ตอนที่ 10 เลือด
บ่วงชะตากรรม : ราชันเร้นลับ (ราชันโลกพิศวง) ภาคสอง
ตอนที่ 10 เลือด
※ ※ ※ ※ ※
เมื่อออกจากประตูมา ลูมิแอร์ก็ราวกับเข้ามาสู่โลกอีกใบหนึ่ง
สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาเขาไม่ใช่หมู่บ้านกอร์ดูที่คุ้นเคยอีกต่อไป แต่เป็นยอดเขาสีแดงเข้มและอาคารที่พังถล่มรายล้อมมันไว้เป็นชั้นๆ พวกมันรวมกันเป็นซากปรักหักพังที่ดูประหลาดแปลกตา
สูงขึ้นไปมีหมอกหนาขาวโพลน แสงส่องผ่านได้ยาก พื้นผิวของยอดเขานั้นแตกระแหง มีก้อนหินระเกะระกะเต็มไปหมด ลูมิแอร์ถือขวานเดินหน้าอย่างระวัง ระหว่างเส้นทางนั้นหาที่ซ่อนตัวไม่ได้เลย
ที่นี่ไม่มีต้นไม้ใบหญ้า แม้แต่วัชพืชก็ไม่ปรากฏให้เห็น
ลูมิแอร์รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนอยู่บ้าง เขาจึงได้แต่ต้องเดินค้อมหลังพูดปลอบใจตัวเองว่าถ้าแถวนี้มีอันตรายอะไรอยู่จริง อย่างน้อยก็ยังพบเห็นได้ตั้งแต่เนิ่นๆ และมองเห็นได้อย่างชัดเจน
ในที่สุดเขาก็มาถึงซากปรักหักพังแห่งนั้น มาหยุดอยู่หน้าซากอาคารที่ถูกไฟไหม้จนพังถล่มไปครึ่งหลัง
ลูมิแอร์สังเกตดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อยืนยันเบื้องต้นได้ว่าในนั้นไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดอยู่ เขาจึงเดินเข้าไปอย่างระแวดระวัง หลีกเลี่ยงคานไม้ไหม้เกรียมที่อาจจะร่วงหล่นมาจากด้านบนได้ทุกเมื่อ เริ่มต้นการค้นหา
เขากวาดสายตาไปก็เห็นว่าที่หัวมุมบ้านมีไหดินเผาอยู่ใบหนึ่ง ที่รอยแตกของมันมีประกายสีทองลอดออกมา
ลูมิแอร์ค่อยๆ ขยับเข้าไปทีละก้าว แล้วเขาก็พบว่านั่นเป็นเหรียญทอง
ของจริงเหรอเนี่ย? ซากปรักหักพังในความฝันมีสมบัติอยู่งั้นเหรอ? เขาพึมพำพลางเก็บเหรียญทองมาเช็ดกับเสื้อผ้า
ลวดลายบนเหรียญทองเผยโฉมออกมาให้เห็น
ด้านหน้าเป็นภาพนูนต่ำของศีรษะผู้ชาย ใบหน้าผอม หวีผมแสกข้างเจ็ดต่อสาม เหนือริมฝีปากมีหนวดเรียวสองเส้น สายตาแน่วแน่ ด้านหลังเป็นพวงหญ้าหางเหยี่ยวล้อมรอบตัวเลข ‘20’
ลูมิแอร์รู้จักผู้ชายคนนี้ เขาคือเลวานซ์ ประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐอินทิส
“เป็นเหรียญทองลูอิสจริงๆ ด้วย…” ลูมิแอร์ค่อนข้างประหลาดใจ
หนึ่งนั้นเป็นเพราะเขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ในซากปรักหักพังในความฝันอันแปลกประหลาดนี้จะเป็นสกุลเงินที่แท้จริงของสาธารณรัฐอินทิส สองก็คือสิ่งของที่ตนเองหยิบขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจกลับกลายเป็นของมีค่าอย่างเหรียญทองลูอิสไปเสียได้
เงินที่ใช้ได้ตามกฎหมายของสาธารณรัฐอินทิสในปัจจุบันคือเฟลกิ้นกับค็อปเพ็ต ซึ่ง 1 เฟลกิ้นเท่ากับ 100 ค็อปเพ็ต
ค็อปเพ็ตมีอยู่สองแบบคือเหรียญเงินกับเหรียญทองแดง เหรียญทองแดงจะแบ่งออกเป็นสามราคาคือ 1 ค็อปเพ็ต 5 ค็อปเพ็ต และ 10 ค็อปเพ็ต ส่วนเหรียญเงินแยกเป็น 20 ค็อปเพ็ตกับ 50 ค็อปเพ็ต
เฟลกิ้นแยกได้เป็นเหรียญเงิน เหรียญทอง และธนบัตร เหรียญเงินมีสามราคาคือ 1 5 และ 10 เฟลกิ้น ส่วนเหรียญทองมีห้าราคาคือ 5 10 20 40 และ 50
ธนบัตรค่อนข้างจะมีราคาหลากหลาย แยกได้เป็น 5 20 50 100 200 500 และ 1,000 เฟลกิ้น
แต่ในชีวิตจริงนั้นผู้คนในอินทิสยังเคยชินติดปากเรียกเป็นหน่วยเงินสกุลเดิมอยู่ อย่างเช่นพวกเขาเรียกเหรียญทองแดง 5 ค็อปเพ็ตที่ใช้กันอย่างแพร่หลายว่าริค
และในทำนองเดียวกัน เหรียญทองมูลค่า 20 เฟลกิ้นก็ถูกเรียกว่าเหรียญทองลูอิส
แน่นอนว่าในยุคที่ใช้หน่วยเงินเก่าอยู่นั้น เหรียญทองลูอิสถูกเรียกว่าเหรียญทองโรเซลล์ แต่หลังจากก่อตั้งสาธารณรัฐขึ้นมาจึงเปลี่ยนชื่อเรียกเป็นเหรียญทองลูอิสแทน เพื่อกำจัดอิทธิพลของจักรพรรดิโรเซลล์ให้หมดไป
เท่าที่ลูมิแอร์ทราบ แม้ว่าชีวิตในเมืองอาจจะทำไม่ได้ก็จริง แต่ในชนบทซึ่งเป็นสถานที่ไกลปืนเที่ยงอย่างหมู่บ้านกอร์ดูแห่งนี้ หนึ่งเหรียญทองลูอิสสามารถทำให้ครอบครัวยากจนที่มีพื้นที่เพาะปลูกเป็นของตัวเองสามารถมีชีวิตสุขสันต์ได้ถึงหนึ่งเดือนเลยทีเดียว
หากไม่เป็นเพราะรายได้ของโอรอร์ที่ค่อนข้างพอตัวไม่น้อย เขาอาจจะไม่เคยเห็นด้วยซ้ำว่าเหรียญทองลูอิสมีหน้าตาเช่นไร ในหมู่บ้านกอร์ดูนี่นอกจากพวกตนสองพี่น้องแล้ว ก็มีเพียงครอบครัวของบาทหลวงประจำโบสถ์กับครอบครัวของผู้บริหารท้องถิ่นเท่านั้นถึงจะเคยเห็นและเป็นเจ้าของเหรียญทองลูอิสได้
สำหรับชาวบ้านสักคน เหรียญทองลูอิสนับเป็นของมีค่าไม่น้อย
“น่าเสียดายว่านี่เป็นแค่ความฝัน…” ลูมิแอร์ถอนหายใจด้วยความผิดหวังอยู่บ้าง
ของนี่ดูไม่เหมือนว่าเป็นสิ่งของที่เหนือธรรมชาติ จึงไม่น่าจะ ‘นำ’ ออกจากความฝันได้
แต่ถึงกระนั้น ลูมิแอร์ก็ยังเก็บเหรียญทองลูอิสเอาไว้อย่างตั้งใจจริงจัง เพราะชีวิตเร่ร่อนในอดีตทำให้เขารู้ซึ้งถึงคุณค่าของทุกๆ ค็อปเพ็ต
และหนึ่งเหรียญทองลูอิสนั้นมีค่ามากถึง 2,000 ค็อปเพ็ต ซึ่งใกล้เคียงหนึ่งทองปอนด์ของอาณาจักรโลเอน แต่แน่นอนว่าน้อยกว่าเล็กน้อย ในหน้าหนังสือพิมพ์บอกว่า 24 เฟลกิ้นถึงจะแลกได้ 1 ทองปอนด์
ลูมิแอร์ค้นหาต่อไป
เขาต้องการหาข้อมูลที่เป็นตัวอักษรเพื่อยืนยันสถานการณ์ของซากปรักหักพังแห่งนี้ ดูว่าที่นี่นั้นตรงกับสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งในความเป็นจริงหรือไม่ เป็นหมู่บ้านใดในสาธารณรัฐอินทิสที่ถูก ‘ย้าย’ เข้ามาในความฝันหรือเปล่า การที่ลูมิแอร์คาดเดาออกมาเช่นนี้ก็เป็นเพราะเหรียญทองลูอิสนั่นเอง
ขณะที่กำลังก้าวไปเรื่อยๆ ลูมิแอร์ก็เห็นว่าตำแหน่งที่แต่เดิมเคยเป็นเตานั้น ด้านข้างมีคราบเปื้อนสีแดงเข้มติดอยู่
“เลือด?” ม่านตาเขาขยายออก คาดเดาออกมาอย่างรวดเร็ว
จากนั้นเขาก็ประเมินออกมาทันที
รอยเลือดนี้แม้ว่าจะไม่ได้ใหม่สดก็จริง แต่ก็ไม่ได้เก่ามาก มันไม่ได้เป็นคราบดำ ดูแล้วเหมือนว่าน่าจะเพิ่งหยดมาได้เพียงสองสามวัน
หรือน้อยยิ่งกว่านั้น!
ขณะที่หัวใจกำลังบีบรัด ลูมิแอร์ก็พลันรู้สึกว่าแสงโดยรอบนั้นสลัวลงกว่าเดิมอย่างกะทันหัน
นี่ประหนึ่งว่าเหนือขึ้นไปบนหลังคาที่พังถล่มครึ่งหนึ่งนั้น แสงสลัวที่สาดส่องทะลุผ่านหมอกหนาทึบลอดลงมาถูกสิ่งของอะไรบางอย่างมาบดบังเอาไว้!
ประสบการณ์การถูกโจมตีระหว่างที่เขายังใช้ชีวิตเร่ร่อนรอนแรมอยู่นั้นเป็นประดุจลูกคลื่นที่ถาโถมเข้าซัดใส่ มันทะลักหลั่งไหลเข้ามาในหัวของลูมิแอร์อย่างฉับพลัน ทำให้เขาเกิดปฏิกิริยาตอบสนองในทันที
เขาพุ่งตัวไปข้างหน้าในพริบตา ระหว่างที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศก็เก็บคองอเข่า เมื่อลงสู่พื้นก็กลิ้งม้วนตัวต่อ
ตุ้บ!
ด้านหลังเขามีของหนักบางอย่างหล่นลงมา
ลูมิแอร์กลิ้งไปถึงด้านซ้ายของเตาที่พังชำรุดก็เอื้อมมือออกไปจับหินก้อนหนึ่งแล้วยืมแรงเหวี่ยงเพื่อหมุนตัวกลับมา
เมื่อเขาเงื้อขวานขึ้น ก็เห็นร่างร่างหนึ่งยืนอยู่ในตำแหน่งเดิมของตนก่อนหน้านี้
ภายใต้แสงที่สลัวหม่น ลูมิแอร์ไม่กล้ายืนยันว่าสิ่งที่เห็นนั่นเป็นมนุษย์หรือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตรูปร่างมนุษย์กันแน่
‘เขา’ หลังค้อมค่อม ไม่สวมเสื้อผ้าและรองเท้า ผิวหนังราวกับถูกลอกออกเผยให้เห็นกล้ามเนื้อสีแดง เส้นเลือด และพังผืดสีเหลือง มีของเหลวข้นหนืดไหลยืดออกมาจากร่างแต่ไม่ได้หยดลงสู่พื้น
นี่เป็นสัตว์ประหลาด!
ดวงตาสีขาวมากสีฟ้าน้อยของ ‘เขา’ ดูเหมือนฝังอยู่บนใบหน้า ปากอ้ากว้างเต็มที่ มีฟันไม่เท่ากัน น้ำลายไหลย้อยออกมาด้านนอกจนยืดยาว
ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ลูมิแอร์ได้แต่งนิทานผีขึ้นมามากมายหลายเรื่องก็จริง แต่ก็ไม่เคยคิดฝันแม้แต่น้อยว่าวันนี้ตัวเองจะต้องมาเจอกับสิ่งที่เรียกว่าภูตผีปีศาจร้ายเช่นนี้
วูบ!
ลมกลิ่นเลือดโชยมาปะทะเขา เสียงหายใจหนักหน่วงก็ดังมาเข้าสู่รูหูเขา
ลูมิแอร์ขยับไปด้านข้างตามจิตใต้สำนึก หลบพ้นจากการจู่โจมของสัตว์ประหลาดสีแดงเลือดไปได้
หากไม่ใช่เพราะได้รับ ‘การชี้แนะ’ จากโอรอร์อยู่เป็นประจำ หากไม่เป็นเพราะได้เรียนรู้การต่อสู้และมีประสบการณ์การต่อสู้ข้างถนนมาหลายปี เขาที่เมื่อครู่นี้กำลังตื่นตระหนกทั้งกายและใจอยู่ก็อาจจะตอบสนองได้ไม่ทันการ
เมื่อตั้งสติได้ ลูมิแอร์ก็สืบเท้าหนึ่งก้าวเข้าไปหาสัตว์ประหลาดที่พุ่งมาเหนือหัว เงื้อขวานคมกริบในอุ้งมือจามใส่กลางหลังมัน
พลั่ก!
สัตว์ประหลาดที่กำลังจะหันกลับมาล้มลงกับพื้น น้ำเลือดน้ำหนองสาดกระเซ็น
ลูมิแอร์ไม่มีความลังเล เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วเงื้อขวานขึ้นอีกครั้ง
ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!
เขาจามขวานใส่ไม่ยั้ง แต่ละครั้งล้วนเฉือนเนื้อหั่นกระดูก เกิดเป็นบาดแผลฉกรรจ์ทั้งลึกทั้งกว้าง ทำให้ท้ายทอย ลำคอ และแผ่นหลังของมันเป็นรอยสับที่ยับเยิน
ในที่สุดสัตว์ประหลาดตนนั้นก็แน่นิ่งไป คว่ำหน้าไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
“แฮ่ก! แฮ่ก! ฝีมือแก…ไม่เห็นจะน่ากลัวเหมือนรูปร่างหน้าตาเลยนี่…” ลูมิแอร์ถอนใจโล่งอก พูดเบาๆ เชิงเยาะเย้ยออกมาประโยคหนึ่ง
เขายกมือซ้ายขึ้นมาปาดใบหน้าก่อนจะเช็ดเลือดออกจากมือ
“น้ำเลือดน้ำหนองของเจ้าสัตว์ประหลาดนี่จะมีพิษหรือเปล่านะ? แต่ในตอนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเจ็บปวดเหมือนถูกกัดกร่อนอะไร…” ลูมิแอร์เริ่มกังวลในประเด็นอื่นๆ ขึ้นมา
ขณะที่เขารวบรวมความกล้า เตรียมจะค้นซากสัตว์ประหลาดอยู่นั้น มือทั้งสองข้างของเจ้าสัตว์ประหลาดสีเลือดไร้ผิวหนังก็ยื่นออกมาแล้วยันตัวลุกขึ้นยืนอีกครั้ง!
มันยังไม่ตายเหรอเนี่ย?
สับจนเละขนาดนี้ก็ยังไม่ตายเนี่ยนะ?
ลูมิแอร์ทั้งตระหนกและหวาดกลัว
ต้องบอกว่าในตอนนี้เขาหวาดกลัวขึ้นมาแล้ว รู้สึกขวัญหายกำลังใจหดหมดแล้ว
ถ้าเจอกับมนุษย์ธรรมดา เจอสัตว์ป่า หรือแม้แต่สัตว์ประหลาดก็เถอะ ถึงเขาจะเอาชนะไม่ได้ก็จริง แต่ก็คงไม่รู้สึกหวาดกลัวอันใด ทว่าเจ้าตัวที่กำลังอยู่ต่อหน้านี้ ดูเหมือนว่าจะทำยังไงมันก็ไม่ยอมตาย ที่ตนเองลงแรงไปทั้งหมดล้วนแต่สูญเปล่าทั้งสิ้น!
ลูมิแอร์อาศัยข้อที่ว่าเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้กำลังตกอยู่ในอาการ ‘งุนงงสับสน’ อยู่บ้าง รีบตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ยืนให้มั่น ออกแรงจากหัวเข่า แล้วสับขาวิ่งป่าราบทันที
ตึก! ตึก! ตึก!
เขาวิ่งด้วยความเร็วเต็มที่ของตัวเองแล้ว แต่ลมหายใจแผ่วๆ ก็ยังพ่นรดต้นคอ เสียงหายใจหนักๆ ก็ยังดังเข้ารูหู
สัตว์ประหลาดตัวนั้นยังคงไล่กวดเขามาติดๆ
ลูมิแอร์กัดฟันแน่น รู้สึกเพียงแค่ว่าความหวาดกลัวทำให้ร่างกายปะทุพลังออกมาเกินกว่าปกติ
เขาวิ่งได้เร็วยิ่งกว่าเดิม เกินกว่ามาตรฐานที่เคยทำไว้มาก
เขารู้สึกยินดีที่พบว่าระยะห่างระหว่างสัตว์ประหลาดตัวนั้นกับตนเองไม่ได้ย่นระยะลง
ตึก! ตึก! ตึก!
ในที่สุดลูมิแอร์ก็วิ่งกลับมาจนถึงอาคารสองชั้นกึ่งใต้ดินที่เป็นบ้านของตนจนได้
เขาดึงล็อกประตูเปิดออกแล้วกระโดดพรวดเข้าไปข้างในอย่างเร็วจี๋
ปัง!
เขาใช้หลังมือกระแทกบานประตูให้ปิด
ลูมิแอร์ไม่คิดจะหยุดพัก เขาตรงดิ่งไปยังเตา หยิบเอาส้อมเหล็กที่วางพิงผนังตรงนั้นขึ้นมา
จากนั้นเขาก็มองไปที่ประตูอย่างใจจดใจจ่อ
เสียงฝีเท้าสัตว์ประหลาดวิ่งหายไปในบริเวณใกล้เคียง แม้ว่าเวลาจะผ่านไปสิบกว่าวินาทีแล้ว แต่มันกลับไม่ได้พยายามกระแทกประตูบุกเข้ามา
“มันรู้ว่าฉันดักรอโจมตีอยู่ในนี้งั้นเหรอ?” ลูมิแอร์ไม่อยากเชื่อว่าสัตว์ประหลาดนั่นจะมีสติปัญญาระดับสูง
เขาค่อยๆ ขยับเข้าใกล้หน้าต่างข้างประตูทีละนิดๆ แล้วค่อยๆ แอบมองออกไปด้านนอก
ทันใดนั้นที่กระจกหน้าต่างก็มีใบหน้าปรากฏพรวดขึ้นมาอย่างกะทันหัน!
เป็นใบหน้าที่ไร้ผิวหนัง มีแต่เลือดเนื้อและฟันที่ไม่เท่ากัน!
หัวใจลูมิแอร์เกือบจะหยุดเต้น ตลอดทั้งร่างชะงักงันไปชั่วขณะ
ทว่าสัตว์ประหลาดกลับไม่ได้ฉวยโอกาสกระแทกกระจกบุกเข้ามาโจมตี มีเพียงดวงตาทั้งสี่ข้างสบประสานกัน
เมื่อลูมิแอร์ตั้งสติได้ก็รีบถอยหลังอย่างรวดเร็ว สองมือยกส้อมยาวขึ้นมารอ
หลังจากนั้นสัตว์ประหลาดก็ออกจากบริเวณหน้าต่างไป
ลูมิแอร์เฝ้าจับตาสังเกตอย่างระวังและเขม็งเกร็ง
เขามองผ่านหมอกเทาหม่นสลัวออกไป เห็นว่าสัตว์ประหลาดตัวนั้นอ้อยอิ่งอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงออกจากบ้านตนเอง มันเดินอย่างเชื่องช้ากลับไปยังซากปรักหักพัง
“…” ลูมิแอร์งุนงงจนพูดไม่ออก
เขาอุตส่าห์คิดหาวิธีวางกับดักสัตว์ประหลาด จากนั้นตนเองก็เตรียมเผ่นหนีออกจากความฝัน แต่ผลสุดท้ายกลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายจากไปทั้งอย่างนี้เนี่ยนะ…
เมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็นึกถึงความเป็นไปได้ประการหนึ่งขึ้นมา
“สัตว์ประหลาดตัวนั้นไม่กล้าเข้ามาในบ้านฉันงั้นเหรอ?
“ใช่สิ บ้านทั้งหลังไม่มีตรงไหนที่มีร่องรอยความเสียหายแม้แต่นิดเดียว…
“ภายในความฝันนี่… ที่นี่ก็เท่ากับเป็นเขตปลอดภัยใช่ไหม?”
ชั่วขณะที่ลูมิแอร์คาดเดาเช่นนี้ออกมา เขาก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาไม่น้อย
วินาทีถัดมาเขารู้สึกเหน็ดเหนื่อยจนร่างกายหนักอึ้ง
การหลบหนีการไล่ล่าในช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อครู่นี้เหน็ดเหนื่อยสาหัสสากรรจ์เสียยิ่งกว่าการฝึกต่อสู้ตลอดทั้งบ่ายเสียอีก
ลูมิแอร์ถือส้อมยาวกับขวานขึ้นไปบนชั้นสอง ก่อนจะเข้าไปในห้องนอนของตัวเองแล้วพยายามข่มตาหลับ
* * * * *
ขณะกำลังสะลึมสะลืออยู่นั้น ลูมิแอร์ก็ลืมตาตื่นขึ้นมา
ด้านนอกผ้าม่านมืดสนิท ภายในห้องก็มืดมิด
หากไม่เป็นเพราะไม่มีหมอกเทาที่หม่นสลัว หรือไม่ใช่เพราะตนเองได้ ‘เปลี่ยน’ มาสวมชุดนอนแล้ว ลูมิแอร์คงแยกไม่ออกว่านี่คือความเป็นจริงหรือความฝันกันแน่
“เจอเรื่องที่น่ากลัวมาก็เลยตื่นก่อนเวลางั้นเหรอ?” เขาเอื้อมมือไปคลำกระเป๋าชุดนอนตามจิตใต้สำนึก แต่ไม่รู้สึกถึงเหรียญทองลูอิส
นี่ทำให้เขาผิดหวังอยู่บ้าง และยืนยันข้อเท็จจริงเรื่องหนึ่งได้อีกครั้ง นั่นคือ…
เงินทองเอาออกมาจากความฝันไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ!
ลูมิแอร์สงบสติอารมณ์แล้วเริ่มใคร่ครวญปัญหาเรื่องหนึ่งอย่างจริงจัง
จะจัดการเจ้าสัตว์ประหลาดหนังเหนียวที่ฆ่าไม่ตายนั่นยังไงดี?
ถึงแม้ตนเองจะสามารถอ้อมผ่านบริเวณนั้นและเข้าไปลึกกว่านั้นได้ก็จริง แต่ในอนาคตก็ต้องพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะไปเจอกับสัตว์ประหลาดจำพวกนั้นอยู่ดี จึงจำเป็นต้องเตรียมตัวไว้ให้พร้อม จะเอาชีวิตมาล้อเล่นไม่ได้เด็ดขาด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น