ตอนที่ 10 เลือด

บ่วงชะตากรรม : ราชันเร้นลับ (ราชันโลกพิศวง) ภาคสอง

ตอนที่ 10 เลือด

※ ※ ※ ※ ※

เมื่อออกจากประตูมา ลูมิแอร์ก็ราวกับเข้ามาสู่โลกอีกใบหนึ่ง

สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาเขาไม่ใช่หมู่บ้านกอร์ดูที่คุ้นเคยอีกต่อไป แต่เป็นยอดเขาสีแดงเข้มและอาคารที่พังถล่มรายล้อมมันไว้เป็นชั้นๆ พวกมันรวมกันเป็นซากปรักหักพังที่ดูประหลาดแปลกตา

สูงขึ้นไปมีหมอกหนาขาวโพลน แสงส่องผ่านได้ยาก พื้นผิวของยอดเขานั้นแตกระแหง มีก้อนหินระเกะระกะเต็มไปหมด ลูมิแอร์ถือขวานเดินหน้าอย่างระวัง ระหว่างเส้นทางนั้นหาที่ซ่อนตัวไม่ได้เลย

ที่นี่ไม่มีต้นไม้ใบหญ้า แม้แต่วัชพืชก็ไม่ปรากฏให้เห็น

ลูมิแอร์รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนอยู่บ้าง เขาจึงได้แต่ต้องเดินค้อมหลังพูดปลอบใจตัวเองว่าถ้าแถวนี้มีอันตรายอะไรอยู่จริง อย่างน้อยก็ยังพบเห็นได้ตั้งแต่เนิ่นๆ และมองเห็นได้อย่างชัดเจน

ในที่สุดเขาก็มาถึงซากปรักหักพังแห่งนั้น มาหยุดอยู่หน้าซากอาคารที่ถูกไฟไหม้จนพังถล่มไปครึ่งหลัง

ลูมิแอร์สังเกตดูอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อยืนยันเบื้องต้นได้ว่าในนั้นไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดอยู่ เขาจึงเดินเข้าไปอย่างระแวดระวัง หลีกเลี่ยงคานไม้ไหม้เกรียมที่อาจจะร่วงหล่นมาจากด้านบนได้ทุกเมื่อ เริ่มต้นการค้นหา

เขากวาดสายตาไปก็เห็นว่าที่หัวมุมบ้านมีไหดินเผาอยู่ใบหนึ่ง ที่รอยแตกของมันมีประกายสีทองลอดออกมา

ลูมิแอร์ค่อยๆ ขยับเข้าไปทีละก้าว แล้วเขาก็พบว่านั่นเป็นเหรียญทอง

ของจริงเหรอเนี่ย? ซากปรักหักพังในความฝันมีสมบัติอยู่งั้นเหรอ? เขาพึมพำพลางเก็บเหรียญทองมาเช็ดกับเสื้อผ้า

ลวดลายบนเหรียญทองเผยโฉมออกมาให้เห็น

ด้านหน้าเป็นภาพนูนต่ำของศีรษะผู้ชาย ใบหน้าผอม หวีผมแสกข้างเจ็ดต่อสาม เหนือริมฝีปากมีหนวดเรียวสองเส้น สายตาแน่วแน่ ด้านหลังเป็นพวงหญ้าหางเหยี่ยวล้อมรอบตัวเลข ‘20’

ลูมิแอร์รู้จักผู้ชายคนนี้ เขาคือเลวานซ์ ประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐอินทิส

“เป็นเหรียญทองลูอิสจริงๆ ด้วย…” ลูมิแอร์ค่อนข้างประหลาดใจ

หนึ่งนั้นเป็นเพราะเขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าสิ่งที่ปรากฏอยู่ในซากปรักหักพังในความฝันอันแปลกประหลาดนี้จะเป็นสกุลเงินที่แท้จริงของสาธารณรัฐอินทิส สองก็คือสิ่งของที่ตนเองหยิบขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจกลับกลายเป็นของมีค่าอย่างเหรียญทองลูอิสไปเสียได้

เงินที่ใช้ได้ตามกฎหมายของสาธารณรัฐอินทิสในปัจจุบันคือเฟลกิ้นกับค็อปเพ็ต ซึ่ง 1 เฟลกิ้นเท่ากับ 100 ค็อปเพ็ต

ค็อปเพ็ตมีอยู่สองแบบคือเหรียญเงินกับเหรียญทองแดง เหรียญทองแดงจะแบ่งออกเป็นสามราคาคือ 1 ค็อปเพ็ต 5 ค็อปเพ็ต และ 10 ค็อปเพ็ต ส่วนเหรียญเงินแยกเป็น 20 ค็อปเพ็ตกับ 50 ค็อปเพ็ต

เฟลกิ้นแยกได้เป็นเหรียญเงิน เหรียญทอง และธนบัตร เหรียญเงินมีสามราคาคือ 1 5 และ 10 เฟลกิ้น ส่วนเหรียญทองมีห้าราคาคือ 5 10 20 40 และ 50

ธนบัตรค่อนข้างจะมีราคาหลากหลาย แยกได้เป็น 5 20 50 100 200 500 และ 1,000 เฟลกิ้น

แต่ในชีวิตจริงนั้นผู้คนในอินทิสยังเคยชินติดปากเรียกเป็นหน่วยเงินสกุลเดิมอยู่ อย่างเช่นพวกเขาเรียกเหรียญทองแดง 5 ค็อปเพ็ตที่ใช้กันอย่างแพร่หลายว่าริค

และในทำนองเดียวกัน เหรียญทองมูลค่า 20 เฟลกิ้นก็ถูกเรียกว่าเหรียญทองลูอิส

แน่นอนว่าในยุคที่ใช้หน่วยเงินเก่าอยู่นั้น เหรียญทองลูอิสถูกเรียกว่าเหรียญทองโรเซลล์ แต่หลังจากก่อตั้งสาธารณรัฐขึ้นมาจึงเปลี่ยนชื่อเรียกเป็นเหรียญทองลูอิสแทน เพื่อกำจัดอิทธิพลของจักรพรรดิโรเซลล์ให้หมดไป

เท่าที่ลูมิแอร์ทราบ แม้ว่าชีวิตในเมืองอาจจะทำไม่ได้ก็จริง แต่ในชนบทซึ่งเป็นสถานที่ไกลปืนเที่ยงอย่างหมู่บ้านกอร์ดูแห่งนี้ หนึ่งเหรียญทองลูอิสสามารถทำให้ครอบครัวยากจนที่มีพื้นที่เพาะปลูกเป็นของตัวเองสามารถมีชีวิตสุขสันต์ได้ถึงหนึ่งเดือนเลยทีเดียว

หากไม่เป็นเพราะรายได้ของโอรอร์ที่ค่อนข้างพอตัวไม่น้อย เขาอาจจะไม่เคยเห็นด้วยซ้ำว่าเหรียญทองลูอิสมีหน้าตาเช่นไร ในหมู่บ้านกอร์ดูนี่นอกจากพวกตนสองพี่น้องแล้ว ก็มีเพียงครอบครัวของบาทหลวงประจำโบสถ์กับครอบครัวของผู้บริหารท้องถิ่นเท่านั้นถึงจะเคยเห็นและเป็นเจ้าของเหรียญทองลูอิสได้

สำหรับชาวบ้านสักคน เหรียญทองลูอิสนับเป็นของมีค่าไม่น้อย

“น่าเสียดายว่านี่เป็นแค่ความฝัน…” ลูมิแอร์ถอนหายใจด้วยความผิดหวังอยู่บ้าง

ของนี่ดูไม่เหมือนว่าเป็นสิ่งของที่เหนือธรรมชาติ จึงไม่น่าจะ ‘นำ’ ออกจากความฝันได้

แต่ถึงกระนั้น ลูมิแอร์ก็ยังเก็บเหรียญทองลูอิสเอาไว้อย่างตั้งใจจริงจัง เพราะชีวิตเร่ร่อนในอดีตทำให้เขารู้ซึ้งถึงคุณค่าของทุกๆ ค็อปเพ็ต

และหนึ่งเหรียญทองลูอิสนั้นมีค่ามากถึง 2,000 ค็อปเพ็ต ซึ่งใกล้เคียงหนึ่งทองปอนด์ของอาณาจักรโลเอน แต่แน่นอนว่าน้อยกว่าเล็กน้อย ในหน้าหนังสือพิมพ์บอกว่า 24 เฟลกิ้นถึงจะแลกได้ 1 ทองปอนด์

ลูมิแอร์ค้นหาต่อไป

เขาต้องการหาข้อมูลที่เป็นตัวอักษรเพื่อยืนยันสถานการณ์ของซากปรักหักพังแห่งนี้ ดูว่าที่นี่นั้นตรงกับสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งในความเป็นจริงหรือไม่ เป็นหมู่บ้านใดในสาธารณรัฐอินทิสที่ถูก ‘ย้าย’ เข้ามาในความฝันหรือเปล่า การที่ลูมิแอร์คาดเดาออกมาเช่นนี้ก็เป็นเพราะเหรียญทองลูอิสนั่นเอง

ขณะที่กำลังก้าวไปเรื่อยๆ ลูมิแอร์ก็เห็นว่าตำแหน่งที่แต่เดิมเคยเป็นเตานั้น ด้านข้างมีคราบเปื้อนสีแดงเข้มติดอยู่

“เลือด?” ม่านตาเขาขยายออก คาดเดาออกมาอย่างรวดเร็ว

จากนั้นเขาก็ประเมินออกมาทันที

รอยเลือดนี้แม้ว่าจะไม่ได้ใหม่สดก็จริง แต่ก็ไม่ได้เก่ามาก มันไม่ได้เป็นคราบดำ ดูแล้วเหมือนว่าน่าจะเพิ่งหยดมาได้เพียงสองสามวัน

หรือน้อยยิ่งกว่านั้น!

ขณะที่หัวใจกำลังบีบรัด ลูมิแอร์ก็พลันรู้สึกว่าแสงโดยรอบนั้นสลัวลงกว่าเดิมอย่างกะทันหัน

นี่ประหนึ่งว่าเหนือขึ้นไปบนหลังคาที่พังถล่มครึ่งหนึ่งนั้น แสงสลัวที่สาดส่องทะลุผ่านหมอกหนาทึบลอดลงมาถูกสิ่งของอะไรบางอย่างมาบดบังเอาไว้!

ประสบการณ์การถูกโจมตีระหว่างที่เขายังใช้ชีวิตเร่ร่อนรอนแรมอยู่นั้นเป็นประดุจลูกคลื่นที่ถาโถมเข้าซัดใส่ มันทะลักหลั่งไหลเข้ามาในหัวของลูมิแอร์อย่างฉับพลัน ทำให้เขาเกิดปฏิกิริยาตอบสนองในทันที

เขาพุ่งตัวไปข้างหน้าในพริบตา ระหว่างที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศก็เก็บคองอเข่า เมื่อลงสู่พื้นก็กลิ้งม้วนตัวต่อ

ตุ้บ!

ด้านหลังเขามีของหนักบางอย่างหล่นลงมา

ลูมิแอร์กลิ้งไปถึงด้านซ้ายของเตาที่พังชำรุดก็เอื้อมมือออกไปจับหินก้อนหนึ่งแล้วยืมแรงเหวี่ยงเพื่อหมุนตัวกลับมา

เมื่อเขาเงื้อขวานขึ้น ก็เห็นร่างร่างหนึ่งยืนอยู่ในตำแหน่งเดิมของตนก่อนหน้านี้

ภายใต้แสงที่สลัวหม่น ลูมิแอร์ไม่กล้ายืนยันว่าสิ่งที่เห็นนั่นเป็นมนุษย์หรือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตรูปร่างมนุษย์กันแน่

‘เขา’ หลังค้อมค่อม ไม่สวมเสื้อผ้าและรองเท้า ผิวหนังราวกับถูกลอกออกเผยให้เห็นกล้ามเนื้อสีแดง เส้นเลือด และพังผืดสีเหลือง มีของเหลวข้นหนืดไหลยืดออกมาจากร่างแต่ไม่ได้หยดลงสู่พื้น

นี่เป็นสัตว์ประหลาด!

ดวงตาสีขาวมากสีฟ้าน้อยของ ‘เขา’ ดูเหมือนฝังอยู่บนใบหน้า ปากอ้ากว้างเต็มที่ มีฟันไม่เท่ากัน น้ำลายไหลย้อยออกมาด้านนอกจนยืดยาว

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ลูมิแอร์ได้แต่งนิทานผีขึ้นมามากมายหลายเรื่องก็จริง แต่ก็ไม่เคยคิดฝันแม้แต่น้อยว่าวันนี้ตัวเองจะต้องมาเจอกับสิ่งที่เรียกว่าภูตผีปีศาจร้ายเช่นนี้

วูบ!

ลมกลิ่นเลือดโชยมาปะทะเขา เสียงหายใจหนักหน่วงก็ดังมาเข้าสู่รูหูเขา

ลูมิแอร์ขยับไปด้านข้างตามจิตใต้สำนึก หลบพ้นจากการจู่โจมของสัตว์ประหลาดสีแดงเลือดไปได้

หากไม่ใช่เพราะได้รับ ‘การชี้แนะ’ จากโอรอร์อยู่เป็นประจำ หากไม่เป็นเพราะได้เรียนรู้การต่อสู้และมีประสบการณ์การต่อสู้ข้างถนนมาหลายปี เขาที่เมื่อครู่นี้กำลังตื่นตระหนกทั้งกายและใจอยู่ก็อาจจะตอบสนองได้ไม่ทันการ

เมื่อตั้งสติได้ ลูมิแอร์ก็สืบเท้าหนึ่งก้าวเข้าไปหาสัตว์ประหลาดที่พุ่งมาเหนือหัว เงื้อขวานคมกริบในอุ้งมือจามใส่กลางหลังมัน

พลั่ก!

สัตว์ประหลาดที่กำลังจะหันกลับมาล้มลงกับพื้น น้ำเลือดน้ำหนองสาดกระเซ็น

ลูมิแอร์ไม่มีความลังเล เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วเงื้อขวานขึ้นอีกครั้ง

ฉัวะ! ฉัวะ! ฉัวะ!

เขาจามขวานใส่ไม่ยั้ง แต่ละครั้งล้วนเฉือนเนื้อหั่นกระดูก เกิดเป็นบาดแผลฉกรรจ์ทั้งลึกทั้งกว้าง ทำให้ท้ายทอย ลำคอ และแผ่นหลังของมันเป็นรอยสับที่ยับเยิน

ในที่สุดสัตว์ประหลาดตนนั้นก็แน่นิ่งไป คว่ำหน้าไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว

“แฮ่ก! แฮ่ก! ฝีมือแก…ไม่เห็นจะน่ากลัวเหมือนรูปร่างหน้าตาเลยนี่…” ลูมิแอร์ถอนใจโล่งอก พูดเบาๆ เชิงเยาะเย้ยออกมาประโยคหนึ่ง

เขายกมือซ้ายขึ้นมาปาดใบหน้าก่อนจะเช็ดเลือดออกจากมือ

“น้ำเลือดน้ำหนองของเจ้าสัตว์ประหลาดนี่จะมีพิษหรือเปล่านะ? แต่ในตอนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกว่าเจ็บปวดเหมือนถูกกัดกร่อนอะไร…” ลูมิแอร์เริ่มกังวลในประเด็นอื่นๆ ขึ้นมา

ขณะที่เขารวบรวมความกล้า เตรียมจะค้นซากสัตว์ประหลาดอยู่นั้น มือทั้งสองข้างของเจ้าสัตว์ประหลาดสีเลือดไร้ผิวหนังก็ยื่นออกมาแล้วยันตัวลุกขึ้นยืนอีกครั้ง!

มันยังไม่ตายเหรอเนี่ย?

สับจนเละขนาดนี้ก็ยังไม่ตายเนี่ยนะ?

ลูมิแอร์ทั้งตระหนกและหวาดกลัว

ต้องบอกว่าในตอนนี้เขาหวาดกลัวขึ้นมาแล้ว รู้สึกขวัญหายกำลังใจหดหมดแล้ว

ถ้าเจอกับมนุษย์ธรรมดา เจอสัตว์ป่า หรือแม้แต่สัตว์ประหลาดก็เถอะ ถึงเขาจะเอาชนะไม่ได้ก็จริง แต่ก็คงไม่รู้สึกหวาดกลัวอันใด ทว่าเจ้าตัวที่กำลังอยู่ต่อหน้านี้ ดูเหมือนว่าจะทำยังไงมันก็ไม่ยอมตาย ที่ตนเองลงแรงไปทั้งหมดล้วนแต่สูญเปล่าทั้งสิ้น!

ลูมิแอร์อาศัยข้อที่ว่าเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้กำลังตกอยู่ในอาการ ‘งุนงงสับสน’ อยู่บ้าง รีบตัดสินใจอย่างเด็ดขาด ยืนให้มั่น ออกแรงจากหัวเข่า แล้วสับขาวิ่งป่าราบทันที

ตึก! ตึก! ตึก!

เขาวิ่งด้วยความเร็วเต็มที่ของตัวเองแล้ว แต่ลมหายใจแผ่วๆ ก็ยังพ่นรดต้นคอ เสียงหายใจหนักๆ ก็ยังดังเข้ารูหู

สัตว์ประหลาดตัวนั้นยังคงไล่กวดเขามาติดๆ

ลูมิแอร์กัดฟันแน่น รู้สึกเพียงแค่ว่าความหวาดกลัวทำให้ร่างกายปะทุพลังออกมาเกินกว่าปกติ

เขาวิ่งได้เร็วยิ่งกว่าเดิม เกินกว่ามาตรฐานที่เคยทำไว้มาก

เขารู้สึกยินดีที่พบว่าระยะห่างระหว่างสัตว์ประหลาดตัวนั้นกับตนเองไม่ได้ย่นระยะลง

ตึก! ตึก! ตึก!

ในที่สุดลูมิแอร์ก็วิ่งกลับมาจนถึงอาคารสองชั้นกึ่งใต้ดินที่เป็นบ้านของตนจนได้

เขาดึงล็อกประตูเปิดออกแล้วกระโดดพรวดเข้าไปข้างในอย่างเร็วจี๋

ปัง!

เขาใช้หลังมือกระแทกบานประตูให้ปิด

ลูมิแอร์ไม่คิดจะหยุดพัก เขาตรงดิ่งไปยังเตา หยิบเอาส้อมเหล็กที่วางพิงผนังตรงนั้นขึ้นมา

จากนั้นเขาก็มองไปที่ประตูอย่างใจจดใจจ่อ

เสียงฝีเท้าสัตว์ประหลาดวิ่งหายไปในบริเวณใกล้เคียง แม้ว่าเวลาจะผ่านไปสิบกว่าวินาทีแล้ว แต่มันกลับไม่ได้พยายามกระแทกประตูบุกเข้ามา

“มันรู้ว่าฉันดักรอโจมตีอยู่ในนี้งั้นเหรอ?” ลูมิแอร์ไม่อยากเชื่อว่าสัตว์ประหลาดนั่นจะมีสติปัญญาระดับสูง

เขาค่อยๆ ขยับเข้าใกล้หน้าต่างข้างประตูทีละนิดๆ แล้วค่อยๆ แอบมองออกไปด้านนอก

ทันใดนั้นที่กระจกหน้าต่างก็มีใบหน้าปรากฏพรวดขึ้นมาอย่างกะทันหัน!

เป็นใบหน้าที่ไร้ผิวหนัง มีแต่เลือดเนื้อและฟันที่ไม่เท่ากัน!

หัวใจลูมิแอร์เกือบจะหยุดเต้น ตลอดทั้งร่างชะงักงันไปชั่วขณะ

ทว่าสัตว์ประหลาดกลับไม่ได้ฉวยโอกาสกระแทกกระจกบุกเข้ามาโจมตี มีเพียงดวงตาทั้งสี่ข้างสบประสานกัน

เมื่อลูมิแอร์ตั้งสติได้ก็รีบถอยหลังอย่างรวดเร็ว สองมือยกส้อมยาวขึ้นมารอ

หลังจากนั้นสัตว์ประหลาดก็ออกจากบริเวณหน้าต่างไป

ลูมิแอร์เฝ้าจับตาสังเกตอย่างระวังและเขม็งเกร็ง

เขามองผ่านหมอกเทาหม่นสลัวออกไป เห็นว่าสัตว์ประหลาดตัวนั้นอ้อยอิ่งอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นจึงออกจากบ้านตนเอง มันเดินอย่างเชื่องช้ากลับไปยังซากปรักหักพัง

“…” ลูมิแอร์งุนงงจนพูดไม่ออก

เขาอุตส่าห์คิดหาวิธีวางกับดักสัตว์ประหลาด จากนั้นตนเองก็เตรียมเผ่นหนีออกจากความฝัน แต่ผลสุดท้ายกลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายจากไปทั้งอย่างนี้เนี่ยนะ…

เมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็นึกถึงความเป็นไปได้ประการหนึ่งขึ้นมา

“สัตว์ประหลาดตัวนั้นไม่กล้าเข้ามาในบ้านฉันงั้นเหรอ?

“ใช่สิ บ้านทั้งหลังไม่มีตรงไหนที่มีร่องรอยความเสียหายแม้แต่นิดเดียว…

“ภายในความฝันนี่… ที่นี่ก็เท่ากับเป็นเขตปลอดภัยใช่ไหม?”

ชั่วขณะที่ลูมิแอร์คาดเดาเช่นนี้ออกมา เขาก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาไม่น้อย

วินาทีถัดมาเขารู้สึกเหน็ดเหนื่อยจนร่างกายหนักอึ้ง

การหลบหนีการไล่ล่าในช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อครู่นี้เหน็ดเหนื่อยสาหัสสากรรจ์เสียยิ่งกว่าการฝึกต่อสู้ตลอดทั้งบ่ายเสียอีก

ลูมิแอร์ถือส้อมยาวกับขวานขึ้นไปบนชั้นสอง ก่อนจะเข้าไปในห้องนอนของตัวเองแล้วพยายามข่มตาหลับ

* * * * *

ขณะกำลังสะลึมสะลืออยู่นั้น ลูมิแอร์ก็ลืมตาตื่นขึ้นมา

ด้านนอกผ้าม่านมืดสนิท ภายในห้องก็มืดมิด

หากไม่เป็นเพราะไม่มีหมอกเทาที่หม่นสลัว หรือไม่ใช่เพราะตนเองได้ ‘เปลี่ยน’ มาสวมชุดนอนแล้ว ลูมิแอร์คงแยกไม่ออกว่านี่คือความเป็นจริงหรือความฝันกันแน่

“เจอเรื่องที่น่ากลัวมาก็เลยตื่นก่อนเวลางั้นเหรอ?” เขาเอื้อมมือไปคลำกระเป๋าชุดนอนตามจิตใต้สำนึก แต่ไม่รู้สึกถึงเหรียญทองลูอิส

นี่ทำให้เขาผิดหวังอยู่บ้าง และยืนยันข้อเท็จจริงเรื่องหนึ่งได้อีกครั้ง นั่นคือ…

เงินทองเอาออกมาจากความฝันไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ!

ลูมิแอร์สงบสติอารมณ์แล้วเริ่มใคร่ครวญปัญหาเรื่องหนึ่งอย่างจริงจัง

จะจัดการเจ้าสัตว์ประหลาดหนังเหนียวที่ฆ่าไม่ตายนั่นยังไงดี?

ถึงแม้ตนเองจะสามารถอ้อมผ่านบริเวณนั้นและเข้าไปลึกกว่านั้นได้ก็จริง แต่ในอนาคตก็ต้องพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะไปเจอกับสัตว์ประหลาดจำพวกนั้นอยู่ดี จึงจำเป็นต้องเตรียมตัวไว้ให้พร้อม จะเอาชีวิตมาล้อเล่นไม่ได้เด็ดขาด

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บ่วงชะตากรรม : ราชันเร้นลับ 2

ตอนที่ 9 นิตยสาร

ตอนที่ 15 พูดคุยสอบถามข้อมูล