ตอนที่ 13 ความพยายาม
บ่วงชะตากรรม : ราชันเร้นลับ (ราชันโลกพิศวง) ภาคสอง
ตอนที่ 13 ความพยายาม
※ ※ ※ ※ ※
คำเตือน : มีฉากสยดสยอง
※ ※ ※ ※ ※
ค่ำคืนเงียบสงัด ผู้คนไร้สุ้มเสียง
ลูมิแอร์ตื่นขึ้นในความฝันอีกครั้ง สิ่งแรกที่กระทบสู่ครรลองสายตาก็คือหมอกเทาหม่นสลัว
เขายกมือสอดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อตนเองตามสัญชาตญาณทันที
ทันใดนั้นสัมผัสเย็นเยียบแข็งทื่อของโลหะก็ถ่ายทอดสู่สมอง
เมื่อเขาล้วงวัตถุที่สัมผัสถูกออกมา ประกายสีทองก็สะท้อนเข้าสู่ดวงตา
เป็นเหรียญทองเหรียญหนึ่ง
เหรียญทองลูอิส
“มันยังอยู่…” ลูมิแอร์ลุกพรวดขึ้นนั่ง ก้มมองตัวเอง
เขายังคงสวมเสื้อบุฝ้าย กางเกงบุฝ้าย และแจ็คเกตหนังตามที่สวมไว้เมื่อมาสำรวจครั้งก่อนหน้า ส้อมโลหะยาวเกือบสองเมตรกับขวานโลหะสีดำเมื่อมวางอยู่ห่างออกไปเพียงแค่เอื้อม
นี่เป็นสถานะเดียวกับตอนที่เขาออกจากความฝันไป
“พูดอีกอย่างก็คือความฝันนี้มีการดำเนินต่อเนื่อง ไม่ใช่เข้ามาทีไรก็เริ่มใหม่ทุกครั้งสินะ…” ลูมิแอร์เล่นกับเหรียญทองลูอิสก่อนจะยัดเก็บลงไปในกระเป๋าด้านในของเสื้อบุฝ้าย
ถึงแม้จะเอาออกไปสู่ความเป็นจริงไม่ได้ก็เถอะ แต่การได้เห็นก็ทำให้หัวใจชุ่มชื่นแล้ว
ลูมิแอร์ลุกออกจากเตียง มองออกไปนอกหน้าต่าง และยืนยันได้ว่าภูเขาแดงในซากปรักหักพังแห่งนั้นไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเท่าไร
เขาหยิบขวานกับส้อมเหล็กขึ้นมา เดินออกจากห้องเข้าไปยังทางเดินที่มืดสลัว
ห้องนอนกับห้องหนังสือของโอรอร์ยังคงเปิดคาไว้
ลูมิแอร์ชำเลืองมอง ทันใดนั้นก็เกิดความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา
“ห้องฉันในความฝันมันสอดคล้องกับความเป็นจริง อะไรที่ควรมีก็มี ห้องของโอรอร์เองเท่าที่มองผ่านๆ ก็เหมือนกัน
“งั้น…ในห้องนอนของเธอนี่ ฉันจะหาพวกบันทึกเวทมนตร์ สูตรยาลับ หรือวิธีทำให้เป็นผู้ใช้เวทได้หรือเปล่านะ?
ความคิดนี้ประหนึ่งเสียงกระซิบของภูตพราย ทำให้ลูมิแอร์หวั่นไหว คิดอยากจะทดลองดู
เมื่อเทียบกับการสำรวจซากปรักหักพังที่ไม่รู้จัก มีอันตราย ลึกลับ และแปลกประหลาดแล้ว การค้นหาในห้องของโอรอร์นั้นเป็นตัวเลือกที่ทั้งสะดวกง่ายดายและปลอดภัยยิ่งกว่าหลายเท่า
ไม่ได้ ไม่ได้! ลูมิแอร์สะบัดหน้าอย่างแรงเพื่อสลัดความคิดนี้ทิ้งไป
เขายอมไปเสี่ยงอันตรายดีกว่าจะรุกล้ำละลาบละล้วงความเป็นส่วนตัวของโอรอร์ เขาจะไม่เข้าไปในห้องนอนของโอรอร์ก่อนที่เธอจะอนุญาตเด็ดขาด
นี่คือการแสดงความเคารพต่อโอรอร์
หากไม่เป็นเพราะโอรอร์ เขาคงตายอยู่ข้างถนนตั้งแต่ห้าปีก่อนแล้ว
ลูมิแอร์ละสายตากลับมาด้วยความปวดใจ ก่อนจะเดินไปยังบันได
หากเจ้าของห้องนอนนั้นเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่โอรอร์ ป่านนี้เขาคงเข้าไปหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์แล้ว
ลงบันไดมาแล้วลูมิแอร์ก็ยังไม่ได้รีบร้อนออกจากบ้าน แต่ไปสำรวจตรวจสอบเครื่องครัวก่อน
น้ำมันมะกอก น้ำมันข้าวโพด และไขมันสัตว์ของโอรอร์ถูกจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบเฉกเช่นในความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นถังหรือกระป๋องก็ตาม
ราวกับทำไปตามจิตใต้สำนึก ลูมิแอร์ได้นำเอาถังน้ำมันข้าวโพดออกมาก่อน แล้ววางมันไว้ที่ข้างเตา
เหตุผลเพียงประการเดียวที่เขาเลือกมันออกมาก็คือไขมันสัตว์กับน้ำมันมะกอกมีราคาแพงกว่า
นี่คือการเตรียมความพร้อมสำหรับเผาเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้น
แน่นอนว่านี่จะเก็บเอาไว้เป็นตัวเลือกสุดท้าย ถ้าหากมีวิธีการอื่นที่แก้ปัญหาได้ดีกว่านี้
จัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จสิ้นแล้ว เขาก็หยิบขวานและเปิดประตู
ลูมิแอร์พบความแตกต่างได้ในทันที
หมอกเทาหม่นสลัวที่แผ่กระจายปกคลุมไปทั่วทั้งดินแดนความฝันนี้รู้สึกเปียกชื้นกว่าเดิมอยู่บ้าง พื้นใต้เท้าเขาเองก็เป็นโคลนเล็กน้อย
“ฝนตกเหรอ? ตอนที่ฉันไม่ได้อยู่นี่แล้วก็ไม่ได้ฝัน ที่นี่ก็ยังมีตัวตนอยู่ แถมยังดำเนินเปลี่ยนแปลงไปตามกฎธรรมชาติอะไรสักอย่างด้วยงั้นเหรอ?”
เมื่อนึกถึงพวกเรื่องประหลาดที่โอรอร์แต่งขึ้นมา เขาก็คาดเดาขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง
“ที่นี่คงไม่ว่าจะเป็นใช่สถานที่จริงบนโลกหรอกนะ?
“ความฝันของฉันเชื่อมต่อเข้ากับโลกแห่งความจริงที่ไหนสักแห่ง จุดประสงค์ที่ไพ่ทาโรต์ใบนั้นปลุกให้ฉันตื่นขึ้นมาก็คือการข้ามสิ่งกีดขวางระหว่างความฝันกับซากปรักหักพังงั้นเหรอ?”
ลูมิแอร์เหลือบซ้ายแลขวาก็พบว่าสองฟากฝั่งของซากปรักหักพัง ซึ่งก็คือ ‘ชายขอบ’ ของความฝัน เป็นหมอกสีเทาแผ่ไปสุดลูกหูลูกตา
“เอาไว้ค่อยลองตรวจสอบดู แทนที่จะเข้าไปในซากปรักหักพังก็เดินไปนอกหมอกเทาแทน ดูว่าหลังจากผ่านหมอกเทาออกไปแล้วมันจะเป็นความฝันพิลึกพิลั่น หรือว่าจะเป็นแผ่นดิน เป็นท้องฟ้า เป็นเมืองเป็นหมู่บ้านจริงๆ กันแน่…”
ถ้าเป็นอย่างแรกก็แสดงว่าที่นี่เป็นความฝัน แต่ถ้าไม่ใช่ ลูมิแอร์จะต้องยืนยันให้ได้ว่ามันเป็นที่ไหนบนโลกใบนี้
เขาคิดว่าจากที่ได้เห็นเหรียญทองลูอิส ที่นี่ก็น่าจะอยู่ในสาธารณรัฐอินทิส แต่ก็ไม่จำเป็นว่าต้องอยู่ยุคปัจจุบัน อาจจะเป็นสถานที่สักแห่งที่หายสาบสูญไปตั้งแต่หลายสิบปีก่อนหรือร่วมร้อยปีมาแล้ว
ทว่าลูมิแอร์ก็รู้สึกว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ตัวเองจะเดินออกจากหมอกเทารอบๆ นี้ไปไม่ได้
เขารวมรวมสติแล้วเดินตรงไปยังซากปรักหักพัง
เขาไม่ลืมว่าวัตถุประสงค์ที่เข้ามาในครั้งนี้ก็คือพยายามจัดการสัตว์ประหลาดตัวนั้น
เมื่อเดินบนดินโคลนที่เต็มไปด้วยกรวดหินและรอยแยกไปได้ร้อยสองร้อยเมตร ลูมิแอร์ก็หยุดชะงัก
เขานึกถึงปัญหาข้อหนึ่งขึ้นมาได้
การเตรียมการเมื่อครู่นี้มองข้ามบางอย่างไป!
ก่อนหน้านี้ที่บ้านสองชั้นของตนเองไม่มีแสงไฟ เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยมากในโลกที่ปกคลุมด้วยหมอกเทาผืนนี้ แต่ในตอนนี้มีเตาไฟส่องแสงออกมา มันจะชักนำให้สัตว์ประหลาดมาห้อมล้อมกันมากมายจนสถานที่นี้ไร้ซึ่งความปลอดภัยอีกแล้วหรือเปล่า?
ลูมิแอร์หันหน้ากลับไปตามจิตใต้สำนึก มองไปที่ที่จากมาก็เห็นเพียงหมอกเทาหม่นสลัว ชั้นล่างของอาคารสองชั้นกึ่งใต้ดินหลังนั้นมีแสงสว่างสีแดงฉานประทับอยู่บนกระจกหน้าต่างหลากหลายบาน
นี่เปรียบประดุจประภาคารที่ฉายแสงอยู่ท่ามกลางโลกอันมืดหม่นอนธการ
เมื่อใคร่ครวญในข้อที่ว่าเวลาได้ผ่านมาพอควรแล้ว ถึงจะรีบกลับไปดับไฟตอนนี้ก็ไม่ทันการอยู่ดี ลูมิแอร์จึงเร่งฝีเท้าเข้าไปในซากปรักหักพัง ซ่อนตัวอยู่บริเวณริมๆ ของซากอาคารที่ถูกไฟไหม้จนพังถล่ม
เขาเหน็บขวานไว้กับเข็มขัดด้านหลัง ปีนไต่ผนังขึ้นไปอย่างรวดเร็ว แล้วซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดที่มีก้อนอิฐกับไม้กั้นไว้
ลูมิแอร์มองดูบ้านของตนเองที่อยู่ห่างออกไปไกลอีกฟากหนึ่งของพื้นที่แดนร้าง
เวลาผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า เขาก็ไม่เห็นว่าจะมีสัตว์ประหลาดตัวไหนถูกแสงไฟดึงดูดให้เข้าไปไกล
“ดูเหมือนว่าไฟจะไม่ได้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรสินะ อย่างน้อยก็ไม่ได้ทำให้มีสัตว์ประหลาดมาเล่นรอบกองไฟล่ะ…” ลูมิแอร์ถอนใจโล่งอก
นี่ก็หมายความว่าหากต้องประสบภยันตรายขึ้นมาจริงๆ ขอเพียงแค่เขาต้องรีบกลับบ้านให้ทันเวลาและหลับให้เร็วที่สุด ก็จะสามารถหลบหนีได้อย่างราบรื่น
เขาเริ่มครุ่นคิดพิจารณาว่าจะล่อสัตว์ประหลาดตัวนั้นมาได้ยังไงและจะจัดการมันด้วยวิธีไหน
“ดูจากที่ต่อสู้กันสั้นๆ เมื่อครั้งก่อน ความแข็งแกร่ง ความเร็ว ปฏิกิริยาตอบสนอง และความว่องไวของมันไม่ได้ต่างจากฉันเท่าไหร่ แต่ก็รู้สึกได้ชัดเจนว่ามันต่อสู้โดยอาศัยสัญชาตญาณล้วนๆ ไม่ได้มีประสบการณ์หรือทักษะอะไรทั้งนั้น แถมยังไม่มีสติปัญญาด้านการต่อสู้อีกด้วย ดังนั้นเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกมันจู่โจม ฉันก็ยังสามารถฆ่ามันได้อยู่…
“มันตกตะลึงเป็น งุนงงได้ ไม่ต่างจากมนุษย์…
“นอกจากทักษะการต่อสู้แล้ว ฉันก็ยังมีจุดที่เหนือกว่าสองเรื่อง หนึ่งคือระดับสติปัญญาสูงกว่า สองคือฉันใช้อาวุธเป็นใช้เครื่องมือได้ นี่ก็คือจุดที่มนุษย์ได้เปรียบสัตว์ประหลาดแบบนี้ที่สุด…
“เพียงแค่ฉันต้องคอยระวังเอาไว้หน่อย จะโจมตีมันอีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร จุดสำคัญก็คือจะจัดการมันได้ยังไงนี่น่ะสิ…”
ขณะที่ลูมิแอร์คิดจะสร้างความเคลื่อนไหวเล็กน้อยเพื่อดูว่าจะสามารถดึงดูดสัตว์ประหลาดพวกนี้มาได้บ้างหรือไม่ เขาก็เห็นว่ามีร่างหนึ่งเข้ามาใกล้อย่างไร้สุ้มเสียง ตรงมายังด้านข้างที่พังถล่มลงมาอย่างสมบูรณ์ของอาคารหลังนี้
ตลอดทั้งร่างนั้นเป็นสีแดงเลือด ไม่มีผิวหนังปกคลุม เผยให้เห็นกล้ามเนื้อ เส้นเลือดและพังผืดได้โดยตรง เหมือนกับเป็นสัตว์ประหลาดจากครั้งก่อน
ทว่าสิ่งที่ต่างไปจากครั้งก่อนก็คือในมือของสัตว์ประหลาดตัวนี้ถือส้อมคลุกมูลเอาไว้ด้วย
ส้อมคลุกมูล!
“มันเองก็ใช้อาวุธเป็นด้วย…” ใบหน้าลูมิแอร์แข็งทื่อ สีหน้ามีความขื่นขมเจ็บปวดเจืออยู่
ความมั่นใจของเขาถดถอยลงไปเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว
เมื่อสัตว์ประหลาดตัวนั้นเข้ามาใกล้และหันหลังให้ ลูมิแอร์ก็เห็นว่าที่กลางหลัง ลำคอ และท้ายทอยของมันมีบาดแผลที่ดูน่าสยดสยอง แต่ก็ไม่ได้มีน้ำเหลืองไหลออกมาจากปากแผลอีกแล้ว ดูเหมือนว่าหายดีไปกว่าครึ่ง
“เป็นตัวที่ฉันเจอก่อนหน้านี้จริงๆ ด้วย…
“พลังการรักษาตัวของมัน เทียบกับฉันเทียบกับมนุษย์ทั่วไปแล้วแข็งแกร่งกว่าไม่รู้กี่เท่า…”
ลูมิแอร์สูดหายใจเข้าอย่างเงียบเชียบ
เขาบังคับให้ตัวเองสงบสติอารมณ์แล้วรีบวิเคราะห์สถานการณ์ในขณะนี้โดยด่วน
จากนั้นไม่นานลูมิแอร์ก็ตัดสินใจได้
ตอนนี้เป็นโอกาสดี เมื่อสบโอกาสแล้วต้องไขว่คว้าไว้ให้อยู่ จะปล่อยหลุดมือไม่ได้เด็ดขาด!
เขาดึงก้อนอิฐที่ข้างตัวออกมาอย่างเบามือแล้วรอให้สัตว์ประหลาดเข้ามาถึงตำแหน่งที่หมายตาไว้
หรือก็คืออีกเพียงแค่หนึ่งถึงสองก้าว สัตว์ประหลาดตัวนั้นก็จะเข้าสู่ ‘ระยะซุ่มโจมตี’ ของลูมิแอร์
ลูมิแอร์ขว้างก้อนอิฐออกไปเต็มแรงที่ตำแหน่งพื้นดินด้านหลังสัตว์ประหลาดตัวนั้น
ตุ้บ!
ก้อนอิฐตกลงมา ดึงความสนใจทำให้สัตว์ประหลาดหมุนตัวกลับหลังหันไปมองสิ่งที่จู่โจมตัวเอง
ลูมิแอร์เห็นแล้วก็กระชับขวานด้วยสองมือ กระโดดออกมาจากผนังด้านข้างอย่างแรง ลอยไปหาสัตว์ประหลาดตัวนั้น
พลั่ก!
ขวานที่เสริมด้วยแรงเหวี่ยงจากการตก กระแทกเข้ากับลำคอของสัตว์ประหลาดจนแยกเกินครึ่ง
เสียงตุ้บดังสองครั้ง ลูมิแอร์กับสัตว์ประหลาดกระแทกพื้นพร้อมๆ กัน
.
.
.
คำเตือน : มีฉากสยดสยอง
.
.
.
ลูมิแอร์ดีดตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว คว้าขวานเอาไว้ พุ่งเข้าไปแล้วสับที่คอสัตว์ประหลาดอย่างแรง
หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง ก่อนที่สัตว์ประหลาดตัวนั้นจะตอบโต้อะไรได้ก็ถูกบั่นหัวออกมาเรียบร้อย
ขณะที่หัวกลิ้งไปด้านข้าง ร่างไร้ผิวหนังก็กระตุกสองครั้งก่อนจะแน่นิ่งไร้การเคลื่อนไหว
ลูมิแอร์ไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้น เขาก้าวไปในแนวเฉียง ควงขวานแล้วใช้สันขวานที่หนาเตอะหวดใส่หัวที่ดุร้ายน่ากลัวนั่น ทุบลงไปเต็มแรงจนแหลกเละ
ต่อจากนั้นเขาก็หมุนตัวกลับมาทันที ใช้ขวานกระหน่ำจามใส่ร่างที่เผยให้เห็นกล้ามเนื้อ เส้นเลือด และพังผืด ทุบที่หัวใจและอวัยวะสำคัญๆ อื่นๆ ให้แหลกเละ
.
.
.
.
.
.
.
.
. หลังจากที่ทำทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว ลูมิแอร์ก็ถอยไปด้านหลังสองก้าว มองดูผลงานชิ้นเอกของตนเองพลางหอบหายใจหนัก พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ
“ฉันอุตส่าห์คิดว่าแกฆ่าไม่ตายเสียอีก แต่ที่ไหนได้ แค่นี้ก็สิ้นฤทธิ์ซะแล้ว!”
ท่ามกลางเสียงหัวเราะที่ดังพอประมาณ ร่างไร้หัวก็กระตุกลุกขึ้นมา
นัยน์ตาลูมิแอร์หดตัว จิตสำนึกคิดอยากจะสั่งการให้รีบวิ่งหนีไปเสีย
เขากลั้นใจข่มแรงกระตุ้นที่เกิดขึ้น ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าอีกครั้งพร้อมกับเงื้อขวานขึ้นมาเตรียมพร้อมไว้
ซากศพกระตุกอยู่สองครั้งก็แน่นิ่งไปอีกรอบ ราวกับเป็นการดิ้นรนเพื่อยื้อชีวิตแต่สุดท้ายก็ไม่ประสบความสำเร็จ
ลูมิแอร์จับตามองอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ยืนยันได้ว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้ตายสนิทแน่นอน
“พลังชีวิตของมันนี่อึดชะมัดยาด…” ลูมิแอร์ลอบถอนหายใจ จากนั้นก็ขยับเข้าไปใกล้แล้วนั่งยองลง ก่อนจะใช้ขวานแคะเอากล้ามเนื้อและพังผืดให้แยกจากกันเพื่อตรวจสอบซากศพ
โครงสร้างร่างกายของสัตว์ประหลาดตัวนี้ไม่ได้แตกต่างจากมนุษย์เท่าไร แต่กลับมีพลังชีวิตที่แข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัด ต่อให้ตายไปแล้วแต่บาดแผลบางส่วนก็ยังมีการเยียวยาฟื้นฟูตัวเองอยู่เล็กน้อย
“ไม่มีสมบัติ แถมยังไม่มีพลังวิเศษไหลถ่ายเทมาเข้าร่างฉันด้วย…” ลูมิแอร์ประเมินสภาวะร่างกายของตนเองในปัจจุบัน รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง
ไอ้ที่บอกว่าแต่ละครั้งที่ฆ่าสัตว์ประหลาดตายไปหนึ่งตัวก็จะแข็งแกร่งขึ้นมาหนึ่งส่วนเนี่ย มีแต่ในนิทานของโอรอร์เท่านั้นสินะ
เขาลากซากสัตว์ประหลาดกับหัวของมันเข้าไปในซากอาคารที่พังถล่ม ก่อนจะใช้ก้อนอิฐ หิน และไม้กลบมันเอาไว้
ต่อจากนั้นเขาก็ค้นหาในบ้านหลังที่ถูกไฟไหม้แห่งนี้ โดยหวังว่าจะเก็บเกี่ยวอะไรมาได้บ้าง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น