ตอนที่ 5 ไพ่

บ่วงชะตากรรม : ราชันเร้นลับ (ราชันโลกพิศวง) ภาคสอง

ตอนที่ 5 ไพ่

※ ※ ※ ※ ※

นั่นมันไวน์คลาเร็ต… เธอมาจากเมืองใหญ่อย่างที่คิดเอาไว้ไม่ผิด… สายตาของลูมิแอร์จับจ้องไปที่แก้วเหล้าในมือของหญิงสาวผู้นั้น

ไวน์คลาเร็ตเป็นสุราที่กลั่นจากน้ำตาลและเชอร์รี่ดอง ไม่ว่าจะเป็นสีสันหรือรสชาติก็ล้วนแต่เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าสุภาพสตรี แต่แน่นอนว่านอกจากเชอร์รี่แล้วก็ยังสามารถใช้ผลไม้ชนิดอื่นที่เข้ากันมาแทนได้ รสชาติจะแตกต่างไปเล็กน้อยแต่ก็ไม่มากนัก

นี่เป็นหนึ่งในสุราดีไม่กี่ชนิดที่ร้านเหล้าเก่าประจำหมู่บ้านกอร์ดูสามารถผลิตขึ้นมาได้ สาเหตุที่พวกเขาจัดเก็บไว้นั่นก็เป็นเพราะหลังจากที่มาดามปัวริสได้ไปตัวจังหวัดบีกอร์มาครั้งหนึ่งก็ตกหลุมรักไวน์สีนี้เข้า

มาดามปูเรสเป็นภรรยาของบิวส์ผู้บริหารท้องถิ่นและผู้พิพากษาดินแดน บรรพบุรุษเธอเป็นขุนนาง แต่สูญเสียอำนาจไปในยุคสมัยของจักรพรรดิโรเซลล์

ขณะเดียวกันเธอก็เป็นหนึ่งในชู้รักของกีโยม เบอเน็ตบาทหลวงประจำโบสถ์ท้องที่ เรื่องนี้ในหมู่บ้านมีคนรู้ไม่มากนัก และลูมิแอร์ก็เป็นหนึ่งในนั้น

ลูมิแอร์ละสายตากลับมาแล้วเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์บาร์

ที่นั่นมีชายคนหนึ่งอายุราวสี่สิบเศษ สวมเสื้อเชิ้ตผ้าลินินและกางเกงขายาวสีเดียวกันนั่งอยู่ เขามีผมสีน้ำตาลที่ค่อนข้างยุ่ง ไม่ได้หนาดก ที่หางตา มุมปาก และหน้าผาก มีรอยย่นอันเนื่องมาจากการตรากตรำทำงานหนักมาหลายปี

นี่ก็คือปิแอร์ เกร็ก พ่อของแรมุนด์

เป็นปิแอร์อีกคนหนึ่ง

ดังนั้นลูมิแอร์จึงได้พูดตลกต่อหน้าพวกไรอันลีอาห์ว่าในบาร์นี้ถ้าเรียกชื่อปิแอร์ จะมีคนขานรับอย่างน้อยหนึ่งในสาม

เวลาที่คนในหมู่บ้านจะพูดถึงชื่ออย่างปิแอร์และกีโยม จึงจำเป็นต้องใส่คำอธิบายเพิ่มลงไปด้วยว่าเป็นบ้านไหนๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่อาจแยกแยะได้ว่ากำลังพูดถึงใครกันแน่

และยิ่งกว่านั้นก็คือยังมีอีกหลายบ้านที่พ่อลูกใช้ชื่อเดียวกัน นั่นคือชื่อปิแอร์หรือกีโยมด้วยกันทั้งคู่ พวกเพื่อนบ้านจึงได้แต่ต้องเพิ่มคำว่า ‘เฒ่า’ ‘ใหญ่’ หรือ ‘จูเนียร์’ ห้อยต่ออีก

“พ่อ… ทำไมไม่ไปคุยกับคนอื่นๆ ที่ลานจัตุรัสล่ะ” แรมุนด์เดินไปหาผู้เป็นบิดา

บรรดาผู้ชายในหมู่บ้านจะชอบไปจับกลุ่มรวมตัวกันอยู่ใต้ต้นเอลม์ที่ลานจัตุรัส หรือไม่ก็ที่บ้านของใครสักคนเพื่อทอยเต๋า เล่นไพ่ โขกหมากรุก แลกเปลี่ยนข่าวลือที่เขาเล่าว่า มากกว่าจะมาที่นี่เพราะการมานั่งแช่อยู่ในร้านเหล้านั้นจำเป็นต้องจ่ายเงิน

ปิแอร์ เกร็ก ถือแก้วไวน์องุ่นสีแดง หันหน้ามาชำเลืองมองลูกชายคนรองของตน

“ไว้ค่อยไป ถึงไปตอนนี้ก็ไม่มีใครอยู่ที่ลานหรอก”

นั่นสิ… พวกผู้ชายในหมู่บ้านหายไปไหนกันหมด? ลูมิแอร์รู้สึกสงสัยขึ้นมาทันที

ตอนที่เขาอยู่ที่ลานจัตุรัสเมื่อครู่นี้ก็ไม่เห็นใครแม้แต่คนเดียว

“ลุง ผมมาหาเพราะมีเรื่องอยากถามหน่อยน่ะ” ลูมิแอร์เข้าประเด็นอย่างไม่อ้อมค้อม

ปิแอร์ เกร็ก ระแวงขึ้นมา

“เรื่องป่วนคนเรื่องใหม่หรือไง?”

เรื่องที่บอกว่า ‘หมาป่ามาแล้ว’ นั่นมันมีที่มาจากความเป็นจริงนะ ไม่ได้โกหกเสียหน่อย… ลูมิแอร์หันหน้าไปทำท่าให้แรมุนด์เป็นคนพูด

แรมุนด์เรียบเรียงคำก่อนจะพูด

“พ่อ ที่พ่อเคยเล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับคำเล่าลือเรื่องผู้ใช้เวทน่ะ เรื่องนั้นมันเกิดมานานแค่ไหนแล้ว? ที่บอกว่าต้องใช้วัวเก้าตัวถึงจะลากโลงได้น่ะ”

ปิแอร์ เกร็กดื่มไวน์ลงคออึกอึก ก่อนจะพูดอย่างสงสัย

“จะถามไปทำไม

“เรื่องนี้ปู่แกเล่าให้ฉันฟังตั้งแต่สมัยยังเด็กน่ะ”

หมู่บ้านกอร์ดูนั้นอยู่ในจังหวัดรีสตัน ติดกับจังหวัดออเลย์และซูสิท ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของสาธารณรัฐอินทิส มันเป็นแหล่งผลิตไวน์ที่มีชื่อเสียง ไวน์ที่นี่จึงมีราคาถูกมาก โดยเฉพาะไวน์คุณภาพต่ำ ในบางปีผู้คนยังสามารถดื่มไวน์แทนน้ำเปล่าได้ด้วยซ้ำ

แรมุนด์ได้ยินแล้วก็ผิดหวังไปชั่วขณะ เพราะว่าปู่เขาเสียชีวิตไปนานแล้ว

แล้วตอนนี้ปิแอร์ เกร็กก็เสริมอีกประโยค

“ปู่แกบอกว่าได้เห็นมากับตาตัวเองตอนสมัยที่ยังเป็นเด็ก ตั้งแต่นั้นมาปู่ก็กลัวนกฮูกมาก กลัวว่าเจ้าสัตว์ปีศาจประเภทนั้นจะมาเอาวิญญาณไป”

ดวงตาของลูมิแอร์กับแรมุนด์เป็นประกายขึ้นมาพร้อมกัน

มีเบาะแสจริงๆ ด้วย!

เรื่องเล่าลือของผู้ใช้เวทคนนั้นเป็นเรื่องที่มีบางคนได้สัมผัสประสบการณ์นั้นมาด้วยตัวเองงั้นเหรอ?

“แล้วปู่ได้บอกไว้หรือเปล่าว่าผู้ใช้เวทคนนั้นอาศัยอยู่ตรงไหน แล้วต่อมาเขาถูกเอาไปฝังที่ไหน” แรมุนด์ถามต่อ

ปิแอร์ เกร็กสั่นศีรษะ

“ใครจะไปสนเรื่องนั้นกันล่ะ”

ลูมิแอร์เห็นว่าแรมุนด์เหมือนอยากจะถามอะไรต่ออีก จึงเอื้อมไปตบบ่าเขาแล้วพูดเสียงดัง

“ไปริมแม่น้ำกันได้แล้ว”

เรย์มอน์กำลังจะตามลูมิแอร์ออกไป แต่แล้วจู่ๆ ปิแอร์ เกร็กก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

“เดี๋ยวสิ แรมุนด์ อีกสองวันแกต้องไปเป็น ‘หนุ่มเฝ้าลาน’ แล้วนะ ฉันจะบอกเรื่องที่แกต้องใส่ใจเอาไว้หน่อย”

‘หนุ่มเฝ้าลาน’ มีหน้าที่ลาดตระเวนลานหญ้าบนที่ราบสูงใกล้ๆ และที่นารอบๆ เพื่อคอยระวังป้องกันไม่ให้ใครมาเล็มหญ้าในช่วงห้ามเล็มหญ้า หรือปล่อยให้พวกสัตว์เลี้ยงมาทำลายพืชผลต้นอ่อน

ลูมิแอร์ไม่ได้อยู่ฟังด้วย เขาตรงไปที่ห้องสุขาซึ่งสร้างไว้ติดกับร้านเหล้า

ตอนที่เดินออกมา เขาเจตนาเดินผ่านผู้หญิงจากต่างถิ่นซึ่งดูอายุไม่ออกคนนั้นที่กำลังดื่มไวน์คาเร็ตอยู่

แม้ว่าเขาจะเข้าไปชวนคุยเพื่อตีสนิทไม่เป็น แต่ก็วางแผนว่าจะแอบสังเกตเพื่อเก็บรายละเอียดไว้ก่อน ไว้ทีหลังถ้ามีโอกาสเมื่อไหร่ เรื่องนี้อาจจะมีประโยชน์ขึ้นมาก็ได้ เหมือนกับที่เขาใช้พวกไรอันลีอาห์ไปเปิดม่านฉากอัศจรรย์ของบาทหลวงนั่นแหละ

ลูเมียนแอบกวาดสายตาลอบมองไปสองสามครั้งแล้วเตรียมจะอ้อมจากมุมนี้เพื่อไปรอแรมุนด์ที่หน้าประตูร้าน

ในตอนนี้นี่เอง หญิงสาวสวมชุดเดรสยาวสีส้มท่าทางเกียจคร้านคนนั้นก็เงยหน้าขึ้นมา

ลูมิแอร์ที่ยังไม่ทันจะละสายตาจึงสบกับสายตาที่มองมาของอีกฝ่ายในทันที

ชั่วเวลานาทีนี้ สายตาที่ประสานกันทำให้ลูมิแอร์รู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา…ถึงแม้ว่าเขาจะหน้าหนาก็ตาม

ความคิดหนึ่งผุดวาบขึ้นในหัวเขา…

ฉันควรเลียนแบบบาทหลวงกับเจ้าหน้าที่พวกนั้นดีไหมนะ รีบพูดชื่นชมความงามของเธอ เปลี่ยนจากการมองสังเกตเป็นเข้าไปตีสนิท หรือว่าจะแสดงความเป็นไก่อ่อนดี รีบกลับหลังหันเผ่นแน่บไปเลย…

เขาเพิ่งจะตัดสินใจได้ ผู้หญิงคนนั้นก็เอ่ยปากอย่างยิ้มแย้มออกมาเสียก่อน

“ช่วงนี้คุณฝันบ่อยหรือเปล่า?”

ในเสี้ยววินาทีนี้เอง ลูมิแอร์ก็ราวกับถูกสายฟ้าฟาดใส่อย่างไม่ทันตั้งตัว หัวสมองขาวโพลนกลายเป็นอัมพาตชาหนึบ ความคิดอ่านทั้งหมดล้วนถูกแช่แข็งไว้ตรงนั้น

หลังจากลงแรงพยายามอยู่หนึ่งถึงสองวินาที เขาจึงฝืนยิ้มออกมาได้

“การที่คนเราจะฝัน ก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือไง?”

ผู้หญิงคนนั้นเท้าคางด้วยมือข้างเดียว เธอมองลูมิแอร์แล้วพูดเจือรอยยิ้มด้วยเสียงต่ำ

“ฝันว่าอยู่ในม่านหมอก”

ทำไมเธอถึงรู้ล่ะ… ม่านตาลูมิแอร์ขยายออก สีหน้าเผยความกลัวออกมา

ถึงแม้ว่าเขาจะเคยผ่านประสบการณ์มาไม่น้อยก็จริง แต่จะอย่างไรก็เป็นเพียงแค่วัยรุ่น จึงไม่อาจควบคุมสีหน้าของตนเองได้ชั่วขณะ

เย็นไว้…เย็นไว้… ลูมิแอร์ปลอบใจตัวเองไปพลาง พยายามผ่อนคลายกล้ามเนื้อบนใบหน้าไปพลาง แล้วเอ่ยถามขึ้น

“เมื่อคืนคุณคงได้ยินเรื่องที่ผมเล่าให้คนต่างถิ่นทั้งสามคนนั้นฟังจนจบใช่ไหมล่ะ?”

ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ตอบ แต่หยิบเอาไพ่สำรับหนึ่งออกมาจากกระเป๋าถือสีส้มที่วางอยู่บนเก้าอี้ข้างตัว

เธอมองลูมิแอร์อีกครั้งก่อนจะคลี่ยิ้มเล็กน้อย

“จั่วไพ่สิ บางทีมันอาจจะช่วยคุณไขความลับที่ซ่อนอยู่ในความฝันนั่นได้”

นี่มัน… ลูมิแอร์ประหลาดใจแกมสงสัย

ขณะเดียวกันเขาก็หัวใจเต้นแรง ยกระดับความตื่นตัวขึ้น

เขามองดูไพ่สำรับนั้น ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ไพ่ทาโรต์เหรอ?”

มันดูเหมือนกับไพ่ทาโรต์ที่จักรพรรดิโรเซลล์ประดิษฐ์ขึ้นมาสำหรับใช้ทำนาย

ผู้หญิงคนนั้นก้มลงมองดู ก่อนจะหัวเราะเยาะตัวเอง

“ขอโทษที หยิบผิดน่ะ”

เธอยัดไพ่ทั้ง 22 ใบนั้นกลับเข้าไปในกระเป๋าถือขนาดกลาง แล้วหยิบไพ่สำรับอื่นออกมาใหม่

“นี่ก็เป็นไพ่ทาโรต์เหมือนกัน แต่เป็นไพ่ชุดรองน่ะ ไมเนอร์อาร์คาน่า คุณยังไม่มีคุณสมบัติจะจั่วไพ่ชุดหลักเมเจอร์อาร์คาน่า ฉันเองก็ไม่มีคุณสมบัติจะเอามาให้คุณจั่วด้วย…”

ไพ่ชุดรองไมเนอร์อาร์คาน่ามีทั้งหมด 56 ใบ ประกอบไปด้วยถ้วย ไม้ ดาบ เหรียญ ทั้งหมดสี่ ‘ลาย’

เธอพูดเรื่องอะไรน่ะ… ลูมิแอร์ฟังแล้วรู้สึกสมองตามไม่ทัน

ผู้หญิงคนนี้ทั้งสวยทั้งน่าดึงดูด แต่ดูไม่ค่อยปกติเท่าไหร่แฮะ สงสัยว่าสมองจะมีปัญหาหรือเปล่านะ

“จั่วมาหนึ่งใบสิ” หญิงสาวที่ราวกับมาจากเมืองใหญ่ผู้นี้สับไพ่ทาโรต์ชุดรองในมือ จากนั้นจึงพูดเจือรอยยิ้ม “ลองได้ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย แถมยังอาจจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องความฝันของคุณได้ด้วย”

ลูมิแอร์หัวเราะฮาฮา

“พี่สาวผมบอกไว้ว่า ของฟรีนี่แหละคือของแพงที่สุด”

“คำพูดนี้ก็ถูกต้องในระดับหนึ่งล่ะนะ” ผู้หญิงคนนั้นครุ่นคิด

เธอวางสำรับไพ่ทาโรต์ชุดรองไว้ข้างแก้วไวน์คลาเร็ต แล้วพูดขึ้น

“แต่ถ้าคุณยืนกรานไม่ยอมจ่าย แล้วฉันที่เป็นแค่คนต่างถิ่นคนเดียวจะมีปัญญาไปบังคับคุณที่เป็นคนหมู่บ้านกอร์ดูให้จ่ายได้ยังไงใช่ไหมล่ะ?”

พูดแบบนั้นมันก็ไม่ผิดนะ… จั่วสักใบก็ไม่เห็นจะเป็นไร… กว่าจะได้คำใบ้ของความฝันนั่นมาก็ไม่ใช่ง่ายๆ ถ้าไม่ลองสักหน่อยก็คาใจไม่หาย… แต่ว่านี่มันมีอะไรเกี่ยวข้องกับคำสาปผู้ใช้เวทหรือเปล่านะ… ไปขอความช่วยเหลือจากโอรอร์ดีหรือเปล่า? ความคิดในหัวลูมิแอร์วิ่งพล่านไม่หยุดจนยากจะตัดสินใจไปชั่วขณะ

หญิงสาวผู้นั้นเองก็ไม่ได้เร่งรัดเขาเช่นกัน

ผ่านไปสิบกว่าวินาที ลูมิแอร์จึงค่อยๆ ค้อมตัวลง เหยียดมือขวาออกไป คลี่ไพ่ทาโรต์ชุดรองให้แผ่ออก แล้วดึงใบหนึ่งออกมาจากตรงกลาง

“ไม้เท้าหมายเลขเจ็ด” ผู้หญิงที่มีท่าทางเกียจคร้านคนนั้นเหลือบมองหน้าไพ่

หน้าไพ่ใบนั้นเป็นผู้ชายที่มีใบหน้ามุ่งมั่น สวมเสื้อผ้าสีเขียว ยืนอยู่บนยอดเขา ในมือถือไม้เท้า กำลังต่อสู้อยู่กับไม้เท้าหกอันของศัตรูที่อยู่ด้านล่างภูเขา

“ไพ่ใบนี้หมายถึงอะไร?” ลูมิแอร์เอ่ยถาม

ผู้หญิงคนนั้นยิ้มให้

“คุณต้องตีความเอาเอง อาจจะเป็นวิกฤต ความท้าทาย การเผชิญหน้า ความกล้าหาญ บลา…บลา…บลา…

“แต่แน่นอนว่านี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่สำคัญก็คือไพ่ใบนี้จะมอบไว้ให้คุณ เมื่อโชคชะตามาถึงเมื่อไหร่ คุณก็จะพบกับความหมายที่แท้จริงของมัน”

“ให้ผม?” ลูมิแอร์งุนงงมากขึ้นทุกขณะ

ไพ่ใบนี้คงไม่ใช่คำสาปจริงๆ ใช่ไหม?

ผู้หญิงคนนั้นเก็บไพ่ทาโรต์ชุดรองที่เหลือกลับไป แล้วยกแก้วไวน์ที่เหลือติดก้นแก้วไม่มากขึ้นมาดื่มจนหมด

เธอค่อยๆ เดินไปยังบันไดที่อยู่ด้านข้างร้านเหล้า แล้วขึ้นชั้นสองไปโดยไม่ได้ใส่ใจคำถามของลูมิแอร์

เห็นชัดว่าเธอพักอยู่ที่นั่น

เดิมทีลูมิแอร์คิดจะตามไป แต่เมื่อก้าวไปได้เพียงก้าวเดียวก็หยุดชะงัก ความคิดสับสนวุ่นวายกลับไปกลับมา

นี่เป็นไพ่ธรรมดาจริงเหรอ?

เธอให้ไพ่ใบนี้มา งั้นก็แปลว่าไพ่สำรับนั้นจะขาดไปหนึ่งใบ เอาไปใช้อะไรไม่ได้อีกแล้วไม่ใช่หรือไง?

โอรอร์น่าจะมองออกนะว่าเรื่องนี้มีปัญหาอะไรหรือเปล่า

แล้วตอนนี้แรมุนด์ก็เดินเข้ามาหา

“มีอะไรเหรอ?”

“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก คนต่างถิ่นคนนั้นสวยจริงๆ” ลูมิแอร์อ้างไปเรื่อยเปื่อย

“แต่ฉันว่าโอรอร์พี่สาวนายสวยกว่าเยอะเลย” แรมุนด์พูดแล้วก็ลดเสียงลงทันที “ลูมิแอร์… เราจะเอาไงกันต่อดี ปู่ฉันไปหายมบาลเป็นชาติแล้ว”

ลูมิแอร์ที่จะรีบกลับบ้านครุ่นคิดขึ้น

“หนึ่ง…ไปหาคนที่อายุพอๆ กับปู่นาย หมายถึงคนแก่ที่ยังไม่ตายน่ะ สอง…ไปที่โบสถ์เพื่อดูบันทึกประชากร เอ่อ… เรื่องนี้เอาไว้ค่อยดูกันอีกทีตอนท้ายสุดละกัน”

เมื่อนึกถึงว่าตนเองเพิ่งจะไปทำลายเรื่องดีงามของบาทหลวงประจำโบสถ์ ลูมิแอร์ก็รู้สึกว่าช่วงนี้ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าโผล่หน้าไปที่นั่นดีกว่า

ในหมู่บ้านกอร์ดูมีโบสถ์อยู่เพียงแค่แห่งเดียวเท่านั้น เนื่องจากกำลังคนของฝ่ายบริหารมีอยู่น้อยนิด ทางโบสถ์จึงมีส่วนร่วมในงานบางอย่างของภาครัฐด้วย อย่างเช่นจดบันทึกงานศพหรืองานแต่ง

โดยไม่รอให้แรมุนด์ถามอะไรต่อ ลูเมียนก็พูดเสริมขึ้น

“พวกเราแยกกันไปดูว่ามีคนแก่คนไหนที่อายุใกล้เคียงบ้าง แล้วพรุ่งนี้ค่อยไปถามกัน”

“ตกลง” แรมุนด์ตกปากรับคำทันที

* * * * *

ภายในบ้านสองชั้นกึ่งใต้ดิน

หลังจากที่โอรอร์ฟังคำบอกเล่าของลูมิแอร์จนจบแล้ว เธอก็มองสำรวจไพ่ ‘ไม้เท้า’ ใบนั้นอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง

“เป็นไพ่ธรรมดาจริงๆ นั่นแหละ ฉันสังเกตดูแล้วไม่เห็นว่าจะมีคำสาปหรือมีอะไรแปลกๆ อย่างอื่นอยู่นะ”

“โอรอร์… เอ่อ… พี่ว่าคนต่างถิ่นคนนั้นคิดจะทำอะไรกันแน่ แล้วทำไมเธอถึงรู้ว่าฉันกำลังมีความฝันแบบนั้นอยู่ล่ะ?” ลูมิแอร์ถามขึ้น

โอรอร์สั่นศีรษะ

“ในเมื่อเธอคนนั้นหงายไพ่ออกมาแล้ว นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี

“ในสองสามวันนี้ ฉันจะคอย ‘สังเกต’ เธอไว้ให้ดีๆ

“อืม… นายเก็บไพ่ใบนี้ไปก่อน อาจจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงก็ได้ สบายใจเถอะ ฉันจะจับตาดูให้”

“อื้อ” ลูมิแอร์พยายามทำให้ตัวเองผ่อนคลายลง

* * * * *

ยามดึกสงัด

ลูมิแอร์ยัดไพ่ ‘ไม้เท้า’ ใบนั้นลงไปในเสื้อที่แขวนไว้กับพนักเก้าอี้ ขึ้นเตียงไป หลับตาลง

ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเพียงใด เขาที่อยู่ในอาการสะลึมสะลือก็ราวกับได้เห็นหมอกเทาผืนนั้นอีก

ทันใดนั้นร่างกายเขาก็สั่นสะดุ้ง แล้ว ‘ตื่น’ ขึ้นในความฝัน

เขารู้สึกว่าตนเองกลับมามีสติสัมปชัญญะแจ่มใสชัดเจน

ทว่าความฝันที่เต็มไปด้วยหมอกเทายังคงมีอยู่ ไม่ได้หายไปไหน

※ ※ ※ ※ ※

 

 

ไม้เท้าหมายเลขเจ็ด


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บ่วงชะตากรรม : ราชันเร้นลับ 2

ตอนที่ 9 นิตยสาร

ตอนที่ 15 พูดคุยสอบถามข้อมูล