ตอนที่ 2 “จอมป่วน”

บ่วงชะตากรรม : ราชันเร้นลับ (ราชันโลกพิศวง) ภาคสอง

ตอนที่ 2 “จอมป่วน”

※ ※ ※ ※ ※

“ขออภัยด้วย ผมไม่ทราบว่าสถานการณ์จะเป็นแบบนี้” ไรอันขอโทษขอโพยลูมิแอร์อย่างมีมารยาทมาก

ลูมิแอร์หัวเราะ “เหอะ เหอะ”

“คิดว่านี่คุ้มค่าสำหรับ ‘เทพธิดาหยก’ แก้วหนึ่งไหมล่ะ”

โดยไม่รอให้ไรอันตอบ เขาก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“คนต่างถิ่น… พวกคุณมาทำอะไรกันที่กอร์ดูล่ะ ซื้อขนแกะกับหนังสัตว์เหรอ?”

กอร์ดูมีชาวบ้านไม่น้อยที่เลี้ยงแกะเพื่อยังชีพ

ไรอันถอนใจโล่งอกอย่างเงียบๆ ฉวยโอกาสนี้รีบเอ่ยขึ้น

“พวกเรามาเยี่ยมเยียนกีโยม เบอร์เน็ตบาทหลวงประจำโบสถ์ ‘สุริยันเจิดจรัส’ ของหมู่บ้านพวกคุณน่ะ แต่เขาไม่ได้อยู่ที่บ้าน ที่โบสถ์ก็ไม่มี

“ไม่ต้องบอกว่าเป็นโบสถ์ไหนก็ได้ ทั้งกอร์ดูก็มีอยู่แค่โบสถ์เดียวนี่แหละ” ปิแอร์ที่ดื่มอัปแซ็งต์ของไรอันฟรีไปหนึ่งแก้วเอ่ยเตือนอย่างมีน้ำใจ

ชาวบ้านคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ บาร์ต่างคนต่างก็ดื่มเหล้าของตัวเองไป ไม่มีใครตอบคำถามของไรอัน ราวกับว่าชื่อนี้สื่อถึงข้อห้ามบางอย่างหรือผู้มีอำนาจบางคน ไม่อาจยกมาพูดคุยส่งเดชได้

ลูมิแอร์จิบเหล้าแล้วครุ่นคิดสองสามวินาที

“ผมพอจะเดาได้ว่าบาทหลวงประจำโบสถ์อยู่ที่ไหน ต้องให้ผมพาไปหรือเปล่า”

“งั้นต้องรบกวนคุณด้วย” ลีอาห์ไม่มัวเกรงใจ

ไรอันผงกศีรษะ

“รอให้คุณดื่มหมดแก้วก่อนก็แล้วกัน”

“ได้” ลูมิแอร์หยิบแก้วแล้วกระดกเอาของเหลวสีเขียวอ่อนลงไปจนหมด

เขาวางแก้วลง ลุกขึ้นยืน

“ไปกันเถอะ”

“ขอบคุณมากจริงๆ” ไรอันเรียกวาเลนไทน์กับลีอาห์ให้ลุกขึ้น พลางเอ่ยแสดงความขอบคุณลูมิแอร์

ลูมิแอร์คลี่ยิ้มให้

“ไม่เป็นไร พวกคุณได้ฟังเรื่องผมไปแล้ว ผมเองก็ดื่มเหล้าของพวกคุณ ตอนนี้พวกเราก็นับว่าเป็นเพื่อนกันแล้วใช่ไหม”

“ใช่แล้วล่ะ” ไรอันผงกศีรษะเบาๆ

รอยยิ้มบนใบหน้าลูมิแอร์เฉิดฉายขึ้นมา เขากางสองแขนประหนึ่งว่าต้องการสวมกอดอีกฝ่าย

พร้อมกันนั้นเขาก็พูดอย่างกระตือรือร้น

“ยินดีที่ได้รู้จักพวกคุณ กะหล่ำปลีของผม”

ไรอันที่เตรียมจะกอดตอบ ถึงกับตัวแข็งทื่อชะงักไป

“กะหล่ำปลี?”

สีหน้าเขาดูงงงวยและประดักประเดิด

วาเลนไทน์กับลีอาห์ก็เฉกเช่นเดียวกัน

“นี่เป็นคำที่พวกเราใช้แสดงความรักต่อสหายน่ะ ทุกคนในภูมิภาคดาริแยฌรู้กันทั้งนั้น เป็นแบบนี้มาตั้งหลายร้อยปีแล้วล่ะ” ลูมิแอร์อธิบายด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “เชื่อผมเถอะ กะหล่ำปลีของผม”

ลีอาห์อดมองไปรอบๆ ไม่ได้ ทำให้เกิดเสียงดังกรุ๊งกริ๊งไปด้วย

ปิแอร์และคนอื่นๆ พากันทยอยผงกศีรษะ บ่งบอกว่าครั้งนี้ลูมิแอร์ไม่ได้หลอกลวง ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าพวกเขาเหล่านั้นราวกับกำลังฟ้องว่าพวกเขาสุดแสนจะยินดีมีสุขที่เห็นคนต่างถิ่นทนต่อคำเรียกหาที่แสดงถึงการต้อนรับอบอุ่นเช่นนี้ไม่ได้

ลูมิแอร์ถูคางไปมา

“ไม่ชอบกันเหรอ?

“งั้นผมเปลี่ยนเป็นคำอื่นก็ได้ เป็นคำใช้สำหรับเรียกเพื่อนเหมือนกัน

“กระต่ายของผม ไก่น้อยของผม เป็ดของผม แกะน้อยของผม พวกคุณชอบคำไหน?”

ใบหน้าไรอันแข็งทื่อ ส่วนวาเลนไทน์หน้านิ่วคิ้วขมวด

ลีอาห์ตอบด้วยความโมโหระคนขบขัน

“งั้นก็เรียกกะหล่ำปลีเถอะ อย่างน้อยมันก็ยังฟังดูธรรมดาหน่อย”

เฮ่อ… ไรอันถอนหายใจเงียบๆ กดข้อศอกวาเลนไทน์เอาไว้ ก่อนจะผงกศีรษะเล็กน้อย

“ฟังดูเหมือนเป็นพวกข้าวของมีค่าในบ้านเลยนะ”

โดยไม่รอให้ลูมิแอร์ตอบอะไร เขาก็เอี้ยวตัวไปพูดกับบาร์เทนเดอร์

“คิดเงิน”

“สองเฟลกิ้น” บาร์เทนเดอร์กวาดสายตามองแก้วเหล้าบนเคาน์เตอร์บาร์

ขณะที่ไรอันกำลังชำระเงิน ลีอาห์ก็เปลี่ยนเรื่องสนทนา

“ชื่อลูมิแอร์นี่ ไม่ค่อยเห็นมีใครใช้เท่าไหร่เลยนะ”

“อย่างน้อยก็ดีกว่าชื่อปิแอร์กับกีโยมล่ะ” ลูมิแอร์พูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าคุณตะโกนเรียกปิแอร์ที่นี่ ต้องมีคนอย่างน้อยหนึ่งในสามที่ขานรับ แล้วถ้าตะโกนเรียกกีโยมอีกรอบ ก็จะมีคนอีกหนึ่งในสามตอบมา ซึ่งคนคนนี้…”

เขาชี้ไปที่ชายวัยกลางคนผอมแห้งที่กำลังดื่มเหล้าฟรีอยู่

“ชื่อเต็มของเขาก็คือปิแอร์ กีโยม”

ลีอาห์ยิ้มให้ตามความเหมาะควร นับว่าเขี่ยเอาหัวข้อสนทนาเรื่องกะหล่ำปลีทิ้งไว้ข้างทางได้เรียบร้อย

ก่อนจะออกจากร้านเหล้า ไรอันหันกลับไปมองกวาดอีกครั้ง

“มีอะไรเหรอ” ลีอาห์ถามด้วยความสงสัย

ลูมิแอร์ตอบอย่างครุ่นคิด

“คนต่างถิ่นที่มาร้านเหล้าวันนี้ไม่ได้มีแค่พวกคุณสามคน ก่อนหน้านี้ยังมีอีกหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่”

“รูปร่างหน้าตาเป็นยังไง” ไรอันสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา

ลูมิแอร์นึกทบทวน

“เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ดูท่าทางสง่างามมาก มองแล้วเหมือนจะมาจากเมืองใหญ่ แต่หน้าตานี่ผมไม่รู้จะพูดยังไงดี จะให้ผมวาดให้ดูไหม”

“คุณวาดรูปเป็นด้วยเหรอ” ไรอันพอจะเข้าใจนิสัยของลูมิแอร์แล้ว จึงเอ่ยถามอย่างระแวง

ลูมิแอร์หัวเราะ

“ไม่เป็น”

“งั้นไปหาบาทหลวงประจำโบสถ์กันก่อนเถอะ” ไรอันรีบเบรกหัวข้อสนทนา

* * * * *

ยามค่ำคืนในหมู่บ้านกอร์ดูนั้นไร้ซึ่งไฟถนน แต่ก็ไม่ได้ถึงกับมืดสนิท หมู่ดาวระยิบระยับบนฟากฟ้านำพาแสงสลัวอันเงียบสงบ กอปรกับแสงไฟเหลืองนวลที่ลอดออกมาจากหน้าต่างบ้านเรือนบางหลังที่สองข้างทาง ทำให้คนทั้งสี่เดินได้อย่างมั่นคง

ไม่นานนักพวกเขาก็ใกล้ถึงโบสถ์ ‘สุริยันเจิดจรัส’ ซึ่งอยู่ถัดจากลานจัตุรัสของหมู่บ้าน

ค่ำคืนอันมืดมิด สิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่งดงามที่สุดในหมู่บ้านแห่งนี้ราวกับหลอมละลายไปกับความมืดจนดูพร่าเลือนอยู่บ้าง

“ก่อนหน้านี้พวกเราก็มาที่นี่กันแล้วล่ะ แต่ไม่มีคนอยู่” วาเลนไทน์ที่ไม่แยแสสนใจใครขมวดคิ้ว

ลูมิแอร์พูดเจือรอยยิ้ม

“ประตูทางเข้าไม่มีคนก็ไม่ได้แปลว่าที่อื่นจะไม่มีใครนี่นา”

ขณะที่พูดเขาก็เดินนำพวกไรอันทั้งสามคนอ้อมหน้าโบสถ์ไปยังสถานที่ซึ่งใกล้กับสุสาน

ที่นี่มีบานประตูไม้สีน้ำตาลเข้มอยู่หนึ่งบาน

ก่อนที่พวกไรอันจะทันได้เคาะประตู ลูมิแอร์ก็เอื้อมมือไปยุกยิกในร่องกุญแจสองสามครั้ง

เสียงดังแอ๊ด เขาผลักบานประตูเปิดออก

“แบบนี้มันเสียมารยาทนะ” ไรอันขมวดคิ้ว

ลีอาห์ผงกศีรษะดังกรุ๊งกริ๊ง

“พวกเรามาเยี่ยมเยียนบาทหลวงนะ ไม่ได้มาหาเรื่องเขา”

“ก็ได้” ลูมิแอร์เป็นคนที่ยอมรับความคิดเห็นที่ถูกต้องของคนอื่นอยู่แล้ว

เขางับบานประตูไม้ปิดลงไป จากนั้นก็เคาะเบาๆ

“เฮ้ มีใครอยู่หรือเปล่า ถ้าไม่ตอบผมจะเข้าไปแล้วนะ” เขาพูดเสียงเบามากจนราวกับว่ากำลังพึมพำกับตัวเอง

ภายในโบสถ์มีแต่ความเงียบสงัด

วินาทีถัดมา ลูมิแอร์ก็ผลักประตูเปิดอีกครั้งแล้วชี้เข้าไปข้างใน

“เข้าไปกันเถอะ”

เดิมทีไรอันคิดจะปฏิเสธ แต่เมื่อมองดูความดำมืดด้านหลังบานประตูแล้ว เขาใคร่ครวญสองสามวินาทีก็หันไปสบตาสหาย

“ตกลง” เขาก้าวเท้าไปด้านหน้า เชื่องช้าทว่ามั่นคง

ลีอาห์กับวาเลนไทน์ตามไปติดๆ

ในเวลาเช่นนี้ กระดิ่งเงินใบจ้อยสองลูกที่รองเท้าบูตกับที่อยู่บนผ้าคลุมศีรษะทั้งสองข้างรวมเป็นสี่ใบกลับเงียบกริบไม่ได้ส่งเสียงแม้แต่น้อย

ภายใต้สภาพแวดล้อมที่มืดมิด คนทั้งสี่ก้าวไปข้างหน้า

แล้วทันใดนั้นไรอันก็หยุดชะงัก พูดด้วยเสียงต่ำ

“เหมือนมีเสียงอะไรบางอย่าง”

“นั่นสิ” ลูมิแอร์เห็นด้วยเต็มที่

เพิ่งจะพูดขาดคำ จู่ๆ เขาก็ออกแรงผลักที่ด้านข้าง เสียงประตูอีกบานเปิดดังปัง

ที่นั่นเหมือนกับเป็นห้องสารภาพบาปของโบสถ์ แสงดาวสลัวที่ส่องลอดเข้ามาเผยให้เห็นเตียงต่ำที่เรียบง่ายหนึ่งหลัง และชายฉกรรจ์ที่ร่างเปลือยเปล่าผู้หนึ่ง

ชายฉกรรจ์กำลังทาบทับอยู่บนร่างผู้หญิงที่ขาวเนียน

ณ ช่วงเวลาขณะนั้น ทุกคนล้วนแต่ตะลึงงัน รวมถึงชายฉกรรจ์กับผู้หญิงที่อยู่ใต้ร่างเขาด้วย

ไม่กี่วินาทีต่อมา ชายฉกรรจ์คนนั้นก็หันศีรษะมา คำรามใส่พวกไรอันด้วยความฉุนเฉียว

“ไอ้ลูกหมาสารเลว พวกแกกำลังทำลายพิธีศักดิ์สิทธิ์อยู่นะ!”

เสียงตะโกนดังก้องไปทั่ว ลูมิแอร์ที่รีบผลุบไปอยู่ด้านหลังพวกไรอันตั้งแต่ก่อนหน้านี้โบกมือให้ พูดด้วยรอยยิ้มเร็วปรื๋อ

“ดูเหมือนจะหาบาทหลวงเจอแล้ว กะหล่ำปลีของผม ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ!”

พูดได้ครึ่งเดียวเขาก็กลับหลังหันวิ่งฉิวไปที่ประตูด้านข้างเรียบร้อยแล้ว คำพูดท่อนหลังต่อจากนั้นล่องลอยมาตามสายลมและเบาลงเรื่อยๆ

วินาทีนี้ ภายในหัวของลีอาห์ ไรอัน และวาเลนไทน์ ได้มีประโยคหนึ่งผุดขึ้นมาพร้อมๆ กัน

นั่นคือคำพูดที่ชายวัยกลางคนชื่อปิแอร์ กีโยมพูดเอาไว้…

“เจ้าหนูนี่น่ะเป็นจอมป่วนที่สุดในหมู่บ้านเลยแหละ พวกคุณต้องอยู่ห่างๆ เขาหน่อยนะ…”

* * * * *

ภายใต้แสงดาวที่ส่องลงมาจากฟากฟ้า ลูมิแอร์ผิวปากสบายใจ

เขาสองมือล้วงกระเป๋าเดินทอดน่องไปตามถนนในชนบท

“บาทหลวงมีความสัมพันธ์กับมาดามปัวริสจริงๆ ด้วย

“คนต่างถิ่นกลุ่มนี้ดูเหมือนจะมีสถานะมีตำแหน่งอยู่บ้าง บาทหลวงไม่กล้าทำอะไรพวกเขาแน่ เขาต้องจ่ายแพงมากถึงจะหยุดข่าวอื้อฉาวนี้ไม่ให้เรื่องชู้สาวในโบสถ์แพร่ออกไป

“หึ ใครใช้ให้เขาแอบคิดอะไรกับโอรอร์ล่ะ ฉันรอโอกาสนี้มาตั้งนานแล้ว…”

ระหว่างที่พึมพำอยู่ในใจ ลูมิแอร์ก็กลับมาถึงบ้านซึ่งอยู่ที่ชายขอบของหมู่บ้าน

มันเป็นบ้านสองชั้นกึ่งใต้ดิน ชั้นล่างเป็นห้องครัวที่บางทีก็ใช้เป็นห้องรับแขก มีเตาอบอยู่หนึ่งกับเตาปรุงอาหารขนาดใหญ่

“โอรอร์! โอรอร์!” ลูมิแอร์เดินขึ้นบันไดพลางตะโกนเรียกไปด้วย

แต่ไม่มีใครตอบรับ

บนชั้นสองมีสามห้องกับอีกหนึ่งห้องน้ำ ในเวลานี้พวกมันเปิดประตูคาไว้ทุกห้อง

ลูมิแอร์กวาดตามองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นร่างพี่สาว

เขาครุ่นคิดแล้วเดินไปจนสุดทาง จากนั้นก็ใช้บันไดตรงนั้นปีนขึ้นไปบนหลังคา

หลังคาสีแดงส้มถูกห่อหุ้มไว้ด้วยสีแห่งยามวิกาลที่แผ่กระจาย มีเงาร่างหนึ่งกำลังนั่งกอดเข่ามองดูดวงดาราบนผืนฟ้าอย่างเงียบสงบ

นี่คือผู้หญิงที่งดงามเป็นอย่างยิ่ง ผมบลอนด์ที่ยาวและหนา ดวงตาสีฟ้าอ่อน ใบหน้ามีเลือดฝาดเฉิดฉาย

ณ ขณะนี้เธอกำลังจดจ้องท้องฟ้ากว้างไพศาล มองดูประกายวิบวับบนนั้นด้วยอารมณ์เงียบสงบประหนึ่งรูปปั้นประติมากรรม

ลูมิแอร์ไม่ได้พูดอะไร เขาย้ายไปอยู่ข้างผู้หญิงคนนั้นแล้วนั่งลงไปด้วยกัน

เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ทอดสายตามองดูภูเขาแมกไม้ที่อยู่ห่างออกไป ได้ยินเสียงลมหวีดหวิวที่กระโชกผ่านต้นไม้

ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเพียงใด ผู้หญิงคนนั้นก็เหยียดสองแขนบิดเอวอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์

“โอรอร์ ฉันไม่เห็นจะเข้าใจเลยว่าวิวแบบนี้มันมีอะไรน่าดู ถึงได้คุ้มค่าให้เธอขึ้นมาดูบ่อยๆ น่ะ” ลูมิแอร์เอ่ยขึ้นมา

“เรียกพี่สาวสิยะ!” โอรอร์ชูนิ้วขึ้นมาเคาะหน้าผากลูมิแอร์เบาๆ

จากนั้นเธอก็ถอนหายใจ สีหน้ากลายเป็นหม่นหมอง

“เคยมีนักปรัชญากล่าวไว้ว่า บนโลกใบนี้มีเพียงสองสิ่งเท่านั้นที่ควรค่าต่อการเคารพยำเกรง หนึ่งคือจิตใจแห่งคุณธรรม สองคือฟากฟ้าดาราเหนือศีรษะ”

ลูมิแอร์เหลือบมองใบหน้าเศร้าสร้อยของพี่สาวแล้วจงใจพูดอย่างยิ้มแย้ม

“คำถามข้อนี้ฉันตอบได้ จักรพรรดิโรเซลล์เป็นคนพูด!”

“พรืด…” โอรอร์หัวเราะเสียงดัง

จากนั้นเธอก็สูดจมูกฟุดฟิด แล้วเลิกวงคิ้วสีทองที่งดงาม

“ดื่มมาอีกแล้ว!”

“เขาเรียกว่าเข้าสังคมต่างหาก” ลูมิแอร์เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ “ฉันบังเอิญเจอคนต่างถิ่นเข้าสามคนน่ะ…”

โอรอร์อดหัวเราะออกมาไม่ได้

“ฉันล่ะกลัวจริงๆ ว่าบาทหลวงจะตกใจจนขวัญกระเจิง”

วินาทีถัดมาสีหน้าเธอก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง

“ลูมิแอร์ อย่าไปยั่วยุบาทหลวงอีกนะ เขาไม่ทำอะไรอะไรกับฉันอีกแล้วล่ะ จะหาคนใหม่มาแทนก็ไม่ใช่เรื่องง่ายหรอก”

“แต่พอฉันเห็นเขาทีไรก็เกลียด…” ลูมิแอร์ยังพูดไม่ทันจบ โอรอร์ก็ลุกขึ้นยืนเสียก่อน

เธอก้มมองน้องชายแล้วพูดอย่างยิ้มแย้ม

“เอาล่ะๆ ได้เวลานอนแล้ว น้องชายขี้เมาของฉัน”

ระหว่างที่พูดโอรอร์ก็ขว้างฝุ่นสีเงินออกไป

จากนั้นเธอก็ลอยขึ้นไปราวกับสกุณาตัวน้อย บินลงมาจากหลังคาก่อนจะเลี้ยวเข้าไปในหน้าต่างชั้นสอง

ลูมิแอร์มองเงียบๆ จนจบแล้วก็รีบตะโกนขึ้น

“แล้วฉันล่ะ?”

“ปีนลงมาเองสิ!” โอรอร์ที่อยู่ในบ้านตอบกลับมาอย่างแล้งน้ำใจ

ลูมิแอร์ทำหน้าหงิกปากคว่ำ รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ จางหายไป

เขามองไปยังละอองสีเงินที่มอดดับอย่างรวดเร็วในค่ำคืนยามวิกาล ถอนหายใจเบาๆ บ่นพึมพำกับตัวเอง

“ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ฉันถึงจะมีพลังวิเศษแบบนี้บ้างนะ…”

※ ※ ※ ※ ※

ออโรร่า : ภาพจาก https://qiang45042.lofter.com/post/4ba8b6f5_2b877ec19

 

โอรอร์


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บ่วงชะตากรรม : ราชันเร้นลับ 2

ตอนที่ 9 นิตยสาร

ตอนที่ 15 พูดคุยสอบถามข้อมูล