ตอนที่ 15 พูดคุยสอบถามข้อมูล
บ่วงชะตากรรม : ราชันเร้นลับ (ราชันโลกพิศวง) ภาคสอง
ตอนที่ 15 พูดคุยสอบถามข้อมูล
※ ※ ※ ※ ※
นกฮูกตัวนั้นเหรอ?
นกฮูกที่อยู่ในเรื่องเล่าลือของผู้ใช้เวทคนนั้น?
ความคิดนี้ผุดวาบขึ้นในหัวของลูมิแอร์ดั่งสายฟ้าแลบ เลือดทั่วร่างเขาราวกับเย็นเยียบแข็งตัวไปอย่างฉับพลัน
ณ วินาทีนี้เขารู้สึกหวาดกลัวยิ่งกว่าได้เห็นสัตว์ประหลาดสามหน้าตัวนั้นเสียอีก
เพราะที่นี่คือความจริง ส่วนซากปรักหักพังนั่นเป็นเพียงแค่ความฝัน
ถึงแม้การตายในความฝันจะทำให้ตายในความจริงตามไปด้วย แต่ในใจก็ยังมีการแบ่งแยกไว้ระดับหนึ่ง
“ทำไงดี?
“นี่มันจะพัวพันไปถึงโอรอร์ด้วยหรือเปล่า?”
“…”
ระหว่างที่ลูมิแอร์เค้นสมองหามาตรการตอบโต้อยู่ นกฮูกตัวนั้นกลับไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น มันมองดูเขาอย่างเงียบเชียบราวกับกำลังสำรวจตรวจตราอะไรบางอย่าง
จากนั้นไม่กี่วินาทีถัดมา นกฮูกนั่นก็สยายปีกแล้วโผบินขึ้นไป มุ่งหน้าไปยังป่าเขาที่ห่างไกล
ระหว่างนั้นมันก็ถลาลง หายลับไปที่ใดสักแห่งในหมู่บ้านกอร์ดู
จวบจนกระทั่งมองไม่เห็นนกฮูกตัวนั้นอีกต่อไป ลูมิแอร์จึงได้สติขึ้นมา
เขาทรุดนั่งลงบนเก้าอี้ ยกมือขึ้นมาแตะหน้าผาก
มีหยาดเหงื่อชุ่มโชก
“เป็นนกฮูกตัวที่อยู่ในเรื่องเล่าของผู้ใช้เวทนั่นจริงเหรอ?
“มันอายุยืนถึงขนาดนี้จริงๆ งั้นเหรอ?
“ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม มันไม่เหมือนกับนกฮูกตัวอื่นๆ ตามันไม่ได้หมอง เหมือนตามนุษย์มากกว่า…
“แต่ถ้าเป็นนกฮูกตัวนั้นจริง งั้นทำไมมันถึงบินมาที่หน้าต่างบ้านฉันล่ะ หรือเป็นเพราะฉันอยากจะสืบหาเรื่องเล่าลือของผู้ใช้เวทคนนั้น? แต่ฉันก็ตัดใจไปแล้วนี่นา…
“แล้วทำไมมันมองฉันแค่ไม่กี่ทีก็บินไปเลยล่ะ…
“ไม่รู้ว่าวันหลังมันยังจะกลับมาอีกหรือเปล่า นี่จะส่งผลกระทบอะไรกับโอรอร์ไหมนะ…”
เป็นเพราะตอนนี้ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ลูมิแอร์จึงคิดจะสังเกตดูอีกสักสองสามวัน แต่เมื่อพิจารณาถึงว่านี่อาจจะทำให้โอรอร์เข้ามาพัวพันด้วย เขาจึงรู้สึกว่าอย่าปิดบังพี่สาวจะดีกว่า
ตอนที่ออกจากห้องไปแล้วเห็นว่าโอรอร์ยังไม่ลุกจากเตียง เขาจึงลงไปชั้นล่างเพื่อเตรียมมื้อเช้า ทั้งหมดล้วนแต่เป็นเมนูโปรดของพี่สาวทั้งสิ้น
ไข่ดาวไข่แดงเยิ้ม แพนเค้กเมอแรงค์ ขนมปังธรรมดาปิ้งทาแยม…
ไว้คราวหน้าทำบะหมี่ละกัน จะใส่ซอสเนื้อลงไปด้วย… ลูมิแอร์เห็นว่าช่องใส่บะหมี่ว่างเปล่าจึงตัดสินใจว่าอีกสองวันจะเอามาเติมให้เต็ม
นี่เป็นเมนูที่โอรอร์ชอบสุดใจ
ตอนที่โอรอร์สวมชุดนอนเดินขยี้หัวลงบันไดมา อาหารก็ถูกจัดวางบนโต๊ะไว้พรักพร้อมแล้ว
“รุนหวาด” เธอพูดอู้อี้ปิดปากหาว
ลูมิแอร์ยิ้ม
“สายโด่งแล้ว ไม่อรุณแล้ว
“เธอพูดบ่อยๆ ไม่ใช่หรือไงว่าแผนการทั้งวันต้องเริ่มตั้งแต่เช้าตรู่น่ะ”
“แหงล่ะ แผนฉันก็คือนอนไง” โอรอร์นั่งลง เทนมเพื่อดื่มพร้อมกับอาหารมื้อเช้า
ลูมิแอร์นั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะหกที่นั่ง กินแพนเค้กไปก็พูดเหมือนไม่ตั้งใจไปด้วย
“ช่วงไม่กี่วันมานี้ฉันไปตามสืบหาความจริงของตำนานเล่าขานบางเรื่องมาน่ะ”
“ทำไมล่ะ” โอรอร์ถาม
ลูมิแอร์ตอบอย่างไม่สะทกท้าน
“ก็เธอบอกว่าจะช่วยให้ฉันได้รับพลังวิเศษไม่ใช่หรือไง ฉันก็เลยคิดว่าจะใช้ความพยายามของตัวเองน่ะ บางทีตำนานพวกนั้นอาจจะมีเบาะแสซ่อนอยู่ก็ได้”
“แทบจะเป็นไปไม่ได้หรอก” โอรอร์แสดงความเห็นอย่างไม่ใส่ใจ “ตำนานพวกนั้นน่ะผ่านมาตั้งกี่ยุคกี่สมัยแล้ว เล่ามาปากต่อปากจนเพี้ยนไปหมดแล้วล่ะ หรือไม่ก็มีคนประสาทหลอนเขียนขึ้นมานั่นแหละ ไม่ได้มีความหมายอะไรหรอก อ้อ ไม่แน่ว่าอาจจะมีใครบางคนกุเรื่องขึ้นมาเพื่อใช้เป็นข้ออ้างก็ได้ เหอะๆ จะได้มีส่วนช่วยเหลือพวกคนชอบเผือก [1] อย่างนายไงล่ะ”
“คืออะไรน่ะ?” ลูมิแอร์ไม่เข้าใจว่า ‘คนชอบเผือก’ ที่โอรอร์พูดนั้นหมายถึงอะไร
เพราะนี่ไม่ใช่ภาษาอินทิส
“ความหมายเต็มๆ ก็คือคนที่อยากรู้อยากเห็นแต่ไม่ได้อยากลงไปคลุกในวงด้วยนั่นแหละ” โอรอร์อธิบายสั้นๆ แล้วขมวดคิ้วขึ้น “จู่ๆ นายก็มาเล่าให้ฉันฟังแบบนี้ เป็นเพราะเจอปัญหาก็เลยกลับบ้านมาขอให้พี่สาวช่วยสินะ”
“แค่เป็นอุบัติเหตุไม่คาดฝันนิดหน่อยเท่านั้นเอง ยังไม่ถึงขั้นเป็นปัญหาหรอก” ลูมิแอร์พูดเต็มปากเต็มคำ
จากนั้นเขาก็เรียบเรียงคำพูด
“เป้าหมายแรกสุดของฉันก็คือตำนานผู้ใช้เวทคนนั้น”
“ตำนานผู้ใช้เวทอะไร?” โอรอร์มีสีหน้างุนงง
“เธอไม่เคยได้ยินเลยเหรอ?” ลูมิแอร์ค่อนข้างประหลาดใจ “เรื่องก็มีอยู่ว่าเมื่อนานมาแล้ว นานมากๆ เลยน่ะ หมู่บ้านกอร์ดูมีคนคนหนึ่งตายกะทันหัน ตอนจะเอาเขาไปฝังก็มีนกฮูกตัวหนึ่งบินมาเกาะที่หัวเตียงของเขา จนกระทั่งถึงตอนเคลื่อนศพมันถึงจะบินจากไป หลังจากนั้นศพเขาก็กลายเป็นหนักอึ้งถึงขนาดที่ต้องใช้วัวเก้าตัวถึงจะลากโลงศพไปได้น่ะ พวกชาวบ้านก็เลยได้รู้ว่าคนคนนั้นเป็นผู้ใช้เวท”
โอรอร์ฟังอย่างตั้งใจจนจบ
“ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยสังเกตว่ามีตำนานอย่างนี้มาก่อนเลยจริงๆ”
ไม่สมเหตุผลเลย… ลูมิแอร์ยากจะทำใจให้เชื่อได้
ถึงแม้ว่าเวลาโดยส่วนใหญ่โอรอร์จะเอาแต่ขลุกอยู่ในบ้าน แต่ก็ยังออกไปบ้างเดือนละสองสามครั้ง ไปพูดคุยสนทนากับพวกแม่เฒ่านาโรคาบ้าง ไปเล่านิทานให้เด็กๆ ฟังบ้าง แถมพวกเรื่องซุบซิบต่างๆ ก็ยังรู้ไปหมด แล้วทำไมถึงไม่เคยได้ยินตำนานเล่าลือเรื่องผู้ใช้เวทที่ใครๆ ก็รู้กันทั้งนั้นล่ะ
ยิ่งกว่านั้นก็คือบ้านหลังนี้ของพวกเราก็สร้างทับที่บ้านเดิมของผู้ใช้เวทด้วย!
ก่อนหน้านี้ลูมิแอร์ยังเคยสงสัยว่าสาเหตุที่โอรอร์เลือกมาลงหลักปักฐานในหมู่บ้านกอร์ดูแห่งนี้ก็เป็นเพราะต้องการสมบัติของผู้ใช้เวทคนนั้นด้วยซ้ำ และทำให้ได้รับพลังวิเศษมาได้สำเร็จ
“ต่อจากนั้นล่ะ?” โอรอร์ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ลูมิแอร์ตอบตามความเป็นจริง
“พวกเราไปถามคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านมาจนมั่นใจได้ว่าเรื่องนี้เคยเกิดขึ้นจริง แต่ว่ามันผ่านมาหลายสิบปีแล้ว บ้านของผู้ใช้เวทคนนั้นก็ถูกทางโบสถ์เผาทิ้งไปแล้ว ที่ดินก็เป็นที่ตรงนี้ที่เธอซื้อมานั่นแหละ”
“จริงดิ?” โอรอร์แปลกใจอย่างเห็นได้ชัด “ฉันก็ว่าอยู่ว่าราคาที่ดินผืนนี้ที่พวกเขาขายให้มันถูกผิดปกติ แสดงว่าต้องมีปัญหาอะไรสักอย่างแหง… ฉันยังคิดว่าเป็นเพราะฉันปากหวาน เลยทำให้พวกแม่เฒ่าดีใจกันซะอีก…”
เธอครุ่นคิดแล้วพูดขึ้น
“ศพผู้ใช้เวทถูกทางโบสถ์เผาไปแล้วเหรอ?”
“ใช่ เถ้าอัฐิถูกฝังไว้ที่สุสานข้างโบสถ์น่ะ” ลูมิแอร์ผงกศีรษะ
แล้วเขาก็พูดต่อ
“เป็นเพราะเบาะแสทั้งหมดถูกตัดขาด พวกเราก็เลยตัดใจกับเรื่องนี้ไป แต่ที่ไหนได้ เช้าวันนี้พอตื่นขึ้นมา ฉันก็เห็นนกฮูกมาเกาะอยู่นอกหน้าต่าง มันคล้ายกับนกฮูกที่อยู่ในเรื่องเล่าลือมาก”
“แน่ใจนะ?” โอรอร์ค่อนข้างจริงจัง
“ก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ แต่มันต่างจากนกฮูกทั่วไปจริงๆ” ลูมิแอร์ตอบจากมุมมองของคนนอก
โอรอร์ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างช้าๆ
“ช่วงนี้นายอย่าเพิ่งออกนอกหมู่บ้านก็แล้วกัน โดยเฉพาะหลังจากฟ้ามืดแล้วห้ามออกจากบ้านเด็ดขาด จนว่าฉันจะตรวจสอบสถานการณ์ได้กระจ่าง”
พูดมาถึงตรงนี้เธอก็ยิ้มอย่างอารมณ์ไม่สู้ดี
“ฉันเคยบอกนายแล้วใช่ไหม การแสวงหาพลังวิเศษน่ะเป็นเรื่องอันตรายขนาดไหน ดูสิ…หาเรื่องมาจนได้!
“ยังดีที่เท่าที่เห็นในตอนนี้ อีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาร้าย ปัญหาน่าจะแก้ได้ไม่ยาก”
เธอเตรียมตัวไว้แล้วงั้นฉันก็เบาใจล่ะ… ลูมิแอร์ก้มหัวพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“พี่…ฉันผิดไปแล้ว”
จากนั้นเขาก็รีบเปลี่ยนเรื่องถามทันที
“แล้วเพื่อนทางจดหมายตอบกลับมาหรือยัง?”
“จะไปเร็วขนาดนั้นได้ไง? นี่ส่งไปรษณีย์นะ ไม่ได้ส่งอีเม…ล เอ่อ… ช่างเถอะ”
ความหมายของการส่งไปรษณีย์ก็คือส่งจดหมายกับส่งพัสดุ ก็ถูกแล้วไม่ใช่หรือไง? ลูมิแอร์ฟังแล้วก็รู้สึกงงๆ อยู่บ้าง
แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก ถึงอย่างไรโอรอร์ก็ชอบใช้คำศัพท์แปลกๆ อยู่แล้ว
* * * * *
ทางเข้าออกร้านเหล้าเก่า
ลูมิแอร์ยืนมองอยู่ตรงนั้น
เขารู้ว่าเวลานี้ผู้หญิงที่ให้ไพ่ทาโรต์ตนเองมาน่าจะยังไม่ตื่น ครั้งนี้คนที่เขามาหาก็คือไรอัน ลีอาห์ และวาเลนไทน์ ที่เป็นคนต่างถิ่นสามคน
ไม่ผิดจากที่ลูมิแอร์คาดไว้ คนต่างถิ่นทั้งสามกำลังรับประทานมื้อเช้าอยู่ที่โต๊ะตัวหนึ่งในร้าน
ปลาเทราต์โรล ไวน์องุ่น ขนมปังมายองเนส… กินกันค่อนข้างดีเลย… ลูมิแอร์มองสังเกตสองสามวินาที ก่อนจะถอยออกจากร้านเหล้าไป ไม่ได้เข้าไปรบกวนพวกเขา
ผ่านไปครู่หนึ่ง พวกไรอันก็เดินออกมา เตรียมจะไปเดินตะลอนในหมู่บ้านกอร์ดูต่อเพื่อหาคน ‘คุย’ ด้วย
ลูมิแอร์เข้าไปตอนรับ กางสองแขนพูดทักทายด้วยรอยยิ้มสดใส
“อรุณสวัสดิ์ กะหล่ำปลีของผม”
เขาเห็นว่าใบหน้าเย็นชาของวาเลนไทน์เกิดอาการกล้ามเนื้อกระตุก ส่วนไรอันกับลีอาห์คนหนึ่งนั้นมีท่าทางกระอักกระอ่วน อีกคนเผยสีหน้าขบขัน
เอ่อ… พวกเขาสวมชุดเหมือนเมื่อสองสามวันก่อนเลยแฮะ… ออกจากบ้านมาเลยเอาเสื้อผ้ามาเปลี่ยนแค่ไม่กี่ชุดงั้นเหรอ? ลูมิแอร์สังเกตเห็นว่าลีอาห์ยังคงสวมกระโปรงเข้ารูปผ้าแคชเมียร์ไม่จับจีบ เสื้อโค้ตตัวเล็กสีขาว และรองเท้าบูตยาวมาร์เซลล์ ที่ผ้าคลุมหน้าซึ่งทำหน้าที่เป็นหมวกกับรองเท้าบูตมีกระดิ่งเงินลูกเล็กๆ ที่ละสองลูกผูกอยู่ ไรอันยังคงเป็นทวีดโค้ตสีน้ำตาลและกางเกงขายาวสีเหลืองอ่อน บนศีรษะสวมหมวกกลมแบบเรียบง่ายสีน้ำตาล
และเฉกเช่นเดียวกัน วาเลนไทน์ยังคงโรยแป้งบนเส้นผมกับแต่งหน้าด้วย
“อรุณสวัสดิ์ ลูมิแอร์ มีเรื่องอะไรเหรอ?” ไรอันถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“พวกคุณเป็นเพื่อนผม ถึงไม่มีเรื่องผมก็มาหาอยู่แล้ว” ลูมิแอร์ตีหน้าเศร้า
แล้วเขาก็ถามต่อ
“ผมเห็นว่าไม่กี่วันมานี้พวกคุณเอาแค่เดินไปทั่วหมู่บ้านหาคนคุยด้วย อยากถามเรื่องอะไรงั้นเหรอ?
“กะหล่ำปลีของผม ผมเป็นเพื่อนคุณ มีปัญหาอะไรก็มาถามผมได้นะ!”
“เราไม่เชื่อคำตอบคุณน่ะสิ” วาเลนไทน์อดพูดไม่ได้
ไรอันหันหน้าไปมองเพื่อส่งสัญญาณให้เขาสงบใจไว้หน่อย
ลูมิแอร์ยิ้ม
“งั้นถ้าเป็นคำตอบของคนอื่น พวกคุณจะเชื่อสนิทใจเลยหรือไง?”
ลีอาห์พูดไม่ออกไปชั่วขณะ ไรอันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ที่จริงก็ไม่ได้เชื่อเต็มที่หรอก พวกเราเอาคำตอบของแต่ละคนมารวมกับสิ่งที่ตัวเองสังเกตเห็นแล้วค่อยตัดสินน่ะ”
“ใช่ไหมล่ะ” ลูมิแอร์ผายมือ “งั้นฟังคำตอบผมก็ไม่เห็นจะเป็นไร อย่างน้อยก็มีข้อมูลอ้างอิงเพิ่มมาอีกคน”
ไรอันนิ่งเงียบไปชั่วขณะ เหลือบมองซ้ายขวาตามสัญชาตญาณ
ยามเช้าในหมู่บ้านกอร์ดู คนส่วนใหญ่ไปทำไร่ไถนากันแล้ว บริเวณใกล้ร้านเหล้าเก่าจึงแทบไม่มีคน
“เรื่องมันเป็นอย่างนี้” ไรอันพูดอย่างระมัดระวัง “พวกเรามาที่นี่เพื่อตามหาคนคนหนึ่ง”
“บาทหลวงประจำโบสถ์เหรอ?” ลูมิแอร์ถามอย่างยิ้มแย้ม
ไรอันสั่นศีรษะ
“ไม่ใช่
“เราไปเยี่ยมบาทหลวงประจำโบสถ์เพื่อจะตามหาคนคนนั้น”
“ใครเหรอ?” ลูมิแอร์เผยสีหน้าว่าสนใจในเรื่องนี้ “ผมรู้จักทุกคนในหมู่บ้าน เผื่อว่าจะช่วยได้”
ไรอันดูไม่ได้ยินดีในเรื่องนี้
“ว่ากันตามตรงก็คือพวกเราเองก็ไม่รู้ว่าคนคนนั้นเป็นใคร อายุเท่าไหร่ รูปร่างหน้าตาเป็นยังไง
“ก่อนหน้านี้ไม่นานพวกเราได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง มันส่งมาจากหมู่บ้านกอร์ดู ไม่ได้ลงชื่อผู้ส่ง พวกเราต้องการตามหาคนส่งจดหมายคนนั้น”
ผู้แจ้งข่าวงั้นเหรอ? ลูมิแอร์เกิดความคิดนี้ผุดวาบขึ้นจากจิตใต้สำนึก
เขาแสร้งทำเป็นงุนงง
“หลังจากที่พวกคุณมาถึงหมู่บ้านเพราะจดหมายฉบับนั้นแล้ว คนคนนั้นไม่ได้มาหาพวกคุณหรอกเหรอ?”
“เปล่า” ลีอาห์ตอบแทนไรอัน
“บางทีอาจเป็นเพราะเขายังไม่ได้รู้สึกปลอดภัยเต็มร้อย แล้วก็ไม่ได้เชื่อใจพวกคุณมากเท่าไหร่” ลูมิแอร์ต้องการมีส่วนร่วมในเรื่องนี้อย่างมากและช่วยเดาอย่างกระตือรือร้น “แล้วพวกคุณตัดสินจากเนื้อหาในจดหมายไม่ได้เหรอ?”
สิ่งที่เขาอยากรู้มากก็คือจดหมายฉบับนั้นเขียนอะไรไว้
ถ้ามันพุ่งเป้าไปที่บาทหลวงประจำโบสถ์ เขาก็ยินดีให้เรื่องนี้สำเร็จลุล่วง แต่ถ้าเกี่ยวข้องกับโอรอร์ เขาต้องเร่งให้พี่สาวรีบย้ายบ้านโดยด่วน ถึงอย่างไรโอรอร์ก็สื่อสารกับ ‘เพื่อนทางจดหมาย’ อยู่เป็นประจำ ถ้ามี ‘เพื่อนทางจดหมาย’ คนไหนถูกจับ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่เธอจะติดร่างแหไปด้วย และเบาะแสก็คือจดหมายฉบับนั้น
* * * * *
[1] คนชอบเผือก (乐子人) คำภาษาจีนเป็นสแลงทางอินเทอร์เน็ต หมายถึงชาวเน็ตที่ชอบเปิดอ่านเว็บบอร์ดออนไลน์เพื่อความบันเทิงโดยจำกัดบทบาทตัวเองไว้เพียงแค่ผู้ชมเท่านั้น ไม่ได้มีส่วนร่วมในสงครามปะทะคารมด้วย คำแปลไทยเป็นการหาคำที่มีบริบทคล้ายกัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น