ตอนที่ 11 มาดามปัวริส

บ่วงชะตากรรม : ราชันเร้นลับ (ราชันโลกพิศวง) ภาคสอง

ตอนที่ 11 มาดามปัวริส

※ ※ ※ ※ ※

ฟ้าสีครามแต่งแต้มด้วยปุยเมฆขาวเป็นหย่อมๆ สายลมอ่อนโยนของฤดูใบไม้ผลิอันนำมาซึ่งกลิ่นต้นไม้ใบหญ้าพัดโชยปะทะพวงแก้มของผู้คน ลำน้ำใสไหลเย็นระริน ห่านขาวตัวใหญ่อวบอ้วนแต่ละตัวกำลังก้มหน้าแทะเล็มหญ้าเขียวขจี หญิงสาวคนหนึ่งสวมกระโปรงผ้าสีควันบุหรี่ถือไม้ยาวคอยเฝ้าดูพวกมันอย่างใกล้ชิด

ใบหน้าหญิงสาวอาบไล้ไปด้วยแสงตะวันสีทองผ่องอำไพที่สาดส่องให้เห็นไรขนอ่อนๆ ส่วนบนของเส้นผมยาวสลวยสีน้ำตาลถูกพันไว้ภายใต้ผ้าขาว ใบหน้างดงามเผยให้เห็นความอ่อนเยาว์ที่ไม่อาจอำพราง

เธอมองดูลูมิแอร์ที่กำลังนั่งบนพื้นใต้ร่มไม้ริมน้ำ ก่อนจะเอ่ยขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ไม่ใช่ว่าจะมาปรึกษาว่าเรื่องเล่าลือเรื่องไหนที่สืบหาได้ง่ายกว่ากันหรือไง?

“แล้วทำไมถึงกลายมาเป็นเรื่องรูปปั้นหินที่สลักไว้หน้าโบสถ์ได้ล่ะ?”

สาวน้อยคนนี้ก็คือเอวา ลิเซียร์บุตรสาวของช่างทำรองเท้ากีโยม เธอเป็นหนึ่งในวัยรุ่นเพียงไม่กี่คนในหมู่บ้านที่มีความสัมพันธ์อันดีกับลูมิแอร์และแรมุนด์

“ฉันกำลังคิดถึงปัญหาเรื่องหนึ่งอยู่น่ะ” ลูมิแอร์ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา เขายังคงจ้องมองห่านขาวพวกนั้นกับสายน้ำที่รินไหล

“ปัญหาอะไร?” แรมุนด์ เกร็กที่กำลังช่วยเอวาดูแลฝูงห่านเอ่ยถามด้วยความสงสัย

ลูมิแอร์พูดราวกับกำลังใช้ความคิดใคร่ครวญอยู่

“ถ้าไปเจอสัตว์ป่าหนังหนาสักตัวที่อาวุธของพวกนายทำอะไรมันไม่ได้เนี่ย นายจะจัดการกับมันยังไง?”

“แหงอยู่แล้ว ก็ต้องเผ่นน่ะสิ บนภูเขามีสัตว์ป่าตั้งเยอะตั้งแยะ ไม่เห็นจำเป็นต้องล่ามันแค่ตัวเดียวนี่นา” เอวาไม่ได้รู้สึกว่าการทำเช่นนี้จะมีสิ่งใดน่าอาย

ลูมิแอร์ร้อง “อืม” คำหนึ่ง

“แล้วถ้าสัตว์ป่าตัวนั้นเป็นสัตว์หายาก พวกตาเฒ่าในเมืองชื่นชอบมันมากจนยอมเต็มใจจ่ายให้หนึ่งร้อยเหรียญทองลูอิสเพื่อซากของมันล่ะ?”

“หนึ่งร้อยเหรียญทองลูอิส… ก็เท่ากับสองพันเฟลกิ้น…” แรมุนด์หายใจฟืดฟาดขึ้นมา

เขาไม่เคยได้เห็นหรือเคยสัมผัสเหรียญทองลูอิสมาก่อน จึงเปลี่ยนมาเรียกด้วยหน่วยเงินเฟลกิ้นตามสัญชาตญาณ

ด้วยเงินจำนวนขนาดนี้ เขาสามารถไปตั้งต้นทำการค้าเล็กๆ น้อยๆ ที่ดาริแยฌได้เลย ไม่ต้องไปหัดเรียนการเลี้ยงแกะอีกต่อไป

เขารีบคิดเร็วปรื๋อ

“งั้นไปหายืมปืนลูกซองล่ะ?”

“เจาะหนังเจ้าสัตว์ตัวนั้นไม่เข้าน่ะสิ” ลูมิแอร์ปฏิเสธทันที

แม้เอวาจะทราบว่านั่นเป็นเพียงแค่เหยื่อในจินตนาการและเป็นไปไม่ได้ที่จะทำเงินได้มากขนาดนั้น แต่เธอก็อดมีส่วนร่วมในการหารือไม่ได้

“มันแข็งแกร่งไหม? ดุร้ายหรือเปล่า?”

ลูมิแอร์ครุ่นคิด

“ก็พอๆ กับฉัน”

นี่ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาไม่ยอมตัดใจ

“งั้นก็ยังดี” แรมุนด์ถอนใจโล่งอก “กลับหมู่บ้านไปตามคนมาสักกลุ่ม มาช่วยกันล้อมมันเอาไว้แล้วค่อยๆ ตอดพลังมันไปเรื่อยๆ มันหมดแรงเมื่อไหร่ก็ค่อยจับมัด”

เขารู้ว่าลูมิแอร์ต่อสู้เป็น แต่ก็รู้เพียงแค่เท่านั้น

“ถ้าเป็นแบบนั้นนายก็ได้แค่สิบเหรียญทองลูอิสน่ะสิ หรือไม่ก็น้อยกว่านั้นอีก” ลูมิแอร์เอ่ยเตือน

“ฉันเคยเห็นพวกเขาออกล่า บางทีอาจจะลองขุดหลุมดักให้สัตว์ป่าตัวนั้นตกลงไป ออกมาไม่ได้…” ดวงตาสีฟ้าทะเลสาบของเอวากลอกไปมาเล็กน้อย เธอนึกไปก็พูดไป

“วิธีนี้ก็น่าลอง” ลูมิแอร์ผงกศีรษะเห็นด้วย

เขาทราบว่าความรู้ของเอวากับแรมุนด์นั้นมีจำกัด ไม่อาจคิดวิธีการได้มากกว่านี้อีกแล้ว จึงเริ่มหันหัวข้อสนทนากลับมาสู่ทิศทางหลัก

“พวกนายว่าเรื่องเล่าลือเรื่องไหนที่เหมาะจะเป็นเป้าหมายต่อไป?”

“ไม่เหมาะสักเรื่อง” เอวาสั่นศีรษะ “เรื่องพวกนั้นน่ะมีมาตั้งหลายร้อยปีแล้ว บางทีก็มีแค่คนเดียวที่เคยเห็น แถมคนคนนั้นก็ตายไปเป็นชาติแล้ว”

แรมุนด์เห็นด้วยกับเอวา

“นั่นสิ”

“ถ้าไม่ไปถามคนที่เกี่ยวข้องแล้วจะรู้ได้ไงว่ามีหรือไม่มีเบาะแสน่ะ?” ลูมิแอร์จุ๊ปากหัวเราะ “พวกนายนี่ล่ะน้า… ทำอะไรก็ไม่ทำให้จริงๆ จังๆ แค่เจอปัญหาด่านแรกเข้าก็ท้อซะแล้ว แบบนี้ต้องเป็นสาวเลี้ยงห่านเป็นคนเลี้ยงแกะไปตลอดชีวิตนั่นแหละ”

คำพูดนี้ทำให้ทั้งเอวาและแรมุนด์เกิดเพลิงโทสะลุกโหมขึ้นในใจทันที

เรื่องยั่วโมโหคนนี่ ลูมิแอร์นับเป็นอันดับต้นๆ ในหมู่บ้านกอร์ดูอยู่แล้ว

เอวาโพล่งออกมา

“ที่ฉันบอกว่าไม่มีอันไหนเหมาะก็เพราะว่ามีอันอื่นที่เหมาะกว่าต่างหาก”

“เรื่องอะไรล่ะ” ดวงตาลูมิแอร์เป็นประกาย

เอวาหลุดปากไปแล้วก็รู้สึกเสียใจอยู่บ้าง แต่ว่าเดิมทีเธอก็คิดจะบอกเรื่องนี้อยู่แล้ว เพียงแค่ตอนแรกไม่อยากจะบอกลูมิแอร์กับแรมุนด์ออกไปง่ายๆ เท่านั้นเอง

นิ่งเงียบไปสองสามวินาที เธอก็จ้องมองลูมิแอร์

“ในหมู่บ้านกอร์ดูมีแม่มดอยู่จริงๆ”

“ใคร?” ลูมิแอร์ใจกระตุกวูบ

อย่าบอกนะว่าเป็นโอรอร์น่ะ?

ถ้าแม้แต่เอวาก็ยังรู้ว่าโอรอร์เป็นแม่มด อย่างนั้นเขากับโอรอร์ก็คงต้องรีบหนีออกจากหมู่บ้านกอร์ดูโดยด่วน ไปใช้ชีวิตอยู่ที่อื่นก่อนที่จะถูกศาลศาสนจักรมา ‘เยี่ยม’ ถึงหน้าบ้าน

เอวาเหลียวซ้ายแลขวาตามจิตใต้สำนึก กดเสียงพูดออกมา

“มาดามปัวริส”

มาดามปัวริส… ภรรยาของผู้บริหารท้องถิ่น… หญิงชู้ของบาทหลวงประจำโบสถ์เนี่ยนะ? ลูมิแอร์รู้สึกไม่ค่อยอยากจะเชื่อ

“จริงดิ?”

ถ้าปัวริสเป็นแม่มดจริงๆ งั้นตอนที่เขาพบว่ามาดามคนนี้มีความสัมพันธ์กับบาทหลวงประจำโบสถ์ ทำไมอีกฝ่ายถึงไม่สังเกตเห็นล่ะ?

“ไม่ล่ะมั้ง?” แรมุนด์ประหลาดใจสุดๆ

เอวายืนเขย่งมองไปยังปากทางหมู่บ้าน

“ฉันไม่มั่นใจหรอก ชาร์ลีคนรับใช้ของผู้บริหารท้องถิ่นพลั้งปากบอกฉันมาน่ะ

“เขาบอกว่ามาดามปัวริสเป็นผู้สื่อวิญญาณ สามารถสื่อสารกับวิญญาณคนตายได้ และช่วยให้พวกเขากลับบ้านได้ เขายังบอกอีกว่ามาดามปัวริสน่ะสามารถปรุงยาลับและเขียนยันต์ได้ด้วย”

ลูมิแอร์ตั้งใจฟังจนจบก็ยังไม่อาจฟันธงลงไปได้ว่านี่เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องหลอกกันแน่

ในสถานการณ์ที่นิตยสารจำพวก ‘สื่อสารวิญญาณ’ ‘ดอกบัว’ ‘ความนัยพิศวง’ ตีพิมพ์อย่างแพร่หลายเช่นนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกที่มาดามของผู้บริหารท้องถิ่นจะรู้จักคำศัพท์ทำนองนี้ และรู้ว่าจะต้องทำเช่นไรจึงจะหลอกคนรับใช้กับพวกชาวบ้านได้

“เราไปแจ้งให้โบสถ์รู้กันดีไหม? น่าจะได้รางวัลกันไม่น้อยเลยนะ” แรมุนด์หวาดกลัวแต่ก็ยังคาดหวัง

ลูมิแอร์ใคร่ครวญอยู่สองสามวินาที

“ในเมื่อคนรับใช้ของผู้บริหารท้องถิ่นรู้ว่ามาดามปัวริสเป็นแม่มด งั้นผู้บริหารท้องถิ่นเองก็น่าจะรู้ด้วยเหมือนกันใช่ไหมล่ะ?”

“นั่นสิ” เอวาให้คำตอบเชิงเห็นด้วย

ลูมิแอร์พูดต่อ

“แถมมาดามปัวริสก็ยังเป็นชู้รักของบาทหลวงประจำโบสถ์ด้วย ถ้าพวกเราไปแจ้งโบสถ์ กลัวว่าคงจะถูกส่งตัวไปที่บ้านของผู้บริหารท้องถิ่นซะเองน่ะสิ”

“อะไรนะ?”

“มาดามปัวริสเป็นชู้รักของบาทหลวงประจำโบสถ์เนี่ยนะ?”

ทั้งเอวากับแรมุนด์ต่างตกตะลึง

“ฉันเห็นมากับตา” ลูมิแอร์หัวเราะเหอะเหอะ “พวกนายแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้นะ ห้ามไปบอกใครเด็ดขาด ไม่งั้นฉันกลัวว่าอยู่ดีๆ พวกนายจะหายตัวไปสักวัน”

เอวาแรมุนด์เห็นด้วยอย่างพร้อมเพรียง พวกเขามีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา

แค่บาทหลวงประจำโบสถ์พวกเขาก็กลัวจะแย่แล้ว นี่ยังมีแม่มดเข้ามาเกี่ยวข้องอีก

“ถ้าหากยืนยันได้ว่ามาดามปัวริสเป็นแม่มดจริงๆ พวกเราจะหาโอกาสไปดาริแยฌเพื่อบอกกับท่านบิชอปตอนช่วงพิธีมิสซา” ลูมิแอร์ปลอบใจคนทั้งคู่

“อื้อ” แรมุนด์ผงกศีรษะอย่างแรง

ต้องยืนยันให้มั่นใจเสียก่อนถึงจะไปแจ้ง ไม่งั้นสุดท้ายถ้าสอบสวนไปแล้วไม่พบว่ามาดามปัวริสมีปัญหาอะไร พวกเขาก็จบเห่แน่

หลังจากพูดคุยเรื่องนี้จบแล้ว ลูมิแอร์ที่ไม่อยากเสียเวลาอีกก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะพูดกับเอวาและแรมุนด์

“ฉันจะกลับไปเรียนหนังสือล่ะ ไม่งั้นต้องโดนโอรอร์เอาไม้มาไล่ฟาดแหง

“พวกนายสองคนดูห่านให้ดีๆ ล่ะ”

“ได้” เมื่อคิดถึงว่าช่วงเวลาหลังจากนี้ที่นี่จะเหลือเพียงแค่ตนเองกับเอวาเพียงสองคน แรมุนด์ก็ใจเต้นขึ้นมา

แต่เอวากลับรู้สึกเซ็งอยู่บ้าง

* * * * *

พอเข้าใกล้หมู่บ้านกอร์ดู ลูมิแอร์ก็เริ่มซ่อนตัว คอยระวังตัวแจว่ามีใครเข้ามาใกล้หรือเปล่า

เขากังวลว่าพวกบาทหลวงประจำโบสถ์จะไม่ยอมปล่อยตนเองไป ยังคงเฝ้ารอโอกาสอยู่

จากที่เขาเฝ้าสังเกตมา กีโยม เบอเน็ตบาทหลวงประจำโบสถ์เป็นคนอาฆาตแค้นฝังใจมาก ไม่มีทางที่ถูกเล่นงานแล้วจะยอมปล่อยไปง่ายๆ เด็ดขาด

ลูมิแอร์หลบๆ ซ่อนๆ มุ่งหน้าไปยังทิศทางของร้านเหล้าเก่า

ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกรุ๊งกริ๊งดังขึ้น

ลูมิแอร์หันขวับไปมองก็เห็นว่าที่แยกด้านซ้ายมือ ไรอัน ลีอาห์ วาเลนไทน์ คนต่างถิ่นทั้งสามคนกำลังเดินไปทางพวกนาโรคาที่กำลังจับเหาให้กันอยู่

เสียงกรุ๊งกริ๊งกังวานเสนาะที่ดังเข้าหูมาจากกระดิ่งเงินลูกเล็กสี่ใบบนผ้าคลุมหน้ากับรองเท้าบูตของลีอาห์

สองวันมานี้พวกเขาตระเวนไปทั่วทั้งหมู่บ้าน ไปคุยกับคนนั้นทีคนนี้ที ซักนู่นถามนี่ ไม่รู้ว่าคิดจะทำอะไรกันแน่… ลูมิแอร์รู้สึกทั้งสงสัยทั้งระแวดระวัง

เมื่อคิดถึงว่าก่อนหน้านี้ลานจัตุรัสหมู่บ้านไม่มีใครสักคน คิดถึงว่าคนเลี้ยงแกะปิแอร์ แบร์รี่ที่อุตส่าห์มาตั้งไกลเพื่อกลับมาเข้าร่วมเทศกาลมหาพรต เขาก็มีลางสังหรณ์ไม่สู้ดี รู้สึกแปลกๆ

ที่หมู่บ้านเกิดเรื่องอะไรกันแน่? ลูมิแอร์ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องเล่าสถานการณ์พวกนี้ให้โอรอร์ฟัง แล้วให้พี่สาวที่รอบรู้ชาญฉลาดเปี่ยมไปด้วยสติปัญญาคนนี้ตัดสินว่าจะทำยังไงต่อดี

เขาย่องเข้ามาในร้านเหล้าเก่าได้อย่างราบรื่น มองเห็นผู้หญิงคนที่ให้ไพ่ทาโรต์กับตนกำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่ที่หัวมุมห้อง

ลูมิแอร์เขยิบเข้าใกล้แล้วชำเลืองมอง

“ไข่เจียวเนื้อมัน?

“ไม่เลี่ยนไปหน่อยเหรอนั่น?”

ในภูมิภาคดาริแยฌ เมนูนี้เป็นตัวเลือกอันดับแรกที่คนทั่วไปใช้รับรองแขกผู้มีเกียรติ แต่ลูมิแอร์รู้สึกว่าสำหรับผู้หญิงที่มาจากเมืองใหญ่แล้วมันทั้งเลี่ยนทั้งชุ่มไปด้วยน้ำมัน

ผู้หญิงคนนั้นกัดไข่เจียวสีทองอร่ามอย่างอ้อยอิ่ง หลับตาพริ้มซึมซับความรู้สึกของรสชาติอยู่ชั่วขณะ

“ยอดเยี่ยม มีลักษณะเฉพาะถิ่น กลิ่นก็หอมมาก”

“กินมื้อเที่ยงเร็วขนาดนี้เลยเหรอ?” ลูมิแอร์นั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม

ดวงตาสีฟ้าอ่อนของผู้หญิงคนนั้นเจือแววอ่อนล้าอยู่บ้าง เธอพูดด้วยรอยยิ้ม

“อาหารเช้าต่างหาก”

นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว… ลูมิแอร์ไม่กล้าพูดประโยคนี้ออกจากปาก

เขามองดูรอบๆ ร้านเหล้าเก่าที่ไม่มีลูกค้า ก่อนจะกดเสียงพูด

“ในความฝัน ผมเห็นซากปรักหักพัง แล้วก็เจอกับสัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง”

“อ้อ” ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้แปลกใจแม้แต่น้อย ในสีหน้ามีความรู้สึกสนุกสนานที่ลูมิแอร์ไม่อาจเข้าใจได้

ลูมิแอร์สงบใจ เล่าเรื่องที่ตนเองได้พบเจอมาให้ฟังรอบหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น

“สัตว์ประหลาดแบบนี้จะจัดการกับมันยังไง?”

ผู้หญิงคนนั้นยิ้มและเอ่ยถาม

“มันตายแล้วหรือว่ายังมีชีวิตอยู่ล่ะ?”

“ต้องยังมีชีวิตอยู่สิ ผมฆ่ามันไม่ตาย…” ตอบออกมาแล้วลูมิแอร์หยุดชะงักไปอึดใจตามจิตใต้สำนึก

เขาครุ่นคิดอย่างจริงจังครู่หนึ่ง แล้วพูดด้วยความเร็วที่ช้าลง

“ผมรู้สึกถึงลมหายใจของมัน มันต้องยังมีชีวิตอยู่แน่ๆ”

“ในเมื่อยังมีชีวิตอยู่ งั้นคุณก็พยายามให้มากขึ้นอีก ครั้งนี้ตัดหัวมัน ครั้งหน้าก็ราดน้ำมันเผา ครั้งถัดไปจับมันฝังทั้งเป็น ไม่แน่ว่ามันอาจจะตายก็ได้ใช่ไหมล่ะ?” ผู้หญิงคนนั้นเอร็ดอร่อยไปกับอาหารเช้าของตนพลางให้คำแนะนำอย่างไม่ใส่ใจแยแส “ถ้าลองสารพัดวิธีแล้วยังไม่ได้ผลก็ค่อยกลับมาหาฉันอีกที ฉันไม่ใช่พี่เลี้ยงเด็กอ่อนที่ต้องคอยช่วยคุณทุกเรื่อง คุณต้องเรียนรู้หาวิธีการด้วยตัวเองเสียก่อน”

ตรงไปตรงมาและเป็นมิตร… ลูมิแอร์ไม่ได้รู้สึกหมดหวังหรือหดหู่แม้แต่น้อย เพราะความหมายของอีกฝ่ายก็คือหากเจออันตรายร้ายแรงเมื่อใดก็ค่อยมาหาเธอ เธอจะให้ความช่วยเหลือในระดับหนึ่ง สัตว์ประหลาดที่เพิ่งเจอนั่นไม่มีค่าให้พูดถึง

แต่ไอ้ไม่มีค่าให้พูดถึงของเธอน่ะ มันเป็นปัญหาใหญ่สำหรับฉันน่ะสิ… ลูมิแอร์รู้สึกปวดหัวขึ้นมาอีกครั้ง

เขาตัดสินใจว่าจะทำตามที่ผู้หญิงคนนั้นบอก ทดลองใช้วิธีจำพวกตัดหัว เผาไฟ ฝังทั้งเป็น ฯลฯ ดูก่อนว่าจะได้ผลหรือไม่

* * * * *

[1] ไข่เจียวเนื้อมัน (Omelette au lard)

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บ่วงชะตากรรม : ราชันเร้นลับ 2

ตอนที่ 9 นิตยสาร

ตอนที่ 15 พูดคุยสอบถามข้อมูล