ตอนที่ 3 ความฝัน

บ่วงชะตากรรม : ราชันเร้นลับ (ราชันโลกพิศวง) ภาคสอง

ตอนที่ 3 ความฝัน

※ ※ ※ ※ ※

ลูมิแอร์นั่งอยู่บนหลังคา ยังไม่ได้ลงไปในทันที

เขาระงับสีหน้ากลับมาเป็นปกติดังเดิมแล้ว ท่าทางที่สงบนิ่งจริงจังเช่นนี้ช่างแตกต่างจากชายหนุ่มในร้านเหล้าที่ขี้เล่นชอบแกล้งคนจนราวกับเป็นคนละคน

นับตั้งแต่ที่เขาบังเอิญพบว่าโอรอร์มีพลังเวทมนตร์พวกนั้น เขาก็ปรารถนาอยากจะได้มันมาโดยตลอด ทว่าโอรอร์คอยพร่ำบอกเขาอยู่เสมอว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าอิจฉาหรือควรแก่การไขว่คว้าหามาครอบครอง ตรงกันข้ามเลยต่างหาก นี่เป็นสิ่งอันตรายอย่างยิ่งยวด ทั้งยังเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ดังนั้นเธอจึงไม่ยินยอมให้น้องชายเดินบนทางสายนี้ เกรงว่าต่อให้เธอมีหนทางที่จะทำให้คนธรรมดาสามารถควบคุมพลังวิเศษได้ ก็ไม่มีทางบอกกับลูมิแอร์หรอก

เรื่องนี้ลูมิแอร์จึงทำได้เพียงแค่คอยหาโอกาสเกลี้ยกล่อมอย่างไม่หยุดหย่อน ทำได้เพียงแค่ขอร้องแต่ไม่อาจบังคับฝืนใจ

ผ่านไปสิบกว่าวินาที ลูมิแอร์ก็ลุกขึ้นยืน รีบถลันไปที่ขอบชายคาแล้วปีนลงไปตามบันไดไม้กลับไปยังชั้นสอง

เขาทำเป็นเดินเล่นมาถึงหน้าห้องโอรอร์ เมื่อเห็นบานประตูไม้สีน้ำตาลเปิดคาอยู่ จึงถือโอกาสชะโงกศีรษะเข้าไปมอง

ในเวลานี้ โอรอร์ที่สวมกระโปรงสีฟ้าอ่อนกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานริมหน้าต่าง อาศัยโคมไฟที่เปิดสว่างก้มหน้าเขียนอะไรบางอย่างอยู่

ดึกขนาดนี้แล้วยังจะเขียนอะไรอยู่อีก? จดบันทึกเวทมนตร์งั้นเหรอ? ลูมิแอร์ยกมือขึ้นมาผลักประตูพร้อมกับพูดล้อเล่น

“เขียนไดอารี่อยู่หรือไง?”

“คนจริงใจใครจะเขียนไดอารี?” [1] โอรอร์ตอบโดยไม่ได้หันหน้ามา ยังคงใช้ปากกาหมึกซึมด้ามวิจิตรสีทองแชมเปญเขียนหนังสือต่อ

ลูมิแอร์ไม่พอใจในคำตอบ

“จักรพรรดิโรเซลล์ยังเขียนไดอารี่เอาไว้ตั้งหลายเล่ม”

โรเซลล์เป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายในประวัติศาสตร์ของสาธารณรัฐอินทิสที่พวกเขาสองพี่น้องอาศัยอยู่ เขาทำให้การปกครองของราชวงศ์เซารอนต้องสิ้นสุดลง และใช้อำนาจสถาปนาขึ้นครองราชย์เป็น ‘ซีซาร์’ ตั้งตนเป็นจักรพรรดิ

เขาคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ที่สำคัญยิ่งจำนวนมาก รวมถึงเครื่องจักรไอน้ำด้วย เป็นผู้ค้นพบเส้นทางน้ำสู่ทวีปใต้จนทำให้เกิดกระแสล่าอาณานิคม เขาเป็นสัญลักษณ์แห่งยุคสมัยของช่วงเวลานั้นเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน

แต่น่าเสียดายที่ช่วงท้ายรัชสมัยเขากลับถูกทรยศหักหลัง และถูกลอบสังหารที่พระราชวังไวต์เมเปิลในเทรียร์

หลังจากการสิ้นชีพของมหาจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ ไดอารีจำนวนมากของเขาถูกกระจายส่งต่อไปทั่วผืนแผ่นดิน ทว่าไม่มีมนุษย์คนใดอ่านเข้าใจ ราวกับมันถูกเขียนด้วยตัวอักษรที่ไม่ได้มีใช้อยู่บนสถานที่แห่งใดในโลกใบนี้

“เพราะงั้นโรเซลล์ก็เลยไม่ใช่คนจริงใจไงล่ะ” โอรอร์ที่หันหลังให้ลูมิแอร์แค่นหัวเราะ

“งั้นเธอเขียนอะไรอยู่ล่ะ” ลูมิแอร์ถามตามน้ำต่อ

เพราะนี่เป็นเรื่องที่เขาอยากจะรู้จริงๆ

โอรอร์ตอบอย่างไม่ใส่ใจ

“จดหมาย”

“เขียนให้ใคร” ลูมิแอร์อดขมวดคิ้วไม่ได้

โอรอร์หยุดปากกาหมึกซึมสีทองแชมเปญที่มีลวดลายวิจิตรด้ามนั้น ตรวจตราถ้อยคำและประโยคที่เขียน

“เพื่อนทางจดหมายคนหนึ่ง”

“เพื่อนทางจดหมาย?” ลูมิแอร์รู้สึกงุนงง

มันคืออะไรน่ะ?

โอรอร์หัวเราะคิก ยกมือทัดปอยผมสีบลอนด์ไว้ที่ใบหูพลางสอนสั่งน้องชายไปด้วย

“ดังนั้นฉันถึงบอกให้นายขยันเรียนไงล่ะ อย่าเอาแต่ออกไปเที่ยวเล่นไปกินเหล้าอยู่ได้ทุกวี่วัน!

“นายดูตัวเองสิ สมัยตอนยังอ่านหนังสือไม่ออกกับตอนนี้น่ะ มีอะไรแตกต่างกันตรงไหนบ้าง?

“เพื่อนทางจดหมายก็คือรู้จักกันผ่านทางคอลัมน์หนังสือพิมพ์ ทางนิตยสารอะไรพวกนั้นนั่นแหละ เพียงแต่ไม่เคยเจอหน้ากัน เป็นเพื่อนที่พูดคุยกันแค่ทางจดหมายอย่างเดียว”

“เพื่อนแบบนี้จะไปมีความหมายอะไร?” ลูมิแอร์ค่อนข้างเป็นกังวลในเรื่องนี้

เขาอดดึงมือที่จับประตูคาไว้มาถูคางตัวเองไม่ได้

แม้โอรอร์จะไม่เคยมีแฟนมาก่อน แต่ก็ใช่ว่าจะถูกหลอกไม่ได้เสียหน่อย ถึงแม้จะเป็นคนที่ไม่เคยหน้าค่าตาก็เถอะ

“มีความหมายอะไรงั้นเหรอ?” โอรอร์ครุ่นคิดอย่างจริงจัง “ประการแรกก็คือคุณค่าทางอารมณ์ไงล่ะ อ้อ…ฉันรู้ว่านายไม่เข้าใจหรอกว่าคุณค่าทางอารมณ์คืออะไร มนุษย์เป็นสัตว์สังคม จำเป็นต้องติดต่อสื่อสารกัน แต่ก็มีบางเรื่องบางอารมณ์ที่ฉันไม่มีทางเล่าให้คนในหมู่บ้านฟังเด็ดขาด แล้วก็เล่าให้นายฟังไม่ได้ด้วย เลยต้องหาใครสักคนไว้เป็นช่องทางลับๆ สำหรับระบาย เพื่อนทางจดหมายที่ไม่ต้องเจอหน้ากันนี่แหละเหมาะสมแล้ว ประการต่อมา…นายอย่าดูถูกพวกเพื่อนๆ ทางจดหมายของฉันเชียว ในพวกเขาน่ะมีคนที่เก่งมาก ยอดเยี่ยมสุดๆ บางคนก็มีความรู้กว้างขวาง ก็เหมือนกับโคมไฟที่ใช้แบตเตอรี่อันนี้ไงล่ะ เนี่ย…เพื่อนทางจดหมายคนหนึ่งของฉันส่งมาให้ พวกตะเกียงน้ำมันก๊าดกับเทียนไขทำร้ายสายตาเกินไป ไม่เหมาะจะเอามาใช้เขียนหนังสือตอนกลางคืน…”

โดยไม่รอให้ลูมิแอร์ถามอะไรอีก โอรอร์ก็ยกมือซ้ายขึ้นมาโบกไล่จากด้านหลังโดยไม่ได้หันมา

“รีบๆ ไปนอนได้แล้ว เจ้าน้องชายขี้เมา!

“ราตรีสวัสดิ์!”

“อื้อ ราตรีสวัสดิ์” ถึงแม้จะไม่เต็มใจ แต่ลูมิแอร์ก็ไม่เซ้าซี้ถามต่อ

โอรอร์สั่งไล่หลังมา

“อย่าลืมปิดประตูให้ด้วยนะ เปิดประตูเปิดหน้าต่างคาไว้มันหนาวน่ะ”

ลูมิแอร์ค่อยๆ ปิดบานประตูไม้สีน้ำตาลอย่างช้าๆ

จากนั้นเขาก็เดินกลับไปยังห้องของตนเอง ถอดรองเท้า ทรุดนั่งลงบนเตียง

ในค่ำคืนอันมืดสลัว ภาพของโต๊ะไม้ริมหน้าต่าง เก้าอี้เอน ชั้นหนังสือเล็กๆ ที่วางพิงผนังด้านข้าง และตู้เสื้อผ้าอีกหนึ่งตู้ สะท้อนอยู่ในดวงตาของลูมิแอร์

เขานั่งอย่างเงียบงัน จมอยู่ในห้วงความคิด

เขารู้มาโดยตลอดว่าโอรอร์นั้นมีความลับของตัวเอง มีเรื่องมากมายที่ไม่ได้บอกเล่าให้เขารู้ เหตุการณ์เมื่อครู่นี้จึงไม่ใช่เรื่องผิดคาดอะไร เพียงแต่เขาเป็นห่วง กลัวว่าความลับเหล่านี้อาจจะทำให้โอรอร์เกิดอันตรายได้

และถ้าหากว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจริง ความสามารถของเขานั้นค่อนข้างจำกัด

เขาเป็นเพียงแค่ผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่งที่มีร่างกายแข็งแรง ถึงแม้หัวสมองจะพอนับได้ว่ามีไหวพริบอยู่บ้างก็เถอะ

ความคิดแต่ละเรื่องผุดขึ้นมาแล้วก็มลายหายไป ลูมิแอร์ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงไปห้องน้ำเพื่อล้างหน้าบ้วนปาก

จากนั้นเขาก็ถอดเสื้อนอกตัวสีน้ำตาลที่เป็นเสื้อแจ็กเกต ทิ้งตัวลงบนเตียงที่ยังไม่ได้ทำให้อุ่น

เดือนเมษายนบนภูเขา อากาศค่อนข้างเย็นอยู่บ้าง

* * * * *

ระหว่างที่กำลังง่วงงุนอยู่นั้น ลูมิแอร์ก็ราวกับมองเห็นผืนหมอกสีเทา

พวกมันกระจายอยู่รายรอบจนทำให้สิ่งของที่อยู่ไกลออกไปนั้นหายไปจากสายตาโดยสิ้นเชิง

ลูมิแอร์เดินอย่างสติไม่ค่อยอยู่กับตัว แต่ไม่ว่าจะเดินไปทางใด จะเดินเข้าไปในหมอกสีเทาไกลแค่ไหน สุดท้ายก็พบว่าตัวเองกลับมายืนที่เดิม นั่นคือ…

ภายในห้องนอนของเขาเอง

ห้องนอนที่ประกอบไปด้วยเตียงนอนที่เป็นชุดเตียงสี่ชิ้น โต๊ะไม้กับเก้าอี้วางริมหน้าต่าง ชั้นหนังสือ ตู้เสื้อผ้า

* * * * *

เฮ่อ… ลูมิแอร์ลืมตาตื่นขึ้นมา

แสงแดดยามเช้าส่องผ่านผ้าม่านสีน้ำเงินที่ไม่ได้หนาทึบมาก ส่องสว่างไปครึ่งห้องนอน

ลูมิแอร์ลุกขึ้นมานั่ง เหม่อมองอย่างเลื่อนลอย มีความรู้สึกเหมือนตัวเองยังคงฝันค้าง

เขาฝันแบบนั้นอีกแล้ว

ฝันถึงหมอกเทาที่ไม่ยอมสลายหายไป

เขายกมือขึ้นมานวดขมับสองข้าง พูดพึมพำเงียบๆ

“ช่วงนี้ฝันบ่อยขึ้นทุกทีแฮะ เกือบจะทุกวันอยู่แล้ว…”

หากไม่เป็นเพราะความฝันนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบด้านลบใดๆ ลูมิแอร์คงไม่ใจเย็นอยู่แบบนี้หรอก

แต่แน่นอนว่ามันเองก็ไม่ได้ส่งผลกระทบด้านบวกด้วยเช่นกัน

“ฉันล่ะหวังอยากจะให้มันเกิดเรื่องอะไรดีๆ ขึ้นมาซะจริง…” ลูมิแอร์พึมพำก่อนจะพลิกตัวลงจากเตียง

เขาเพิ่งจะเปิดประตูเดินมาถึงทางเดินก็ได้ยินเสียงดังออกมาจากในห้องโอรอร์

บังเอิญจังแฮะ… บนใบหน้าลูมิแอร์เผยรอยยิ้มหนึ่งสาย

ทันใดนั้นเขาก็ใจเต้นวูบ รีบถอยหลังหนึ่งก้าว ไปยืนรออยู่ที่ขอบประตู

เมื่อประตูห้องนอนของโอรอร์เปิดผึงออกมา ลูมิแอร์ก็ยกมือขวาขึ้นมานวดขมับ สีหน้าแสดงความเจ็บปวดอย่างชัดเจน

“เป็นอะไรไป” โอรอร์สังเกตเห็นเข้า

สำเร็จ! ลูมิแอร์ตะโกนไชโยโห่ร้องอยู่ในใจ แล้วพยายามสงบสติอารมณ์เต็มที่

“ฉันฝันถึงเรื่องนั้นอีกแล้วน่ะสิ” เขาตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ

ปอยผมสีบลอนด์ของโอรอร์ระลงมา หัวคิ้วค่อยๆ ขมวดมุ่นด้วยความกังวล

“ที่ทำไปครั้งก่อนใช้ไม่ได้ผลสินะ…”

เธอครุ่นคิด

“บางที…ฉันน่าจะหานักสะกดจิตให้นายสักคน นักสะกดจิตตัวจริงเลยน่ะ ดูว่าอะไรกันแน่ที่เป็นสาเหตุ”

“หมายถึงพวกคนที่มีพลังเวทน่ะเหรอ” ลูมิแอร์เอ่ยถามอย่างจงใจ

โอรอร์ผงกศีรษะเบาๆ เป็นคำตอบ

“เป็นหนึ่งในเพื่อนทางจดหมายของเธอหรือเปล่า?” ลูมิแอร์อดถามเพิ่มอีกไม่ได้

“นายจะสนเรื่องนี้ทำไม? คิดหาวิธีแก้ปัญหาของตัวเองไปเถอะน่า!” โอรอร์ไม่ได้ตอบออกมาโดยตรง

ก็ไม่ใช่ว่าฉันกำลังคิดอยู่หรือไง… ลูมิแอร์พึมพำอยู่ในใจ

เขารีบพูดตามน้ำต่อ

“โอรอร์… ถ้าฉันกลายเป็นผู้ใช้เวทขึ้นมา กลายเป็นคนที่ใช้พลังวิเศษได้ ก็น่าจะไขความลับของความฝันนี้แล้วทำให้มันจบลงได้นะ”

“ไม่ต้องคิดเลยย่ะ!” โอรอร์ตอบอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

จากนั้นสีหน้าเธอก็อ่อนลง

“ลูมิแอร์ ฉันไม่ได้โกหกนายหรอกนะ เส้นทางนี้เต็มไปด้วยอันตรายและความเจ็บปวด ถ้าหากไม่ใช่เป็นเพราะไม่มีทางเลือกอื่นอีก ถ้าหากไม่เป็นเพราะโลกใบนี้อันตรายขึ้นเรื่อยๆ แล้วล่ะก็… ฉันจะขอเป็นนักเขียนธรรมดาๆ ดีกว่า แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข”

ลูมิแอร์พูดขึ้นทันที

“งั้นก็ให้ฉันเป็นคนแบกรับอันตรายและความเจ็บปวดนั่นเอง ฉันจะได้ปกป้องเธอ ส่วนเธอก็จะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข จะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำไง”

คำพูดเหล่านี้เขาคิดไว้นานมากแล้ว

โอรอร์นิ่งเงียบไปสองวินาที ก่อนจะค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา

“นายนี่เป็นพวกเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิงหรือไง”

โดยไม่เปิดโอกาสให้ลูมิแอร์ประกาศเจตนารมณ์ใหม่อีก เธอพูดต่อด้วยสีหน้าจริงจัง

“ไม่มีประโยชน์หรอก หลังจากที่เลือกเส้นทางสายนี้แล้วก็ไม่มีโอกาสให้สำนึกเสียใจภายหลังแล้วล่ะ

“เอาล่ะ เอาล่ะ ฉันจะไปล้างหน้าบ้วนปากก่อน วันนี้นายก็อยู่บ้านตั้งใจเรียนล่ะ เตรียมตัวสอบเข้าระดับมหาวิทยาลัยในเดือนมิถุนานี้ซะ!”

“ก็ไหนเธอบอกว่าโลกใบนี้อันตรายขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่หรือไง แล้วยังจะให้ไปสอบทำไมอีก?” ลูมิแอร์บ่นอุบ

เขารู้สึกว่าในเวลานี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการได้รับพลังความแข็งแกร่งต่างหาก ไม่ใช่ใบปริญญาเสียหน่อย

โอรอร์ยิ้มให้

“น้องชายผู้ไร้การศึกษาของฉันเอ๋ย… ความรู้ก็คือพลังอำนาจไงล่ะ”

ลูมิแอร์หมดคำจะพูด เพียงแค่มองดูโอรอร์เดินเข้าห้องน้ำไป

* * * * *

เวลาบ่าย ที่ลานจัตุรัสของหมู่บ้านกอร์ดู

จากระยะไกลนั้น แรมุนด์ เกร็กเห็นลูมิแอร์ ลีนั่งยองอยู่ใต้ต้นเอล์ม ไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไรอยู่

“ไม่ใช่ว่านายควรต้องนั่งเรียนหนังสืออยู่บ้านหรอกเหรอ?” แรมุนด์เดินเข้าไปหา น้ำเสียงนั้นแฝงความอิจฉาไว้อย่างชัดเจน

เขาเป็นเพื่อนของลูมิแอร์ ส่วนสูงเกือบหนึ่งร้อยเจ็ดสิบ เส้นผมกับดวงตามีสีน้ำตาล หน้าตาธรรมดา ใบหน้าแดงระเรื่ออยู่บ้าง

ลูมิแอร์เงยหน้าขึ้นแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“โอรอร์ก็เคยพูดให้พวกนายฟังไม่ใช่หรือไง บอกว่าคนจะถูกแขวนคอก็ยังต้องปล่อยให้เขาพักหายใจก่อนน่ะ! ฉันเรียนมาทั้งวันแล้วก็ต้องหยุดพักบ้างสิ”

ตลอดทั้งเช้านี้เขาเอาแต่ครุ่นคิดไม่หยุดว่าจะเป็นไปได้ไหมที่ตัวเองจะมีโอกาสได้รับพลังวิเศษมาโดยไม่ต้องผ่านทางโอรอร์

เรื่องนี้จำเป็นต้องตามหา จำเป็นต้องมีเบาะแส และจำเป็นต้องให้เขาไปเริ่มสืบเสาะ

เมื่อคิดมาถึงตอนท้าย เขาก็รู้สึกว่าพวกเรื่องที่เล่าลือกันในหมู่บ้านที่มีพลังวิเศษเข้ามาเกี่ยวข้องเหล่านั้น อาจจะปิดบังความจริงบางอย่างและซ่อนเบาะแสไว้ในระดับหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงจงใจมารอแรมุนด์อยู่ที่นี่เป็นการเฉพาะ

“ถ้าฉันเป็นนายล่ะก็ ฉันจะพักมากสุดแค่สิบห้านาทีเท่านั้นแหละ” แรมุนด์พิงต้นเอล์ม “พวกเราน่ะ ไม่มีพี่สาวที่รู้จักหนังสือเยอะขนาดที่จะมาสอนได้ ปีหน้าฉันก็จะต้องไปหัดเลี้ยงแกะแล้ว”

ลูมิแอร์ไม่ใส่ใจคำพูดพวกนี้ เขาพูดอย่างใคร่ครวญ

“นายเล่าตำนานผู้ใช้เวทคนนั้นที่เคยเล่าเมื่อครั้งก่อนให้ฟังอีกรอบสิ”

แรมุนด์ไม่ค่อยเข้าใจเจตนาของลูมิแอร์เท่าไร เขาย้อนนึกทบทวนแม้จะยังสงสัย

“ผู้ใช้เวทคนนั้น?

“สมัยก่อนในหมู่บ้านเคยมีผู้ใช้เวทอยู่คนหนึ่ง ต่อมาเขาก็ตายลง ในวันที่จะฝังศพน่ะ มีนกฮูกตัวหนึ่งบินมาจากนอกบ้าน เข้ามาเกาะอยู่ที่เตียง จนกระทั่งถึงเวลายกศพออกไปนั่นแหละ มันถึงจะบินจากไป

“หลังจากนั้นโลงศพก็กลายเป็นหนักอึ้ง ต้องใช้วัวตั้งเก้าตัวถึงจะลากไปได้”

“คำว่าสมัยก่อนนี่ มันนานขนาดไหนน่ะ?” ลูมิแอร์ถามต่อ

แรมุนด์เริ่มงุนงงกับเจตนาของเขามากขึ้น

“ฉันจะไปรู้ได้ยังไง ฉันก็ฟังมาจากที่พ่อเล่าอีกทีนั่นแหละ”

* * * * *

[1] คนจริงใจใครจะเขียนไดอารี (正经人谁写日记啊) เป็นคำสแลงทางอินเทอร์เน็ตที่มาจากภาพยนตร์เรื่อง Hidden Man (邪不压正) มีความหมายว่าคนเรามักไม่เขียนบันทึกประจำวันด้วยความรู้สึกที่อยู่ในใจจริงๆ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บ่วงชะตากรรม : ราชันเร้นลับ 2

ตอนที่ 9 นิตยสาร

ตอนที่ 15 พูดคุยสอบถามข้อมูล