะเข้าร่วมกับศาสนจักรที่เกี่ยวข้อง กลายเป็นผู้วิเศษอย่างเป็นทางการเสียก่อน”
“พูดง่ายๆ ก็คือ ‘นักล่า’ ไม่มีทางสร้างวัตถุวิเศษได้ใช่ไหม?” ลูมิแอร์รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง
ผู้หญิงคนนั้นยิ้ม
“ไม่ใช่อย่างนั้น คุณสามารถใช้เลือดใช้น้ำลายของพวกสัตว์วิเศษมาทำอาวุธมีพิษได้ ถ้าว่ากันตามสามัญสำนึกแล้วนี่เองก็ถือว่าเป็นวัตถุวิเศษเหมือนกัน ส่วนอีกวิธีน่ะต้องรอให้คุณสามารถไขความลับของความฝันได้เสียก่อน แล้วฉันจะบอกนามสูงส่งของตัวตนผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งให้คุณรู้ คุณสามารถอธิษฐานถึงพระองค์ได้”
ตัวตนผู้ยิ่งใหญ่? นี่เป็นครั้งแรกที่เธอใช้คำว่า ‘ยิ่งใหญ่’ มาขยาย ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะพูดถึง ‘สุริยันนิรันดร’ หรือ ‘ปราชญ์เร้นกาย’ ก็ไม่เคยใช้… นี่เป็นท่านไหนกันนะ? การอธิษฐานต่อพระองค์จะไม่มีอันตรายงั้นเหรอ? ลูมิแอร์หรี่ตาลงเล็กน้อย ทั้งตื่นตระหนกและสงสัยข้องใจ
ยิ่งเขารู้มากเพียงใดก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองนั้นช่างขาดแคลนความรู้ในศาสตร์ลี้ลับยิ่งนัก
ลูมิแอร์ร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง แล้วถามต่อด้วยความรู้สึกว่าถึงถามไปก็ไม่เสียอะไร ดังนั้นถามๆ ไปเถอะ
“ลำดับที่ 8 กับลำดับที่ 7 ของ ‘นักล่า’ คืออะไร?”
ผู้หญิงคนนั้นตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“ลำดับ 8 ของเส้นทาง ‘นักล่า’ เรียกว่า ‘นักยั่วยุ’ ส่วนลำดับ 7 คือ ‘นักวางเพลิง’
“เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อน”
เธอลุกขึ้นยืนทันทีแล้วเดินไปที่ทางขึ้นชั้นสอง
แต่ไปได้ไม่กี่ก้าวเธอก็หยุดแล้วหันหน้ากลับมา
“ลืมเตือนคุณไป
“จำไว้ว่าคุณเพียงแค่แสดงเท่านั้น”
แค่แสดงเท่านั้น… ลูมิแอร์สังเคราะห์ประโยคนี้ แล้วเอ่ยถามอย่างครุ่นคิด
“ถ้าไปยึดติดกับบทบาทการแสดงเข้าจริงๆ จะเป็นไง?”
“คุณก็จะไม่เป็นตัวของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งพอถึงวันหนึ่งก็จะ…” ผู้หญิงคนนั้นยิ้ม ไม่ได้พูดต่อ
เธอหันกลับไป เดินขึ้นบันไดแล้วหายลับไปจากสายตา
ไม่ยอมพูดให้จบด้วย… ลูมิแอร์บ่นอุบอิบอยู่ในใจ
เขาเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่าถ้าไม่จำให้ดีว่าตัวเองกำลังแสดงอยู่ ผลที่ตามมาน่าจะร้ายแรงมาก
ลูมิแอร์ไม่ได้รีบออกจากร้านเหล้าเก่า เขานั่งเงียบๆ อยู่มุมห้อง นึกทบทวนถึงความรู้พื้นฐานทั้งหมดที่ผู้หญิงคนนั้นเพิ่งอธิบายให้ฟังอีกสองสามรอบ เพื่อไม่ให้หลงลืมอะไร
ยิ่งไตร่ตรองมากขึ้นเท่าไร เขาก็ยิ่งตระหนักถึงความสำคัญของกฎสองข้อและหนึ่งวิธีการมากขึ้นเท่านั้น
“พวกมันเป็นเหมือนกรอบหลักของศาสตร์ลี้ลับ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอิงจากพวกมันทั้งสิ้น…
“ไม่รู้ว่าโอรอร์รู้เรื่องนี้หรือเปล่า…
“ไว้ออกจากกอร์ดูไปแล้วค่อยคุยปัญหานี้กับเธอก็แล้วกัน…
“เอ่อ… ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะยอมให้ฉันบอกกับโอรอร์ไปตรงๆ หรือเปล่านะ…”
* * * * *
ออกจากร้านเหล้าเก่ามาแล้ว ลูมิแอร์ก็เหลียวมองกลับมา ก่อนจะพึมพำเงียบๆ
“ทำไมคนต่างถิ่นทั้งสามคนนั่นถึงยังไม่ลงมือเสียที วันนี้ก็เป็นเทศกาลมหาพรตแล้ว…”
เขาคิดไปพลางเดินไปพลาง ตรงไปที่ลานจัตุรัสหมู่บ้าน
รอจนเขาไปถามมาเรียบร้อยแล้วว่ามีโทรเลขตอบกลับหรือเปล่า ก็มองเห็นพวกเอวาแรมุนด์มาถึงที่นี่กันแล้ว
เอวาสวมชุดกระโปรงสีขาวบริสุทธิ์ ศีรษะประดับด้วยเครื่องประดับวงกลมที่ทำจากกิ่งไม้และดอกไม้ รอบคอมีสร้อยคอขนาดใหญ่ซึ่งทำจากกิ่งไม้ดอกไม้เช่นเดียวกันคล้องไว้ ที่แผ่นหลัง แขน เอว และสองเท้ามีกิ่งไม้สีน้ำตาลกับใบไม้สีเขียวตกแต่งประดับประดา ทำให้เธอดูราวกับเป็นเทพธิดากลางพงไพร
นี่ก็คือ ‘นางฟ้าฤดูใบไม้ผลิ’ ซึ่งเป็นตัวหลักของเทศกาลมหาพรต
แรมุนด์กับพวกคนหนุ่มสาวห้อมล้อมเอวาไว้ แต่ละคนถือตะกร้าสานจากกิ่งไม้ที่บรรจุของจำพวกหญ้า ดิน หิน ใบไม้ เอาไว้คนละหนึ่งตะกร้า
“ลูมิแอร์ ขบวนแห่อวยพรกำลังจะเริ่มแล้ว!” ดวงตาสีฟ้าผืนน้ำของเอวาเหลือบมาเห็นลูมิแอร์
ใบหน้าเธอเผยความยินดีมีสุขอยู่เต็มเปี่ยม
พวกแรมุนด์เองก็มีสีหน้าเปี่ยมสุขเช่นกัน
“เร็วเข้า รีบไปรับสักการะกัน!”
เป็นเพราะ ‘นิยายรายสัปดาห์’ ยังไม่ได้ตอบโทรเลขกลับมา ลูมิแอร์ก็เลยว่างอยู่ ไม่มีเรื่องให้ทำ เขาจึงตัดสินใจเข้าร่วมขบวนแห่อวยพร
พวกหนุ่มสาวเหล่านี้พากันร้องเพลงเสียงดัง ห้อมล้อมเอวา เดินออกจากลานจัตุรัส
เดินไปได้สิบกว่าเมตร พวกเขาก็หยุดที่หน้าบ้านหลังแรก
ลูมิแอร์เดินไปที่ประตูบ้าน ตบประตูปังๆๆ
“ ‘นางฟ้าฤดูใบไม้ผลิ’ มาเยือนแล้ว!”
ประตูเปิดออกพร้อมกับเสียงแอ๊ด นาซีลีออกมาปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน
เธอเป็นผู้หญิงหัวหน้าครอบครัวอีกคนหนึ่งของหมู่บ้านที่มีคำว่า ‘นา’ อยู่หน้าชื่อ มีอายุสี่สิบเศษ ผมดำเกล้าขึ้นไป ดวงตาสีฟ้าที่มีรอยยิ้ม
เมื่อเห็นประตูเปิดออกแล้ว เอวาก็เดินขึ้นหน้าไปสองก้าว ผายสองมือออก เริ่มร้องเพลงขับขาน
“เราคือนางฟ้าแห่งฤดูใบไม้ผลิ
“ผู้มีใบหน้างดงามเปี่ยมไมตรี
“…
“มาเถิดมาร้องรำทำเพลง
“ต้องทำเช่นนี้เท่านั้น ถึงจะเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์…”
ร้องจบหนึ่งท่อน เอวาก็หยิบดินหนึ่งก้อนจากตะกร้าที่แรมุนด์ถืออยู่ มอบให้กับนาซีลี
“ขอบคุณ ‘นางฟ้าฤดูใบไม้ผลิ’ ” นาซีลีรับมาด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ยื่นผ้าผืนหนึ่งในมือให้กับเอวา
“เก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์! เก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์!” ลูมิแอร์กับพวกวัยรุ่นประสานเสียงตอบรับ
นี่ก็คือหนึ่งในพิธีกรรมอวยพร โดย ‘นางฟ้าฤดูใบไม้ผลิ’ จะใช้การร้องเพลงและมอบวัตถุตามธรรมชาติอย่างพวกก้อนดิน หิน หญ้า นี่เป็นวิธีการอวยพรให้ชาวหมู่บ้านในปีนี้มีการเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์ ซึ่งพวกชาวบ้านเองก็จำเป็นต้องมอบของตอบแทนกลับมาด้วย ถือเป็นการสักการะในระดับหนึ่ง มิฉะนั้นแล้วคำอวยพรจะแปรเปลี่ยนเป็นคำสาปแช่ง
จนกระทั่งแรมุนด์ที่อยู่ข้างๆ รับผ้ามาแล้ว เอวาจึงร้องเพลงอีกท่อนอย่างมีชีวิตชีวา
จากนั้นพวกเขาได้กล่าวอำลานาซีลี ไปกันต่อที่บ้านหลังถัดไป
ของสักการะที่ขบวนแห่อวยพรได้รับมา ส่วนหนึ่งจะโยนลงแม่น้ำในระหว่างพิธีริมน้ำ ส่วนที่เหลือจะวางไว้ในสถานที่จัดพิธีกรรมสุดท้าย หญิงสาวที่เป็นอวตารของ ‘นางฟ้าฤดูใบไม้ผลิ’ จะมีสิทธิ์เลือกนำกลับไปได้ส่วนหนึ่ง
นี่ก็คือผลพลอยได้
และถ้าหากปีนี้หมู่บ้านกอร์ดูมีการเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์ได้จริงๆ ชาวบ้านก็เชื่อกันว่าเป็นเพราะเอวาซึ่งเป็นอวตารของ ‘นางฟ้าฤดูใบไม้ผลิ’ นั้นเป็นที่โปรดปรานของวิญญาณนางฟ้าและได้รับการอวยพรจากวสันตฤดู ครอบครัวใดได้แต่งกับเธอก็จะมีการเก็บเกี่ยวที่อุดมสมบูรณ์ไปตลอดทั้งปี
เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอก็มีความหวังจะได้แต่งงานกับครอบครัวที่มีพื้นเพดี
กลุ่มขบวนแห่ร้องเพลงไปตลอดทางจนมาถึงบ้านของลูมิแอร์
ผู้ที่เปิดประตูย่อมต้องเป็นโอรอร์อยู่แล้ว เธอยังเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าที่ดูเป็นทางการขึ้นด้วย เป็นชุดกระโปรงสีอ่อนที่มีระบายอยู่ด้านข้างและเกล้าผมสีบลอนด์ขึ้น
เอวาเข้าไปหาและร้องเพลงเดิมอีกครั้ง
“เราคือนางฟ้าแห่งฤดูใบไม้ผลิ…”
โอรอร์ฟังอย่างยิ้มแย้มจนจบ ขณะที่รับใบไม้มาก็หยิบหม้อดินเผาเล็กๆ ใบหนึ่งยื่นเอวา
“ขอบคุณ ‘นางฟ้าฤดูใบไม้ผลิ’ ”
ไขมันสัตว์ที่ตักแบ่งมาจากหม้อใหญ่ในบ้านงั้นเหรอ? ลูมิแอร์เหลือบมอง ในใจรู้สึกว่าพี่สาวช่างใจกว้างเกินไปหน่อยแล้ว
บ้านของตนเองนั้นนอกจากแปลงผักเล็กๆ ที่อยู่หลังบ้านก็ไม่มีที่นาอะไรอีก ไม่เห็นจะต้องใส่ใจเลยว่าการเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์หรือเปล่า
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น