ตอนที่ 4 คนเลี้ยงแกะ
บ่วงชะตากรรม : ราชันเร้นลับ (ราชันโลกพิศวง) ภาคสอง
ตอนที่ 4 คนเลี้ยงแกะ
※ ※ ※ ※ ※
“งั้นไปหาพ่อนายกัน” ลูมิแอร์ลุกขึ้นยืนทันที
เขาเป็นคนคิดแล้วทำเลย และรู้ดีว่าการสืบหาเรื่องเล่าลือของหมู่บ้านไม่อาจล่าช้า ยิ่งล่าช้าก็ยิ่งง่ายที่จะถูกพี่สาวพบเข้า ซึ่งโอรอร์พี่สาวเขาไม่มีทางปล่อยให้เขาดำเนินการต่อแน่
นี่ก็เป็นเพราะในสายตาของโอรอร์นั้น การแสวงหาพลังวิเศษเป็นการกระทำที่สุดแสนจะอันตรายนั่นเอง
ทำไมฉันจะไม่รู้ว่ามีอันตราย โอรอร์ไม่มีทางโกหกฉันเรื่องนี้เด็ดขาด ต่อให้ข้างหน้าจะเป็นทะเลเพลิงภูเขาดาบ ฉันก็จะลุยต่อไป จะไม่ยอมปล่อยให้โอรอร์ต้องเผชิญกับมันเพียงลำพังหรอก… ขณะที่ลุกขึ้น ลูมิแอร์ก็บังเกิดความคิดนี้ผุดวาบขึ้นมา
ทุกครั้งตอนที่โอรอร์พูดว่าโลกนี้จะอันตรายมากขึ้นเรื่อยๆ น่ะ ความจริงจังและความกังวลที่อยู่บนใบหน้านั่นไม่โกหกใครแน่!
แรมุนด์ เกร็กงุนงงมากขึ้นทุกที
“จะไปหาพ่อฉันทำไม”
“ไปถามดูว่าเรื่องเล่าลือเกี่ยวกับผู้ใช้เวทคนนั้นมันผ่านมานานแค่ไหนแล้วน่ะสิ” ลูมิแอร์เหลือบมองแรมุนด์
เจ้าหมอนี่ฟังภาษาคนไม่ออกหรือไง? เอาไว้ต้องหาโอกาสทดสอบไอคิวดูหน่อยแล้วล่ะมั้ง
ใบหน้าแรมุนด์มีเครื่องหมายคำถามเขียนไว้เกลื่อนหน้า เขามองลูมิแอร์แล้วพูด
“แล้วจะไปถามให้รู้ทำไม?”
เอ่อ…จะชักแม่น้ำทั้งห้าหาเหตุผลมาหลอกเจ้าหมอนี่ดีไหมนะ หรือว่าจะพูดออกไปตามตรงดี? ลูมิแอร์ตกอยู่ในความครุ่นคิดไปชั่วขณะ
เมื่อใคร่ครวญถึงว่าหลังจากนี้การสืบเสาะของตนเองไม่มีทางจะเก็บซ่อนจากเพื่อนรอบตัวได้ และเหตุผลในการไล่ตามหาความจริงของคำเล่าลือเองก็ดูเหมือนเป็นเรื่องโกหกอีกด้วย ถึงมันแพร่ออกไปคงก็ไม่มีชาวบ้านคนไหนเชื่ออยู่แล้ว ลูมิแอร์จึงเกิดความคิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เขาเผยรอยยิ้มที่มักจะแสดงออกมาในเวลาหลอกลวงคน
“…” แรมุนด์รีบถอยพรวดไปสองก้าว “มีอะไรก็พูดกันดีๆ สิ!”
ลูมิแอร์ขยับเสื้อแจ็กเกตตัวสั้นสีเข้มกับเสื้อเชิ้ตลินินด้านในให้เข้าที่ พูดเจือรอยยิ้ม
“ฉันรู้สึกว่าเรื่องเล่าลือของผู้ใช้เวทคนนั้นคุ้มค่าให้คิดน่ะสิ”
“คุ้มค่าให้คิดตรงไหน?” แรมุนด์คิดอยู่อึดใจก่อนจะพูด
“ก็คำพูดที่ว่า ‘สมัยก่อนในหมู่บ้านเคยมีผู้ใช้เวทอยู่คนหนึ่ง’ ไง” ลูมิแอร์พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “นายลองคิดดูนะ เวลาที่ฉันแต่งเรื่องหลอกคนทีไรก็ไม่เคยระบุวันเวลา สถานที่ หรือภูมิหลัง ที่ทำให้ใครๆ ยืนยันได้ทันทีใช่ไหมล่ะ แต่ว่าเรื่องเล่าลือเรื่องนั้นน่ะมันระบุเอาไว้ชัดเจนว่า…ในหมู่บ้าน…กอร์ดูของพวกเรา…เคยมีผู้ใช้เวทคนหนึ่ง… ถ้าหากว่านี่เป็นเรื่องโกหกก็จะถูกคนอื่นเปิดโปงได้ง่ายๆ เลยใช่ไหมล่ะ?”
“แต่เรื่องนี้มันก็เกิดมาในสมัยก่อนเมื่อนานมากๆ แล้วนะ” แรมุนด์เถียงกลับ
“ที่ฉันพูดถึงก็คือในสมัยก่อนเมื่อนานมากๆ ตอนที่ทุกคนเพิ่งจะเล่าลือเรื่องนี้กันน่ะ พวกเขาน่าจะยืนยันได้ง่ายๆ ใช่ไหมล่ะว่าที่ในหมู่บ้านมีผู้ใช้เวทคนหนึ่งตายไปในตอนนั้นเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า” ลูมิแอร์คลี่ยิ้ม “ในเมื่อเรื่องนี้สามารถเอาไปเล่าต่อได้อีกเป็นชั่วรุ่น งั้นก็หมายความว่ามันอาจจะเกิดขึ้นมาจริงๆ ก็ได้”
เหตุผลนี้ยังไม่อาจทำให้แรมุนด์คล้อยตามได้
“แต่ตอนที่นายแต่งเรื่องก็มักจะใช้คำว่า ‘ร้อยกว่าปีก่อน’ หรือไม่ก็ ‘หลายร้อยปีก่อน’ อยู่ตลอดเพื่อทำให้คนอื่นพิสูจน์ไม่ได้นี่นา”
“ดังนั้นถึงต้องไปยืนยันกับพ่อนายไงล่ะ!” ลูมิแอร์มีสีหน้าว่า ‘ทีนี้รู้หรือยังว่าทำไมถึงต้องไปหาพ่อนายด้วย’
“นั่นสิ…” แรมุนด์ยอมรับคำอธิบายดังกล่าว แต่ก็รู้สึกว่ามีอะไรทะแม่งๆ ชอบกล
ตอนที่ทั้งคู่เดินออกจากลานจัตุรัสเข้าไปในหมู่บ้าน แรมุนด์จึงได้รู้ตัวขึ้นมา
“แล้วทำไมถึงต้องยืนยันด้วยล่ะว่าเรื่องเล่าลืออันนี้มันเกิดขึ้นจริงหรือว่าเป็นเรื่องหลอก?”
“ผู้ใช้เวทไง นั่นน่ะ…ผู้ใช้เวทเชียวนะ! ถ้าพวกเรายืนยันได้ว่าเขาเคยอาศัยอยู่ที่บ้านหลังไหน ต่อมาถูกฝังอยู่ที่ไหน ไม่แน่ว่าอาจจะรู้ความลับของเขาเข้าก็ได้ จะได้ทำให้ตัวเองมีพลังวิเศษเหนือคนธรรมดาไงล่ะ” ลูมิแอร์พูดความจริงที่ดูเหมือนการโกหก
แรมุนด์ทำสีหน้าว่า ‘นายอย่ามาหลอกฉันเสียให้ยากเลย’
“เรื่องพวกนั้นน่ะส่วนใหญ่แต่งไว้หลอกเด็กทั้งนั้น จะเป็นจริงได้ยังไง?
“แล้วก็การไปไล่ตามหาพลังอำนาจของผู้ใช้เวท อาจจะทำให้ถูกส่งขึ้นศาลได้เลยนะ!”
สาธารณรัฐอินทิสตั้งอยู่ที่ทวีปเหนือของโลกใบนี้ มีเทพดั้งเดิมก็คือ ‘สุริยันเจิดจรัส’ กับ ‘เทพแห่งไอน้ำและจักรกล’ ซึ่งศาสนจักรทั้งสองแห่งนี้ได้ยึดเอาสาวกผู้ศรัทธาไปเกือบหมดทวีป และไม่อนุญาตให้โบสถ์ ‘เทพีรัตติกาล’ โบสถ์ ‘จ้าววายุ’ ของอาณาจักรโลเอน - โบสถ์ ‘เทพมารดรปฐวี’ ของอาณาจักรเฟย์นาพ็อตเตอร์ - โบสถ์ ‘เทพแห่งความรู้และปัญญา’ ของอาณาจักรกลางใต้อย่างเลนเบิร์ก - โบสถ์ ‘เทพสงคราม’ ของอาณาจักรเฟย์แซค เข้ามาเผยแผ่ศาสนาเด็ดขาด
และศาลศาสนจักรของโบสถ์ ‘สุริยันเจิดจรัส’ ก็ทำให้ประชาชนพากันหวาดกลัวมาโดยตลอด ไม่ทราบว่ามีพวกนอกรีตนอกศาสนามากน้อยเพียงใดที่ถูกจับกุมคุมขัง ถูกปฏิบัติอย่างโหดร้ายน่ากลัว
ลูมิแอร์หัวเราะฮาฮา
“นายจะมากังวลเรื่องแบบนี้ในตอนนี้ทำไม? นายก็พูดเองนี่นาว่าเรื่องเล่าลือพวกนั้นน่ะ ส่วนใหญ่แต่งขึ้นมาทั้งนั้น การจะหาของตกทอดที่ผู้ใช้เวทเหลือทิ้งไว้จนเจอเนี่ย แทบจะเป็นไม่ได้
“นอกจากนี้ถึงจะหาของตกทอดของผู้ใช้เวทเจอจริงๆ พวกเราก็ไม่จำเป็นจะสืบทอดพลังต้องห้ามนั่นเสียหน่อย เอาไปส่งมอบให้กับทางโบสถ์เพื่อแลกรางวัลกลับมาก็ได้ อ้อ… ในฐานะผู้ใช้เวทเนี่ย ของฝังร่วมกับศพต้องมีทรัพย์สมบัติอยู่เพียบแหงๆ”
โบสถ์ที่ลูมิแอร์พูดถึงก็คือโบสถ์ ‘สุริยันเจิดจรัส’ เพราะในหมู่บ้านกอร์ดูที่พวกเขาอาศัยอยู่นั้นไม่มีโบสถ์ ‘เทพแห่งไอน้ำและจักรกล’ ซึ่งมักจะกระจุกตัวอยู่ในเมืองใหญ่และสถานที่ที่มีโรงงานมากกว่า
เมื่อเห็นว่าแรมุนด์ฟังแล้วใจเต้นระรัว ลูมิแอร์ก็แอบ ‘จุ๊’ ออกมา ก่อนจะเสริมอีกประโยค
“อย่าบอกนะว่านายคิดอยากจะเป็นคนเลี้ยงแกะจริงๆ น่ะ?”
คนเลี้ยงแกะที่เขาพูดถึงนั้นไม่ใช่คนเลี้ยงแกะในบทเพลงเลี้ยงแกะแบบที่ชาวเมืองในเมืองใหญ่รู้จักกัน มันไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวที่ทุกๆ วันตอนเช้าเพียงแค่ต้อนฝูงแกะไปกินหญ้า ไม่จำเป็นต้องดูแลอะไร
หมู่บ้านกอร์ดูตั้งอยู่ในจังหวัดรีสตันภูมิภาคดาริแยฌ คนเลี้ยงแกะก็คืออาชีพหนึ่ง เป็นอาชีพที่ถูกกำหนดให้ต้องลำบากและเดียวดาย
พวกเขารับจ้างเจ้าของฝูงแกะ ต้อนแกะหลายสิบจนกระทั่งหลายร้อยตัวไปมาระหว่างภูเขากับที่ราบ
สิ่งนี้เรียกว่า ‘เปลี่ยนลาน’ ในทุกๆ ฤดูใบไม้ร่วง ทุ่งหญ้าบนภูเขารอบๆ หมู่บ้านกอร์ดูเหี่ยวแห้งเฉาตาย พวกคนเลี้ยงแกะจะต้อนฝูงแกะออกไปนอกช่องเขา ไปยังทุ่งหญ้าในที่ราบอบอุ่นซึ่งอยู่ไกลออกไป นี่อาจจะต้องข้ามพรมแดนเข้าไปในประเทศอื่นๆ อย่างเฟย์นาพ็อตเตอร์หรือเลนเบิร์กด้วย เมื่อถึงต้นพฤษภาคมพวกเขาก็จะต้อนฝูงแกะกลับไปแต่ละหมู่บ้าน ไปตัดขนแกะ ให้ลูกแกะหย่านม เดือนมิถุนายนพวกเขาจะขึ้นเขา ขึ้นไปที่ทุ่งหญ้าบนเขาสูง อาศัยอยู่ในกระท่อม ทำเนยแข็งไปพร้อมกับเลี้ยงแกะไปด้วยจนกระทั่งอากาศเริ่มหนาวเย็น
วงจรชีวิตเช่นนี้ พวกคนเลี้ยงแกะต้องเปลี่ยนลานไปปีแล้วปีเล่า ชีพจรลงเท้าตลอดทั้งชีวิต มีเวลาเพียงน้อยนิดที่จะได้กลับไปหมู่บ้าน ด้วยเหตุนี้พวกเขาส่วนใหญ่จึงครองความเป็นโสด ยากจะได้แต่งงาน ไม่มีทางสร้างครอบครัว แม่หม้ายบางคนที่จำใจต้องเลี้ยงแกะยังชีพจึงเป็นเป้าหมายยอดนิยมสำหรับคนกลุ่มนี้
แรมุนด์เงียบงันลงไป
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยขึ้นอย่างลังเล
“พอฟังนายว่ามาแล้ว เรื่องนี้ก็ดูท่าน่าสนุกเหมือนกัน เอาเวลาว่างมาทำก็ได้”
ภายใต้สถานการณ์ปกติ หลังจากที่ครอบครัวตัดสินใจแล้วว่าจำเป็นต้องให้ลูกคนไหนไปเป็นคนเลี้ยงแกะ เมื่อเขาอายุได้สิบห้าถึงสิบแปดปีก็จะส่งไปช่วยงานที่บ้านคนเลี้ยงแกะสักคนเพื่อเรียนรู้วิธีการเลี้ยงแกะ อีกสามปีต่อมาเด็กคนนั้นก็จะกลายเป็นคนเลี้ยงแกะอย่างเป็นทางการ ไปหาคนจ้างงานได้ทุกที่
แรมุนด์ที่มีอายุครบสิบเจ็ดในปีนี้ได้พยายามหาเหตุผลต่างๆ นานามาลากถ่วงเรื่องนี้ไว้สองปีกว่าแล้ว หากว่าหลังจากนี้ชีวิตยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงอันใด เช่นนั้นปีหน้าเขาก็จำเป็นต้องไปหัดเลี้ยงแกะแล้วล่ะ
“ไปกันเถอะ” ลูมิแอร์ตบบ่าแรมุนด์ “พ่อนายอยู่ในนาหรือว่าอยู่บ้าน?”
“ช่วงนี้ไม่ค่อยมีงาน นี่ก็ใกล้เทศกาลมหาพรต [1] เต็มที ถ้าเขาไม่อยู่บ้านก็ไปร้านเหล้านั่นแหละ” แรมุนด์ทำน้ำเสียงอิจฉาขึ้นมาอีกครั้ง “ไม่รู้เรื่องพวกนี้ใช่ไหมล่ะ? ก็นายไม่ใช่ชาวนานี่ มีพี่สาวที่แสนดีอยู่ทั้งคน!”
ลูมิแอร์สองมือล้วงกระเป๋าเดินเอ้อระเหย ไม่ใส่ใจคำทอดถอนใจของแรมุนด์
เมื่อใกล้ถึงร้านเหล้าเก่าคร่ำคร่าประจำหมู่บ้าน ก็มีคนคนหนึ่งเดินมาจากข้างทาง
ชายคนนี้สวมเสื้อคลุมยาวสีน้ำตาลเข้มมีฮู้ด มีเชือกผูกรอบเอว ที่เท้าสวมรองเท้าหนังสีดำคู่ใหม่เอี่ยมดูผิวสัมผัสอ่อนนุ่ม
“ปิแอร์… ปิแอร์บ้านแบร์รี่?” แรมุนด์ร้องโพล่งด้วยความประหลาดใจ
ลูมิแอร์เองก็ชะงักฝีเท้า หันไปมองที่ข้างทาง
“ใช่ ฉันเอง” ปิแอร์ แบร์รี่ยิ้มให้พลางโบกมือ
เขาร่างผอมซูบ เบ้าตาลึก ผมสีดำเป็นมันเยิ้มหยิก หนวดเคราเต็มหน้า ไม่ทราบว่าไม่ได้โกนมานานเพียงใด
“คุณกลับมาทำไมเนี่ย” แรมุนด์ถามด้วยความสงสัย
ปิแอร์ แบร์รี่เป็นคนเลี้ยงแกะ ตอนนี้เป็นต้นเมษายนแล้ว เขาควรจะต้อนแกะไปทุ่งหญ้าในที่ราบนอกช่องเขานี่นา ทำไมตอนนี้ถึงมาอยู่ในหมู่บ้านได้ล่ะ?
นี่ก็เพิ่งจะออกเดินทางไปเอง ต่อให้การเปลี่ยนลานครั้งนี้จะไปที่เลนเบิร์กหรือทางเหนือของเฟย์แซคก็เถอะ แต่กว่าจะกลับมาเขตภูเขาดาริแยฌก็ต้องใช้เวลาร่วมเดือนเลยนะกว่าจะมาถึงน่ะ
ปิแอร์ผู้มีดวงตาสีฟ้าที่มีรอยยิ้มและความอบอุ่นอยู่ในนั้น พูดอย่างมีความสุข
“ใกล้จะถึงเทศกาลมหาพรตอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง? ฉันไม่ได้เข้าร่วมมาตั้งหลายปีแล้ว ปีนี้ก็เลยพลาดไม่ได้!
“สบายใจได้ ฉันมีเพื่อนช่วยดูแกะให้ เป็นคนเลี้ยงแกะก็ดีไปอย่าง ไม่มีใครมาคอยนั่งเฝ้า ขอแค่หาคนมาช่วยได้ อยากจะไปไหนก็ไปได้ อิสระมาก”
เทศกาลมหาพรตเป็นหนึ่งในเทศกาลที่แพร่หลายในอินทิสทั่วทุกหัวระแหง ผู้คนต่างพากันต้อนรับการมาถึงของฤดูใบไม้ผลิในรูปแบบต่างๆ และตั้งจิตอธิษฐานให้ปีนี้มีการเก็บเกี่ยวที่ดี
นี่ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับโบสถ์ ‘สุริยันเจิดจรัส’ หรือ ‘เทพแห่งไอน้ำและจักรกล’ แต่ได้ก่อเกิดเป็นประเพณีท้องถิ่นโดยไม่ได้มีการกราบไหว้บูชาเทพเจ้านอกรีต ดังนั้นจึงได้รับการยอมรับจากพวกกลุ่มศาสนจักรดั้งเดิมไปโดยปริยาย
“คุณอยากดูว่าปีนี้ใครจะได้รับเลือกให้เป็นนางฟ้าฤดูใบไม้ผลิก็บอกมาเถอะ” ลูมิแอร์พูดล้อเล่นอย่างยิ้มแย้ม
ช่วงเทศกาลมหาพรตของหมู่บ้านกอร์ดู ผู้คนจะคัดเลือกหญิงสาวหน้าตางดงามออกมาคนหนึ่งให้สวมบทเป็นนางฟ้าฤดูใบไม้ผลิ นี่เป็นส่วนหนึ่งของการเฉลิมฉลอง
ปิแอร์พูดด้วยรอยยิ้ม
“ฉันหวังว่าจะเป็นโอรอร์พี่สาวนายอยู่นะ แต่เธอต้องไม่เห็นด้วยแหง อายุก็เกินแล้วด้วย”
“เอาล่ะ” เขาชี้ไปที่ร้านเหล้าซึ่งอยู่ไม่ไกล “ฉันกำลังจะไปสวดอธิษฐานที่โบสถ์ ไว้จะเลี้ยงเหล้าพวกนายนะ”
แรมุนด์ตอบออกมาตามจิตใต้สำนึกทันที
“ไม่ต้องหรอก คุณเองก็ใช่ว่าจะมีเงินเยอะเสียหน่อย”
“ฮ่า ฮ่า ทวยเทพสอนพวกเราว่า ‘ต่อให้มีเพียงหนึ่งเหรียญทองแดง ก็จงแบ่งปันให้เหล่าพี่น้องที่ยากจน’ ” ปิแอร์พูดถึงสุภาษิตบทหนึ่งที่แพร่หลายในหมู่คนเลี้ยงแกะในภูมิภาคดาริแยฌ
ตอนนี้ลูมิแอร์ก็ยิ้มให้แรมุนด์
“ปิแอร์รวยแล้วก็ต้องให้เลี้ยงเหล้าพวกเราอยู่แล้วสิ!”
เขาชี้ไปที่รองเท้าหนังคู่ใหม่เอี่ยมของปิแอร์ แบร์รี่
ปิแอร์ แบร์รี่มีความสุขมาก
“นายจ้างครั้งนี้ไม่เลว แบ่งแกะมาให้ฉันหลายตัว ตอนหลังก็ยังให้ขนแกะ เนยแข็ง กับหนังสัตว์มาด้วย”
คนเลี้ยงแกะได้รับค่าตอบแทนเป็นอาหารกับเงินจำนวนหนึ่ง แล้วยังแบ่งปันพวกสัตว์ในคอก เนยแข็ง ขนสัตว์ และหนังสัตว์ให้ด้วย ส่วนจะได้เท่าไรนั้นก็ต้องดูว่าสัญญาที่ลงนามเอาไว้กับนายจ้างเป็นเช่นไร
สำหรับคนเลี้ยงแกะที่ต้องเดินทางไกล การมีรองเท้าดีๆ และเหมาะสมไว้สักคู่ นั่นคือความโหยหาปรารถนาที่เร่งด่วนที่สุดและใช้จริงได้มากสุด
ลูมิแอร์มองดูปิแอร์ แบร์รี่ที่เดินไปทางลานจัตุรัสของหมู่บ้าน สายตาเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมและฉายแววสงสัย
เขาพึมพำกับตัวเองเงียบๆ
“เพื่อจะได้ร่วมเทศกาลมหาพรต ถึงกับยอมเสียเวลาไปครึ่งเดือนหนึ่งเดือนเพื่อกลับมาเนี่ยนะ?”
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ลูมิแอร์ก็ละสายตากลับมา แล้วเดินไปที่ร้านเหล้าพร้อมกับแรมุนด์
ร้านเหล้าร้านนี้ไม่มีชื่อร้าน และไม่จำเป็นต้องมีชื่อด้วย เพราะในหมู่บ้านกอร์ดูมีอยู่เพียงแค่ร้านนี้ร้านเดียวเท่านั้น ชาวบ้านชอบเรียกมันว่าร้านเหล้าเก่า
เพิ่งจะเข้ามาในร้าน ลูมิแอร์ก็มองไปรอบๆ ตามความเคยชิน
ทันใดนั้นสายตาเขาก็ชะงักอยู่ที่บริเวณหนึ่ง
เขาเห็นคนต่างถิ่นที่จากไปเมื่อคืน
เห็นชัดว่าไม่ใช่คนต่างถิ่นกลุ่มเดียวกับไรอัน ลีอาห์ และวาเลนไทน์
นั่นเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง สวมชุดเดรสยาวสีส้ม เรือนผมสีน้ำตาลหยักศกเล็กน้อย ดวงตาสีฟ้าอ่อนกำลังจับจ้องอยู่ที่แก้วเครื่องดื่มแอลกอฮอล์สีแดงอ่อนในมือ
เธอดูงดงามและเกียจคร้าน ราวกับไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของฉากในร้านเหล้าเก่าคร่ำคร่าที่มืดสลัวแห่งนี้
* * * * *
[1] เทศกาลมหาพรต (四旬节) หรือเทศกาลเข้าสู่ธรรม เป็นหนึ่งในเทศกาลสำคัญของศาสนาคริสต์ เริ่มต้นจากวันพุธรับเถ้าและสิ้นสุดวันอีสเตอร์ รวม 40 วัน โดยเทศกาลนี้มีไว้เพื่อรำลึกถึงพระทรมานและการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ โดยกิจที่คริสต์ศาสนิกชนปฏิบัติในช่วงนี้คือการอธิษฐาน การบริจาคสิ่งของ การอดอาหาร และการไม่ฟุ่มเฟือย
※ ※ ※ ※ ※
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น