ตอนที่ 12 คลื่นใต้น้ำ
ราชันเร้นลับ (ราชันโลกพิศวง) ภาคสอง : บ่วงชะตากรรม
ตอนที่ 12 คลื่นใต้น้ำ
※ ※ ※ ※ ※
ออกมาจากร้านเหล้าเก่าแล้วลูมิแอร์ก็เริ่มหลบๆ ซ่อนๆ อีกครั้ง
เขาอยู่ในสภาพเช่นนี้จนเข้าใกล้เส้นทางที่ใช้กลับบ้านเป็นประจำ
และไม่ผิดจากที่คาดไว้ เขาพบหนึ่งในลูกสมุนของป็องส์ เบอเน็ตกำลังซ่อนอยู่หลังต้นไม้คอยเฝ้าจับตาดูคนที่ผ่านไปผ่านมา
บาทหลวงไม่ยอมรามือจนกว่าบรรลุเป้าหมายจริงๆ ด้วยสินะ… ลูมิแอร์อดทอดถอนใจอยู่ในใจไม่ได้
ประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือตนเองยังไม่มีวิธีตอบโต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพน่ะสิ
หนึ่งคือเขาเพียงลำพังตัวคนเดียวย่อมมีกำลังจำกัด สองคือหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับบาทหลวงประจำโบสถ์ ย่อมทำให้โบสถ์ ‘สุริยันเจิดจรัส’ ของเขตดาริแยฌตื่นตัวขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อถึงตอนนั้นคนจากศาลศาสนจักรจะต้องมาสืบสวนแน่นอน สำหรับโอรอร์แล้วนี่นับว่าเป็นเรื่องอันตรายยิ่งยวดเลยทีเดียว
นอกเสียจากว่าจะถูกต้อนให้จนมุม ไม่มีทางให้ถอยอีกแล้ว จำใจต้องทิ้งสถานที่แห่งนี้ย้ายไปปักหลักที่อื่นนั่นแหละ ลูมิแอร์ถึงจะยอมข้องแวะกับเรื่องส่วนตัวของบาทหลวงประจำโบสถ์ มาดูกันว่าการเปิดโปงเรื่องอื้อฉาวจะสามารถทำให้เขาถูกย้ายไป ‘ใช้ชีวิตบั้นปลาย’ อยู่ในแอบบีย์ [1] ที่ไหนสักแห่งได้หรือไม่
นอกจากนี้การเปิดโปงเรื่องอื้อฉาวก็ต้องทำอย่างมีทักษะ เฉกเช่นก่อนหน้านี้ที่ทำให้คนต่างถิ่นบังเอิญบุกรุกเข้าไปในจังหวะที่บาทหลวงประจำโบสถ์กับมาดามปัวริสกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มกันอยู่นั่นแหละ
การที่ลูมิแอร์ไม่ได้ป่าวประกาศเรื่องนี้ให้แพร่ออกไปก็เป็นเพราะไม่ประสงค์จะส่งตัวเองให้เป็นเป้า จากที่เขาเฝ้าสังเกตมา บิวส์ผู้บริหารผู้พิพากษาดินแดนเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงมาก ถ้าหากตนเปิดโปงเรื่องของมาดามปัวริสออกมา สิ่งตอบแทนย่อมไม่ใช่ความรู้สึกซาบซึ้งขอบคุณของบิวส์ แต่น่าจะเป็นความเกลียดชังและความเป็นศัตรูเสียมากกว่า
หากเป็นเช่นนั้นขึ้นมา การต้องเผชิญการโจมตีอย่างรุนแรงทั้งสองทางจากฝั่งบาทหลวงประจำโบสถ์และฝั่งผู้บริหารท้องถิ่น ลูมิแอร์คงต้องหลบหนีจากหมู่บ้านกอร์ดูเป็นแน่แท้
เขาค่อยๆ อ้อมไปยังเส้นทางเล็กๆ สายอื่นซึ่งอยู่ระหว่างบ้านเรือนสองสามหลังอย่างระมัดระวัง
ระหว่างทางลูมิแอร์ใช้ทั้งกำแพง ทั้งประตู ทั้งต้นไม้ และสิ่งรอบข้างอย่างอื่นๆ เพื่อกำบังร่างตนไว้ เมื่อขยับมาจนใกล้ถึง ‘ทางออก’ เขาก็ได้ยินคำพูดลอยมา
“กีโยม ทำไมถึงไม่ไปบ้านโอรอร์ตอนดึกๆ เพื่อจับเจ้าเด็กนั่นโดยตรงเลยล่ะ? มาคอยดักซุ่มตามหาตัวเขาทั้งวันแบบนี้จะมีประโยชน์อะไร เสียเวลาพวกเราไปเปล่าๆ เขามันเหมือนหมาป่า กลิ้งกลอกเจ้าเล่ห์จะตาย” เสียงหยาบคายกักขฬะของป็องส์ เบอเน็ตดังมาเข้าหูลูมิแอร์ “ฉันรู้ว่าโอรอร์ต่อสู้เก่ง แต่พวกเรามีคนตั้งเยอะ ถ้ายังไม่พอก็ไปหาผู้ช่วยจากในเมืองมาเพิ่มได้อีก”
กีโยม… บาทหลวงก็อยู่นี่ด้วย… ลูมิแอร์ชะงักแล้วหดกลับไปที่หัวมุม เงี่ยหูตั้งใจฟังว่าบาทหลวงประจำโบสถ์จะตอบเช่นไร จะได้เตรียมตัวว่าตนเองจะต้องรับมืออย่างไร
น้ำเสียงของกีโยม เบอเน็ตเจือความรู้สึกดึงดูดเล็กน้อย
“นี่แกคงไม่ได้คิดว่าโอรอร์จะมีดีแค่เท่าที่เห็นหรอกนะ?
“ยายนั่นน่ะเป็นไปได้ว่าจะมีพลังวิเศษที่ฉันไม่มี”
“หือ…” ป็องส์ เบอเน็ตแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด “เธอเป็นแม่มดงั้นเหรอ? กีโยม… งั้นทำไมนายไม่ไปดาริแยฌแล้วพาคนที่ศาลมาล่ะ? ถ้าจับแม่มดตัวจริงได้ โบสถ์จะต้องให้รางวัลนายแน่ พอถึงตอนนั้นนายก็มีโอกาสสูงที่จะได้รับพลังวิเศษที่อยากได้มาตั้งนานแล้ว”
“เจ้าโง่” กีโยม เบอเน็ตด่าน้องชาย “แกยังไม่รู้อีกหรือไงว่าตอนนี้ในหมู่บ้านกำลังเกิดอะไรขึ้น? คนจากศาลน่ะจมูกดีอย่างกับหมา ถ้าเจออะไรผิดปกติเพียงนิดเดียวก็ไม่มีทางยอมปล่อยไปแน่ พอถึงตอนนั้นก็เป็นปัญหาใหญ่แล้ว
“ถ้าหากโอรอร์คิดจะทำอะไรกับพวกเราจริงๆ ฉันก็ใช่ว่าจะไม่มีวิธีรับมือ ยังไม่ถึงกับหมดทางหรอกน่า อย่าไปทำให้คนจากศาลตื่นตัวขึ้นมาเลย”
งั้นตอนนี้ในหมู่บ้านกำลังจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ? ลูมิแอร์ให้ความสำคัญและอยากรู้ในเรื่องนี้มาก
เมื่อรวมกับปรากฏการณ์บางอย่างที่เขาสังเกตเห็นก่อนหน้านี้ เขาจึงสงสัยว่าในหมู่บ้านมีเรื่องไม่ดีกำลังก่อตัวขึ้นและเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เฉกเช่นคลื่นใต้น้ำที่ปั่นป่วนอยู่ภายใต้ผิวทะเลอันเงียบสงบ
ทว่าที่ทำให้เขาผิดหวังก็คือป็องส์ เบอเน็ตไม่ได้ขยายความในหัวข้อนี้ แต่กลับมุ่งไปที่ประเด็นอื่น
“นายมีวิธีอะไรจัดการกับแม่มด?”
“แกไม่จำเป็นต้องรู้หรอก” กีโยม เบอเน็ตบาทหลวงประจำโบสถ์พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ขั้นต่อไปของพวกเรา… เรื่องจัดการลูมิแอร์น่ะทิ้งไปได้ แต่เปลือกนอกยังต้องทำเหมือนเดิม อย่าทำให้คนอื่นสงสัยว่าฉันจะเลิกแก้แค้น ไม่งั้นจะทำให้คนต่างถิ่นพวกนั้นคิดเชื่อมโยงกับบางเรื่องขึ้นมาได้ จะเกิดเป็นผลกระทบที่ไม่ดีตามมา เรื่องที่พวกแกจำเป็นต้องทำในตอนนี้ก็คือไปบอกคนที่เกี่ยวข้องทีละคนๆ จะได้ข่มขู่ไว้ก่อนเผื่อว่ามีใครสังเกตเห็นเข้า อย่าให้พวกมันพลั้งปากออกมาต่อหน้าคนต่างถิ่นพวกนั้นเด็ดขาด”
“กีโยม นายหมายความว่าคนต่างถิ่นกลุ่มนั้นมาตรวจสอบเรื่องนั้นงั้นเหรอ?” เห็นชัดว่าป็องส์ เบอเน็ตมีความกลัวและกังวลอยู่
นายดูตัวเองสิ มีแต่กล้ามแต่ไม่มีสมอง ไม่สุขุมใจเย็นเหมือนพี่ชายที่มีความเป็นผู้นำมาตั้งแต่เกิด… ลูมิแอร์หัวเราะเยาะป็องส์ เบอเน็ตอยู่ในใจ
แม้ว่าเขาจะเกลียดนักบวชประจำโบสถ์เข้าไส้ และรู้สึกว่าคนผู้นี้ตัณหาจัด เป็นคนที่ทั้งหยาบคายทั้งละโมบ ดูไม่เหมือนเจ้าหน้าที่ศาสนาแม้แต่นิดเดียว ทว่าในสถานที่ชนบทห่างไกลความเจริญแล้ว บุคลิกลักษณะของความดุร้าย อำมหิต แสดงอำนาจบาตรใหญ่ ตรงไปตรงมา จะทำให้ผู้คนยอมรับนับถือ เมื่อผนวกกับสถานภาพตำแหน่ง อำนาจ ความมั่งคั่ง มันสมองที่มีวิสัยทัศน์ มีสติปัญญามากพอ รู้จักพูดจา นี่ทำให้แม้แต่ลูมิแอร์เองก็ต้องยอมรับว่าคนคนนี้มีเสน่ห์ที่ทำให้คนรอบข้างเคารพเลื่อมใสและเชื่อฟังเขาได้อย่างง่ายดาย
กีโยม เบอเน็ตแค่นหัวเราะเย็นชา
“ไม่ต้องกังวลน่า ตราบใดที่คนต่างถิ่นพวกนั้นหาหลักฐานไม่ได้ ฉันก็ยังรักษาตำแหน่งบาทหลวงประจำโบสถ์หมู่บ้านกอร์ดูได้อย่างมั่นคงนั่นแหละ
“ป็องส์… แกต้องจำไว้ให้ขึ้นใจ การจะปกครองที่ใดที่หนึ่งน่ะ จะอาศัยเพียงแค่การใช้กำลัง ความหวาดกลัว และการปราบปรามไม่ได้ ถ้าทำแบบนั้นจะไม่มีทางสงบสุขได้ตลอดไป ไม่อาจจะได้รับผลอย่างที่หวังไว้ คิดว่าศาสนจักรต้องการแค่ซากเมืองโล่งๆ ที่ไม่มีทางเก็บภาษีได้หรือไง? ในเมื่อไม่สามารถจะฆ่าผู้ใหญ่ที่นี่ให้หมดทุกคนได้ งั้นพวกเราก็จำเป็นต้องมีสหายต้องมีผู้ติดสอยห้อยตาม โดยแลกกับการให้ความปกป้องคุ้มครองพวกเขาในระดับหนึ่ง
“ศาสนจักรให้พวกเราเป็นหลักในการโน้มนำกิจธุระทางนี้โดยไม่ได้ส่งคนนอกเข้ามานั่นก็เป็นเพราะว่าพวกเราเป็นคนพื้นที่ มีญาติ มีเพื่อน มีผู้ติดตาม สามารถช่วยพวกเขาควบคุมที่นี่ได้ดีกว่า และไม่ทำเรื่องให้มันยุ่งเหยิงวุ่นวาย ดังนั้นตราบใดที่ไม่มีหลักฐานมากพอ ทางเบื้องบนก็ยังจะเลือกเชื่อฉันต่อไปนั่นแหละ
“เอาล่ะ ฉันจะกลับโบสถ์แล้ว”
ฟังดูมีเหตุผลชวนให้คนคล้อยตามมากจริงๆ นั่นแหละ แต่บาทหลวงเอ๋ย…วิสัยทัศน์ของคุณน่ะจำกัดอยู่เฉพาะพื้นที่เขตดาริแยฌเท่านั้นแหละ… ฉันเคยได้ยินโอรอร์เล่าว่าที่พื้นที่อื่นๆ เนี่ย ถ้ามีหมู่บ้านไหนแปดเปื้อนจากพวกเทพปีศาจขนาดหนักจนเกินเยียวยาล่ะก็ ทางเลือกของโบสถ์ก็คือกวาดล้างมันทั้งหมดนั่นแหละ ทำให้สถานที่ที่เกี่ยวของกลายเป็นซากเมืองไปซะ เมื่อถึงตอนนั้นคนที่ต้องรับผลน่ะไม่ได้มีเพียงแค่ผู้ใหญ่ แม้แต่ลูกเล็กเด็กแดงเองก็ถูกฆ่าทิ้งจนเกลี้ยงด้วย… เมื่อครู่นี้ลูมิแอร์เกือบจะถูกกีโยม เบอเน็ต ‘เกลี้ยกล่อม’ ได้สำเร็จอยู่แล้ว แต่ยังดีที่โอรอร์เล่าถึงความน่ากลัวของโบสถ์ ‘สุริยันเจิดจรัส’ กับโบสถ์ ‘เทพแห่งไอน้ำและจักรกล’ ให้เขาฟังอยู่บ่อยครั้ง
รอจนบาทหลวงจากไปแล้ว ลูมิแอร์จึงเปลี่ยนเส้นทางและกลับไปถึงบ้านได้อย่างราบรื่น
โอรอร์ในชุดผ้ากันเปื้อนสีขาวกำลังง่วนอยู่ที่ด้านข้างเตาอบ
“ทำไรอยู่เหรอ?” ลูมิแอร์ถามด้วยความสงสัย
ขณะนี้ยังเหลืออีกสองชั่วโมงกว่าถึงจะเป็นมื้อเที่ยง
โอรอร์ทัดปอยผมบลอนด์ที่ตกลงมาไปเหน็บไว้หลังใบหูพลางพูดด้วยรอยยิ้ม
“ทดลองทำขนมปังปิ้งรสใหม่น่ะ รสข้าว”
“ไม่เห็นต้องลำบากทำให้ก็ได้…” ลูมิแอร์รู้สึกซาบซึ้งขึ้นมาทันที
เขาคิดว่าโอรอร์ต้องการทำให้ตนเองได้กินของอร่อย
โอรอร์หัวเราะ
“นายคิดไปถึงไหนกัน อย่าหลงตัวเองให้มากนักจะได้ไหม?
“สำหรับฉันน่ะ การได้ทำอาหารได้ทำขนมปังก็คือความบันเทิงในรูปแบบหนึ่งนั่นแหละ แถมยังเป็นการฆ่าเวลาอย่างดีอีกด้วย เข้าใจหรือยัง?”
“งั้นทำไมเธอถึงไม่ชอบออกจากบ้านล่ะ ข้างนอกมีสิ่งบันเทิงใจมากกว่าไม่ใช่หรือไง?” ลูมิแอร์รู้สึกมาโดยตลอดว่าโอรอร์นั้นกังวลเกินไปว่าการเป็นผู้ใช้เวทอาจจะนำมาซึ่งอันตราย จึงมักจะขังตัวเองไว้ในบ้านอยู่เสมอ
โอรอร์หันศีรษะมาด้านข้าง มองเขาชั่วแว่บ
“ไปกินเหล้าเล่นไพ่เนี่ยนะ?
“จำไว้เลยว่าฉันน่ะมีโลกของตัวเอง ไม่ต้องไปพึ่งสิ่งนอกกายจอมปลอมพวกนั้นหรอก”
ลูมิแอร์เข้าใจประโยคครึ่งแรก แต่มึนงงกับประโยคท่อนหลัง
“หือ?
“อธิบายหน่อยได้ไหมว่ามันแปลว่าอะไร?”
โอรอร์ทำตาขวางใส่เขา
“พูดง่ายๆ ก็คือ ฉันที่เป็นพี่สาวนายคนนี้น่ะ เวลาส่วนใหญ่ก็คือเป็นผู้ป่วยโรคกลัวการเข้าสังคมไงยะ!”
“อะไรคือเวลาส่วนใหญ่?” ลูมิแอร์เอ่ยถามด้วยความงุนงง
“มนุษย์ทุกคนมีความซับซ้อนของความขัดแย้งอยู่ในตัว” โอรอร์หันกลับไปมองเตาอบ “นายจำไม่ได้หรือไง? บางครั้งฉันก็พูดจ้อไม่หยุด บางครั้งก็ตั้งใจออกไปฟังพวกแม่เฒ่าพูดคุยซุบซิบกัน จากนั้นก็ไปหยอกล้อพวกเด็กๆ ไปเล่านิทานให้ฟัง มีบางทีที่สติหลุดก็ไปขอยืมม้าของมาดามปัวริสมาขี่ไปเรื่อยเปื่อยบนภูเขา ควบห้อตะบึงไปพร้อมกับตะโกนสุดเสียง”
เวลาที่เธอทำแบบนั้นน่ะ เปล่งประกายเหมือนกุหลาบต้องน้ำค้างยามเช้าเลยล่ะ ดึงดูดให้ผู้คนเข้าใกล้แล้วก็ทิ่มตำด้วยหนามแหลม… ลูมิแอร์อดพึมพำในใจไม่ได้
เป็นเพราะมีการพาดพิงถึงมาดามปัวริส ดังนั้นลูมิแอร์จึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที
“โอรอร์ เอ่อ…พี่… ฉันเพิ่งได้ยินข่าวลือมาเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับมาดามปัวริสน่ะ”
“อะไรเหรอ?” โอรอร์ไม่ได้อำพรางความอยากรู้ของตัวเอง
“เธอเป็นผู้ใช้เวท สามารถสื่อสารกับวิญญาณคนตายได้…” ลูมิแอร์เล่าเรื่องที่เอวาบอกให้พี่สาวฟัง ขณะเดียวกันก็พูดเรื่องที่ตนเองสังเกตเห็นถึงความผิดปกติและคำพูดของกีโยม เบอเน็ตบาทหลวงประจำโบสถ์
โอรอร์หยุดงานที่ทำอยู่ ตั้งใจฟังคำพูดของน้องชายจนจบ
สีหน้าเธอดูเคร่งขรึมอย่างเห็นได้ชัด
จนกระทั่งลูมิแอร์เล่าจบ โอรอร์ก็คลี่ยิ้มแล้วพูดปลอบใจน้องชาย
“ไม่ต้องกังวลจนเกินไปหรอก คนต่างถิ่นสามคนนั่นมาหาบาทหลวงประจำโบสถ์น่าจะเป็นเรื่องที่พวกเขาทำเป็นการส่วนตัว เป็นไปได้ว่าคงจะเกี่ยวข้องกับมาดามปัวริส
“ระหว่างนี้นายอย่าเพิ่งไปซอกแซกเรื่องมาดามปัวริส ฉันจะคอยจับตาดูพวกเขาไว้เอง
“ส่วนนายก็ไปเตร่รอบๆ หมู่บ้านบ่อยๆ ไปคุยกับคนต่างถิ่นพวกนั้นให้มากหน่อย ดูว่าจะถามมาได้ไหมว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เหอะเหอะ ถ้าเทียบกันแล้วผู้หญิงคนที่ให้ไพ่ ‘ไม้เท้า’ นายมา ยังจะคุ้มค่าให้ฉันสนใจมากกว่าอีก
“ถ้าหากสถานการณ์ส่อแววไปในทางร้ายจริงๆ พวกเราค่อยมาพิจารณาเรื่องออกจากหมู่บ้านกอร์ดูกัน อืม… ตอนนี้ก็น่าจะเตรียมตัวไว้บ้างดีกว่า”
“ตกลง” ลูมิแอร์แสดงความเห็นด้วยกับคำตอบของพี่สาว
เขาหยุดไปชั่วขณะก่อนจะถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“โอรอร์ ถ้าหากต้องออกจากหมู่บ้านกอร์ดูไปจริงๆ เธอวางแผนว่าจะไปปักหลักอยู่ที่ไหน?”
“ไปเทรียร์!” โอรอร์ไม่มีความลังเลแม้แต่เสี้ยววินาที
เทรียร์เป็นนครหลวงของสาธารณรัฐอินทิสและเป็นศูนย์กลางของศิลปะวัฒนธรรมทั่วทั้งทวีป
“ทำไมล่ะ?” แม้ว่าที่ลูมิแอร์คิดจะเป็นเทรียร์เช่นกัน แต่ก็ยังถามออกมา
ชาวอินทิสทุกคนล้วนปรารถนาไปเทรียร์กันทั้งสิ้น
ในสายตาของชาวเทรียร์ อินทิสนั้นมีคนอยู่เพียงแค่สองประเภทเท่านั้นคือคนเทรียร์กับคนต่างจังหวัด
โอรอร์พูดด้วยความคิดที่ล่องลอยไปไกล
“มีนักพยากรณ์คนหนึ่งเคยพูดไว้ว่า…
“ตราบใดที่เทรียร์ยังดำรงอยู่ ความสุขสันต์บนโลกจะคงอยู่ตราบนานเท่านาน” [2]
* * * * *
[1] แอบบีย์ (Abbey) คืออารามหรือคอนแวนต์ในนิกายโรมันคาทอลิกที่อยู่ภายใต้การปกครองของอธิการอาราม (Abbot) หรืออธิการิณีอาราม (Abbess) ซึ่งทำหน้าที่เป็นพ่อหรือแม่ฝ่ายจิตวิญญาณของเหล่านักบวชที่อาศัยในแอบบีย์
[2] ดัดแปลงมาจากกวีนิพนธ์คำทำนายของนอสตราดามุสที่กล่าวว่า ‘ตราบใดที่ปารีสยังดำรงอยู่ ความสุขสันต์บนโลกจะคงอยู่ตราบนานเท่านาน’
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น