ตอนที่ 14 สัตว์ประหลาดที่ต่างไป
บ่วงชะตากรรม : ราชันเร้นลับ (ราชันโลกพิศวง) ภาคสอง
ตอนที่ 14 สัตว์ประหลาดที่ต่างไป
※ ※ ※ ※ ※
หลังจากค้นหาไปรอบหนึ่ง ลูมิแอร์ก็พบเหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญทองแดงจำนวนพอสมควร รวมทั้งหมดเป็นเงิน 197 เฟลกิ้น 25 ค็อปเพ็ต
ในนี้มีเหรียญทองลูอิสอยู่ห้าเหรียญ
สำหรับเงินธนบัตร เขาพบเพียงแค่สิ่งที่คาดว่าน่าจะเป็นเศษซากของมัน
นอกจากเงินแล้วลูมิแอร์ก็ยังเจอปูมประติทิน [1] อีกเล่มหนึ่ง
หนังสือเล่มนี้มีหน้าปกสีน้ำเงินอมเทา ขนาดประมาณกระดาษ A4 มีจำหน่ายทั่วไปในหมู่บ้านและตามเมืองต่างๆ ของอินทิส
มันมีปฏิทินพื้นฐานที่รวมกับปฏิทินเหตุการณ์ประจำปีและคำสอนของศาสนาหลักทั้งสองแห่งไว้ด้วย สำหรับช่วยชี้แนะเหล่าชาวนาและบรรดาคนเลี้ยงสัตว์เรื่องทำฟาร์ม ทำผลผลิต และปศุสัตว์ เพื่อเสริมสร้างชีวิตและจิตวิญญาณของพวกเขา ซึ่งมีผลในเชิงบวกพอสมควร
แน่นอนว่าถึงแม้จักรพรรดิโรเซลล์จะสนับสนุนการศึกษาภาคบังคับมาเกือบสองร้อยปีแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีชาวนา มีคนเลี้ยงสัตว์ มีคนงานจำนวนมากที่ยังคงไม่รู้หนังสือ อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ พวกเขาได้แต่ต้องพึ่งพาให้คนรอบข้างช่วยอธิบายถึงจะได้รับเคล็ดลับที่ต้องการจากปูมประติทิน
ลูมิแอร์พลิกเปิดผ่านๆ ดูไม่กี่หน้าก็พบว่าปูมประติทินเล่มนี้ไม่ได้ต่างจากของที่บ้านตนเอง เพียงแค่ว่าโดยรวมๆ แล้วมันเก่ากว่ากันอยู่บ้างเท่านั้น
“มีปูมประติทินกับเงินเฟลกิ้นมากขนาดนี้ แสดงว่าครอบครัวนี้ต้องเป็นครอบครัวในชนบทที่มีฐานะดีมากทีเดียว ในหมู่บ้านกอร์ดูมีครอบครัวแบบนี้ไม่เกินห้า…” ลูมิแอร์โยนปูมประติทินทิ้ง แล้วใส่พวกเหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญทองแดงเหล่านั้นลงไปในกระเป๋าช่องต่างๆ ซึ่งมีทั้งกระเป๋าที่ซ่อนอยู่ด้านในของเสื้อบุฝ้ายบ้าง กระเป๋ากางเกงบ้าง บางอันก็สุ่มยัดลงไปในกระเป๋าแจ็กเกตหนังบ้าง
ถึงแม้ลูมิแอร์จะรู้ว่าเงินทองพวกนี้ไม่อาจนำออกไปสู่ความเป็นจริงได้ แต่เขาก็อดเก็บรวบรวมเอาไว้ไม่ได้อยู่ดี
ของชิ้นเล็กชิ้นน้อยจำพวกนี้เขาปล่อยมันไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นเหรียญเงิน เหรียญทอง หรือเหรียญทองแดงก็ตาม
ชีวิตร่อนเร่ในอดีต ต่อให้เป็นเพียงแค่หนึ่งค็อปเพ็ตหรือเหรียญทองแดงหนึ่งริค เขาก็หวงจนหมดใจ มักจะต่อยตีกับคนอื่นๆ อยู่บ่อยครั้งและยอมเสี่ยงทำเรื่องอันตรายอยู่หลายหนก็เพื่อของพวกนี้นี่แหละ
ลูมิแอร์มองไปรอบๆ ก่อนจะหยิบขวานขึ้นมา แล้วมุ่งไปยังอาคารพังถล่มที่อยู่ใกล้ภูเขาสีแดงน้ำตาลมากกว่านี้
เขาเดินลึกเข้าไปทุกขณะ แต่ละครั้งที่ผ่านพื้นที่ว่างตรงกลางของวงแหวน หัวใจก็บีบรัด กลัวว่าจู่ๆ จะมีสัตว์ประหลาดนับสิบกรูออกมาล้อมตนเองไว้ในจุดที่ไม่มีที่กำบังให้หลบซ่อนตัว
ภายในหมอกสีเทาหม่นสลัว ลูมิแอร์ที่ก้มตัวเดินก็มาถึงด้านหลังของกำแพงอิฐที่พังลงมาครึ่งหนึ่ง จากนั้นเขานั่งยองลงไปเพื่อซ่อนตัวอยู่ที่นั่น
เขาชะโงกศีรษะออกมาอย่างระแวดระวัง มองไปข้างหน้า
มันเป็นทางยาวแคบๆ ที่อยู่ระหว่างอาคารสองแถวที่ถูกทำลาย ไม่มีต้นไม้ ไร้ซึ่งวัชพืช มีเพียงกรวดหิน รอยแยก และผืนดิน
ทันใดนั้นก็มีร่างหนึ่งกระโดดเข้ามาในทัศนวิสัยของลูมิแอร์
‘เขา’ ยืนอยู่ในอาคารฝั่งตรงข้าม ไม่ทราบว่ากำลังจ้องมองอะไรอยู่
ร่างนี้สวมชุดคลุมยาวสีดำมีฮู้ด มองจากด้านหลังแล้วไม่มีอะไรแปลก ไม่ได้แตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป
หัวใจลูมิแอร์บีบรัด เพิ่มความตื่นตัวระแวดระวังยิ่งกว่าเดิม
ภายในซากปรักความฝันแห่งนี้ การปรากฏตัวของมนุษย์ปกตินั้นน่ากลัวยิ่งกว่าการปรากฏตัวของสัตว์ประหลาดหลายเท่า!
ราวกับรู้สึกได้ถึงสายตาที่จับจ้อง ร่างนั้นจึงค่อยๆ หันกลับมา
ลูมิแอร์เหลือบมองชั่วแว่บแล้วรีบหดศีรษะผลุบกลับเข้าไปทันที เอนหลังแนบกำแพง ไม่กล้าขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว
เพียงแค่ชำเลืองมองแว่บเดียว เขาก็รู้สึกว่าตนเองตกลงสู่ภาพลวงตาแห่งนรกโลกันตร์
ร่างนั้นเป็นคนจริงๆ นั่นแหละ แต่ว่า ‘เขา’ มีสามหน้าหกตา!
ใบหน้าด้านหน้ามีดวงตาขุ่นมัว คิ้วบาง ริ้วรอยเหี่ยวย่นคล้ายคนชรา
หน้าทางด้านซ้ายเป็นเหลี่ยมมุมโครงหน้าชัดเจน ดวงตาสีฟ้าดูมีพลัง เคราหนาดกดำราวกับชายฉกรรจ์
ผิวหนังทางด้านขวาเรียบเนียนประดุจเปลือกไข่ นัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นดูกระจ่างใสไร้มลทินอย่างเห็นได้ชัด มองแล้วไม่ต่างจากเด็กน้อยวัยไม่เกินห้าขวบปี
“นี่มันสัตว์ประหลาดอะไรกัน…” ลูมิแอร์พยายามบังคับลมหายใจสุดชีวิตเพื่อไม่ให้หัวใจเต้นแรง
เกรงว่าต่อให้เป็นนิทานเขย่าขวัญของโอรอร์ก็ไม่เคยมีสัตว์ประหลาดแบบนี้ปรากฏตัวมาก่อนแน่นอน ต้องเป็นในฝันร้ายอันน่าสยดสยองสั่นประสาทแบบสุดๆ นั่นแหละถึงจะสามารถพบเห็นมันได้
แม้ว่าการตัดสิน ‘คน’ จากรูปลักษณ์ภายนอกจะเป็นเรื่องไม่ดีก็เถอะ แต่เมื่อดูจากลักษณะที่เห็นเพียงอย่างเดียว ลูมิแอร์ก็คิดโดยสัญชาตญาณว่าสัตว์ประหลาดสามหน้าตัวนี้แข็งแกร่งกว่าสัตว์ประหลาดไร้ผิวหนังตัวก่อนหน้านี้หลายต่อหลายเท่าแน่นอน!
และยิ่งกว่านั้นก็คือมีความเป็นไปได้สูงมากที่มันจะมีพลังวิเศษด้วย
“สุริยันนิรันดร พระบิดาผู้ยิ่งใหญ่ ได้โปรดปกป้องลูกไม่ให้ถูกมันพบด้วยเทอญ…” ฉากที่เห็นต่อหน้านี้ แม้แต่สาวกฉาบฉวยอย่างลูมิแอร์ก็อดสวดภาวนาถึงองค์ ‘สุริยันนิรันดร’ ไม่ได้
หากไม่เป็นเพราะในมือเขาถือขวานไว้เล่มหนึ่ง หากไม่เป็นเพราะอยู่ในสภาพแวดล้อมอันตราย เขาก็คงกางสองแขนทำท่า ‘สุริยะสักการะ’ ไปแล้ว
ในเสี้ยววินาทีนี้ เวลาประหนึ่งว่าหยุดนิ่ง ลูมิแอร์รู้สึกเหมือนว่าตนเองอาจจะประสาทหลอนไป
เขารู้สึกราวกับสายตาที่จับจ้องมองนั้นส่องทะลุผ่านกำแพงมาถึงแผ่นหลังของเขา
แผ่นหลังเขาเขม็งเกร็งขึ้นมาโดยฉับพลัน รู้สึกเลือนรางว่ามันร้อนรุ่มขึ้นเล็กน้อย
เพียงหนึ่งถึงสองวินาทีความรู้สึกประสาทหลอนก็ปลาสนาการไป เสียงฝีเท้าหนักแน่นค่อยๆ จากไปไกล
ลูมิแอร์รออยู่ครู่หนึ่งจนมั่นใจแล้วว่าเสียงฝีเท้าได้หายไปอย่างสมบูรณ์ จึงค่อยๆ ยืดเข่ายืนขึ้น หมุนตัวกลับหลัง ชะโงกศีรษะออกมา มองไปข้างหน้า
สัตว์ประหลาดตัวนั้นอยู่ห่างกว่าเดิม อยู่ในบริเวณด้านหลังที่ยังคงอยู่ในสภาพดีของอาคารสองแถวที่พังถล่ม ร่างครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นอยู่ในหมอกเทาที่หม่นสลัว
‘เขา’ ยังคงหันหลังให้ลูมิแอร์ประหนึ่งว่าได้กลายเป็นรูปปั้นไปแล้ว
ลูมิแอร์ถอนใจโล่งอกอย่างเงียบเชียบ
การเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดเช่นนี้ ตัวเขาไม่มีความมั่นใจแม้เพียงเศษเสี้ยว
“จากตรงนี้ ฉันไม่มีทางเข้าไปในส่วนลึกของซากปรักหักพังได้แน่… หรือว่าจะอ้อมไปดี?
“ที่อื่นๆ จะมีสัตว์ประหลาดแบบนี้อยู่หรือเปล่านะ?
“หรือว่ายิ่งเข้าไปใกล้ยอดเขาเท่าไหร่ สัตว์ประหลาดที่โผล่ออกมาก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นด้วย?”
ลูมิแอร์หดตัวกลับเข้าไป ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจว่าในคืนนี้ให้จบลงแต่เพียงเท่านี้ก็แล้วกัน
เขาวางแผนว่าหลังจากฟ้าสางแล้วก็จะไปถามผู้หญิงคนที่มอบไพ่ทาโรต์ให้ตนเองมา ดูว่าจะมีวิธีจัดการกับสัตว์ประหลาดสามหน้านี่ไหม ถ้าไม่ได้ก็ค่อยพิจารณาเรื่องอ้อมหลบไปก็แล้วกัน
เขาก้มหลังเคลื่อนตัวออกห่างจากกำแพง มุ่งตรงไปยังทางที่มา
ในเวลานี้เขาบังเกิดความคิดหนึ่งขึ้น
“ถ้าฉันหลับอยู่ในซากปรักหักพังนี่จะทำให้ออกจากความฝันได้หรือเปล่านะ?”
แต่เมื่อพิจารณาถึงข้อที่ว่ารายรอบนี้มีแต่สัตว์ประหลาดอยู่เต็มไปหมด เขาจึงได้แต่ต้องระงับความต้องการทดลองนี้ไว้ชั่วคราวก่อน
ระหว่างทางกลับเขาก็รีบค้นหาตามอาคารบ้านเรือนซึ่งพังถล่มทุกหลังที่เดินผ่าน แต่ก็ไม่พบข้อมูลตัวอักษรที่เป็นประโยชน์ แม้แต่เงินก็มีเพียงแค่ไม่กี่เหรียญ
หลังจากล่าถอยไปพักหนึ่ง ลูมิแอร์ก็ครุ่นคิดขึ้นมา แล้วตัดสินใจว่าจะวกกลับไปดูบ้านหลังที่ถูกไฟไหม้หลังแรกสุดที่เจอ ซึ่งก็เป็นสถานที่ที่เขาฝังสัตว์ประหลาดไร้ผิวหนังนั่นด้วย โดยดูอยู่ห่างๆ จากด้านข้าง
เขาต้องการจะไปสังเกตการณ์ดูว่าการตายของสัตว์ประหลาดตัวนั้นจะถูกสัตว์ประหลาดตัวอื่นสังเกตเห็นหรือไม่ และจะมีความเปลี่ยนแปลงอะไรตามมาหรือเปล่า
เมื่อหาตำแหน่งที่ซ่อนตัวได้แล้ว ลูมิแอร์ก็ชะโงกศีรษะออกมาจากด้านข้าง มองไปยังบริเวณที่หมายตาไว้
วินาทีถัดมาเขาก็เห็น ‘ร่าง’ อีกครั้ง
เป็นร่างของมนุษย์ครึ่งสัตว์ ขาพับไปด้านหน้า นั่งยองลงไปสำรวจซากสัตว์ประหลาดไร้ผิวหนัง
มันเคลื่อนย้ายกองอิฐกองไม้ที่ลูมิแอร์วางกลบเอาไว้ออกไปแล้ว
มันสวมแจ็กเกตสีเข้มกับกางเกงขายาวที่ค่อนข้างเข้ารูปและเปรอะเปื้อนดินโคลน ผมสีดำรกรุงรังและมันเยิ้มปรกต้นคอ สะพายปืนลูกซองไว้ด้านหลัง
ปืนลูกซอง!
ลูมิแอร์รีบเบนสายตาและหดศีรษะกลับมาทันที
“สัตว์ประหลาดพวกนี้มันเกินสามัญสำนึกไปแล้ว!
“ถึงกับใช้ปืนลูกซองเป็นด้วย…”
ในช่วงเวลานี้ลูมิแอร์มีความรู้สึกว่าตนเองเป็นนักล่าที่พกอาวุธพาพวกพ้องขึ้นเขาไปล่าสัตว์ แต่ผลกลับกลายเป็นว่าได้เจอกระต่ายที่กำลังถือปืนกลระบายความร้อนด้วยน้ำยืนจังก้าต่อหน้า ทำให้เกิดความรู้สึกเหลวไหล ท้อแท้ และมึนงง
เวลาล่วงเลยไปแต่ละวินาที เขาอดทนรอให้สัตว์ประหลาดที่สะพายปืนลูกซองตัวนั้นจากไป
ในที่สุดเขาก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวเบาๆ และค่อยๆ ไกลห่างออกไป
ลูมิแอร์ชะโงกศีรษะออกมาอย่างระมัดระวังอีกครั้ง มองไปยังสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งสัตว์ตัวนั้น
‘มัน’ คืบหน้าในสภาพเช่นแมว ไปทางด้านหลังอาคาร
ลูมิแอร์ปล่อยวางหัวใจที่เขม็งเกร็งลง แต่ก็ตาค้างต่อทันที
เขาพบว่าสถานที่ที่สัตว์ประหลาดตัวนั้นเดินไป เป็นเส้นทางเดียวกันเปี๊ยบกับที่เขาใช้ตอนมุ่งหน้าเข้าไปในส่วนลึกของซากปรักหักพังเมื่อก่อนหน้านี้!
“มันกำลังตามรอยฉันอยู่!
“ทักษะการแกะรอยของมันเหนือกว่าธรรมดาทั่วไปมาก!”
ลูมิแอร์ประเมินออกมาตามจิตใต้สำนึก
เขารู้สึกโชคดีที่ตอนตัวเองจะกลับมาได้เกิดความคิดประหลาด จึงเลือกใช้ทางอ้อม ไม่อย่างนั้นคงต้องถูกจับได้และถูกซุ่มโจมตีแน่นอน!
ร่างสัตว์ประหลาดตัวนั้นเพิ่งจะลับตาไป ลูมิแอร์ก็รีบถลันลุกพรวดวิ่งสุดฝีเท้าไปที่บ้านตัวเองทันที
เปลวเพลิงสีแดงฉานที่สะท้อนอยู่บนกระจกหน้าต่างของบ้านชั้นล่างเปรียบประดุจแสงอาทิตย์ที่ขับไล่ความมืดมิดออกไป
ลูมิแอร์วิ่งจนมาถึงด้านนอกบ้านสองชั้นของตัวเอง เขาดึงบานประตูที่เพียงงับปิดไว้ไม่ได้ล็อกให้เปิดออกแล้วพุ่งเข้าไปด้านใน
หลังจากล็อกประตูเรียบร้อย เขาถึงจะมองดูซากปรักหักพังผ่านทางหน้าต่าง
หมอกเทาที่อยู่ห่างออกไป บริเวณชายขอบของซากปรักหักพัง มีร่างตะคุ่มๆ ยืนอยู่ แต่ไม่ได้เข้ามาใกล้ที่นี่
ฟู่… ลูมิแอร์เป่าลมหายใจออก เตรียมดับไฟขึ้นไปชั้นบนแล้วออกจากโลกความฝัน
เขามองดูเปลวเพลิงที่ยังคงลุกโชน พูดพึมพำอยู่ในใจ
“มันยังไหม้ต่อได้อีกพักหนึ่ง…
“งั้นก็ทดลองดูหน่อยละกัน อยากจะรู้ว่าหลังจากที่ฉันออกจากความฝันไปแล้วมันยังจะไหม้ต่อไปเรื่อยๆ จนดับไปเอง หรือว่ามันจะหยุดค้างไว้ตอนที่ฉันออกไป…”
ก่อนหน้านี้ลูมิแอร์ได้ยืนยันผ่านสายฝนที่ตกลงมาแล้วว่าแดนร้างซึ่งเป็นที่ตั้งของซากปรักหักพังอยู่ในสภาพที่มีการดำเนินต่อไปเองตามธรรมชาติโดยไม่เกี่ยวกับว่าตนเองฝันอยู่หรือไม่ แต่ว่าภายในบ้านของตัวเองที่เป็นเขตปลอดภัยนั้นจะมีสภาพการณ์แบบเดียวกันหรือเปล่า เป็นสิ่งที่ยังต้องตรวจสอบอยู่
เขาคิดแล้วก็ลงมือทำ เติมถ่านลงไปในกองไฟเพิ่มอีกสองสามก้อน เขี่ยให้ลุกไหม้แล้วถึงจะขึ้นไปบนชั้นสองพร้อมกับขวานและส้อมเหล็ก เข้าไปในห้องนอน
* * * * *
ตอนที่ลูมิแอร์ตื่นขึ้นมา ฟ้าก็สางแล้ว
เขาสำรวจตรวจตราชุดนอนที่เหมือนเสื้อเชิ้ตก็พบว่าเหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญทองแดง ไม่ได้ตามเขาออกมาสู่ความจริงด้วย
ลูมิแอร์ลุกจากเตียงมาขยับร่างกาย จากนั้นจึงเดินไปที่หน้าโต๊ะหนังสือ เอื้อมมือไปรูดม่านเปิดออก
ท่ามกลางเสียงที่ดังมานั้น แสงอันอ่อนโยนกระจ่างใสไหลสาดส่องเข้ามา
เมื่อเปิดหน้าต่างออก อากาศสดชื่นบริสุทธิ์เป็นธรรมชาติก็ชอนไชเข้าโพรงจมูกลูมิแอร์ ทำให้เขาอดยืดบิดตัวไม่ได้ รู้สึกว่าบางทีการตื่นเช้าก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน
แน่นอนว่านี่ต้องขอบคุณจักรพรรดิโรเซลล์ที่ผลักดัน ‘นโยบายสุขอนามัยเพื่อชาติ’ อย่างจริงจัง ถึงแม้ว่าผลกระทบที่ส่งมาถึงชนบทอันห่างไกลจะไม่ได้มีมากนัก แต่ก็ยังทำให้เกิดการปรับปรุงขึ้นในระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็ทำให้อุจจาระกลายเป็นของมีค่าขึ้นมา ไม่ได้ถ่ายกันเรี่ยราดรายทางจนส่งกลิ่นคละคลุ้งไปทั่ว อีกทั้งต้องขอบคุณผู้ปกครองรุ่นต่อๆ มาที่ยังคงรักษามันไว้ เพียงแค่เปลี่ยนชื่อเรียกเท่านั้น
สายตาเขามองกวาดไปโดยรอบ บางครั้งก็มองภูเขาแมกไม้ที่อยู่ห่างไกล บางคราวก็มองดูมวลเมฆสีแสดบนท้องฟ้า บางทีก็มองดูหญ้าวัชพืชนอกบ้าน
แล้วทันใดนั้นสายตาของลูมิแอร์ก็ชะงักค้าง
เขาหันว่าบนต้นเอล์มที่อยู่ไม่ไกลนักมีนกใหญ่ตัวหนึ่งเกาะอยู่
นกตัวนั้นมีจะงอยปากแหลม ใบหน้าคล้ายแมว ขนสีน้ำตาลมีจุดทั่วตัว ตาขาวสีเหลืองอมน้ำตาลอยู่กับตาดำ ทำให้ดูมีพลัง
มันเป็นนกฮูกตัวหนึ่ง
และราวกับว่ามันกำลังมองมาที่ลูมิแอร์
* * * * *
[1] ปูมประติทิน (小蓝书) Blue book เป็นหนังสือปกกำมะหยี่สีน้ำเงิน เริ่มใช้กันมาตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 15 เป็นหนังสือที่บันทึกข้อมูลสำคัญในรูปแบบปฏิทินบันทึกเหตุการณ์ ซึ่งในภายหลังนิยมใช้กันในหลายวงการสำหรับเป็นหนังสืออ้างอิงข้อมูล
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น