ตอนที่ 16 จดหมาย

บ่วงชะตากรรม : ราชันเร้นลับ (ราชันโลกพิศวง) ภาคสอง

ตอนที่ 16 จดหมาย

※ ※ ※ ※ ※

ไรอันสั่นศีรษะ

“จดหมายฉบับนั้นมีแค่สองประโยค เนื้อหาธรรมดามาก ดูเหมือนว่าจะมีคนประสบเรื่องยุ่งยากขนาดหนัก ต้องการขอความช่วยเหลือจากเรา”

“ไม่ได้บอกเหรอว่าเจอเรื่องยุ่งยากอะไรเข้าน่ะ?” ลูมิแอร์ถอนใจโล่งอก

ไม่ว่าจะเป็นจดหมายที่โอรอร์เขียนหาพวกเพื่อนๆ ทางจดหมายหรือจะเป็นพวกเพื่อนทางจดหมายส่งมาก็ไม่มีทางจะมีเพียงแค่สองประโยคอยู่แล้ว

“ไม่มี” ไรอันทอดถอนใจเบาๆ

แค่จดหมายขอความช่วยเหลือที่ไม่มีอะไรสักอย่างพวกคุณก็ยังจะมาเนี่ยนะ? ไม่กลัวหรือไงว่านี่จะเป็นแค่เรื่องแกล้งกันเล่นน่ะ? ขนาดคนของศาลก็ยังไม่กระตือรือร้นขนาดพวกคุณเลย อะไรจะมีจิตใจดีงามเป็นพ่อพระซะขนาดนั้น? ลูมิแอร์เหน็บแนมอยู่ในใจ

ที่จริงถ้าว่ากันตามนิสัยของเขาแล้ว คำพูดเหล่านี้คงไม่ใช่เพียงแค่คิดในใจเท่านั้น เขาจะต้องพูดออกจากปากด้วย แต่เมื่อพิจารณาแล้วว่ายังจะต้องดึงข้อมูลมาจากอีกฝ่ายต่อ ย่อมไม่อาจทำให้พวกเขาขุ่นเคืองจนตัดบทสนทนาไป เขาจึงจำต้องฝืนทนข่มใจเอาไว้

ทว่าลูมิแอร์ก็ทราบว่าไรอันไม่มีทางบอกเล่าสถานการณ์ทางฝั่งตนเองออกมาจนหมดเปลือกแน่ พวกเขามาหาคนที่หมู่บ้านกอร์ดูเพราะจดหมายขอความช่วยเหลือที่ไม่ได้บอกรายละเอียดชัดเจนแบบนี้ จำเป็นต้องพิจารณาถึงจุดอื่นหรือสาเหตุอื่นด้วย

“เอ่อ…” ลูมิแอร์ถูคางไปมา ลองเสนอความคิดเห็นด้วยมุมมองที่คิดว่าถึงอย่างไรตนเองก็ไม่มีอะไรต้องเสีย “งั้นไม่ลองเอาจดหมายให้ผมดูหน่อยล่ะ? บางทีดูจากลายมือแล้วผมอาจจะพอบอกได้ว่าเป็นของใครน่ะ”

วาเลนไทน์ที่เส้นผมโรยแป้งฝุ่นเผยสีหน้าว่า ‘นายคิดว่าพวกเราเป็นเจ้างั่งหรือไง’

ลีอาห์ยิ้มให้

“คุณแยกแยะลายมือออกด้วยเหรอ?”

“ก็พอได้บ้างล่ะ” ลูมิแอร์มีสีหน้าซื่อตรงจริงใจ

แล้วเขาก็พูดเสริมในใจ

ฉันแยกแยะลายมือของโอรอร์กับของตัวเองได้ก็ถือว่าแยกแยะได้เหมือนกันล่ะน่า

“ไม่มีประโยชน์หรอก” ไรอันสั่นศีรษะอีกครั้ง “ตัวหนังสือทุกตัวในจดหมายนั่นตัดมาจากปูมประติทิน เอามาแปะประกอบกันเป็นประโยค”

ระวังตัวชะมัด… ทำไมรู้สึกว่าวิธีการแบบนี้มันคุ้นๆ นะ เป็นเพราะฟังเรื่องเล่าจากโอรอร์มากไปล่ะมั้งเรา… แต่ในเมื่อจะขอความช่วยเหลือ งั้นทำไมถึงต้องใช้วิธีการแบบนี้เพื่อปิดบังตัวตนด้วยล่ะ? กลัวว่าจดหมายจะถูกดักกลางทางแล้วเจอการตอบโต้กลับงั้นเหรอ? หรือว่าเจ้าตัวมีปัญหาอะไรสักอย่างก็เลยไม่อยากเผยตัวต่อสายตาคนอื่นกันนะ? ลูมิแอร์พยายามวิเคราะห์ความคิดของผู้เขียนจดหมาย

เขาจงใจเผยสีหน้าว่าฉันเข้าใจแล้วออกมา

“ครอบครัวส่วนใหญ่ในหมู่บ้านต่างก็มีปูมประติทินกันทั้งนั้น พวกคุณหาคนคุยก็เพราะต้องการจะยืนยันว่าปูมประติทินที่บ้านพวกเขามีร่องรอยการตัดในลักษณะนี้หรือเปล่าสินะ?

“แต่คนคนนั้นก็ไปซื้อปูมประติทินเล่มใหม่โดยที่คนอื่นไม่รู้ได้อยู่ดีนั่นแหละ ใช้หมดเมื่อไหร่ก็โยนทิ้งไป”

“นี่เป็นเพียงแค่วิธีการหนึ่งเท่านั้น” ไรอันพูดเรียบๆ

“ยังมีวิธีอื่นอีกเหรอ?” ลูมิแอร์ทำตัวเหมือนเป็นพวกเดียวกับเขา

ไรอันพูดอย่างครุ่นคิด

“ในเมื่อมีการขอความช่วยเหลือ งั้นก็ต้องมีอันตราย จะต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นแน่ๆ ซึ่งมันจะต้องทิ้งร่องรอยเอาไว้แน่นอน”

“พูดได้มีเหตุผล” ลูมิแอร์เผยสีหน้าลำบากใจต่อพวกไรอัน เหมือนว่าตัวเองก็รู้สึกแบบนี้เช่นกัน

เขาให้สัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะ

“กะหล่ำปลีของผม ผมจะช่วยจับตาดูให้พวกคุณด้วย หวังว่าจะหาเบาะแสอะไรเจอ”

“ขอบคุณ” ไรอันตอบอย่างมีมารยาท

ลีอาห์ที่ปรับทัศนคติตัวเองได้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วพูดขึ้น

“ในเมื่อเป็นเพื่อนกัน งั้นฉันก็มีคำถามอยากถามหน่อยได้ไหม”

“ว่ามาเลย ไม่ต้องเกรงใจ” ลูมิแอร์แสดงรอยยิ้ม

“ตอนที่คุณเรียกพวกเราว่ากะหล่ำปลี ทำไมพวกชาวบ้านในร้านเหล้านั่นถึงหัวเราะล่ะ?” ลีอาห์ค่อนข้างติดใจเรื่องนี้

แม้ว่าคำเรียกนี้จะทำให้รู้สึกประดักประเดิดอยู่บ้างก็จริง แต่มันก็เป็นสแลงท้องถิ่นที่ใช้กันทั่วไป เมื่อว่ากันตามเหตุผลแล้วก็ไม่น่าจะทำให้คนหัวเราะนี่นา

ลูมิแอร์ตอบอย่างจริงใจ

“กะหล่ำปลีเป็นสแลงที่แปลว่าน่ารักน่าชังหรือหนูน้อย โดยหลักๆ แล้วคำว่ากะหล่ำปลีหรือกะหล่ำปลีน้อยน่ะ จะใช้อยู่สองสถานการณ์ หนึ่งคือใช้ระหว่างเพื่อนที่สนิทสนมกัน สองคือผู้อาวุโสใช้เรียกเด็ก คำว่ากระต่ายของฉัน หรือไก่น้อยของฉัน ก็ไม่ต่างกัน”

เขาเน้นเสียงที่คำว่า ‘สนิทสนม’

จากนั้นเขาก็พูดเสริมด้วยใบหน้าไร้เดียงสา

“ตอนนั้นผมก็แค่หวังว่าพวกเราจะได้เป็นเพื่อนสนิทกันเท่านั้นเอง”

เขาทำประหนึ่งว่าฉันมีจิตใจใสซื่อบริสุทธิ์ ฉันไม่รู้ว่า ‘สนิทสนม’ นี่มีความหมายอะไรแฝงเร้นหรือไม่

ฉันว่าคุณอยากทำตัวเป็นผู้อาวุโสของพวกเรามากกว่า… ในที่สุดลีอาห์ก็เข้าใจได้เสียทีว่าทำไมชาวบ้านเหล่านั้นถึงหัวเราะ

ถึงแม้คำอธิบายเมื่อครู่ของลูมิแอร์อาจจะไม่ใช่เรื่องจริง แต่อย่างน้อยเธอฟังแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผลให้เชื่อได้

ไรอันผงกศีรษะด้วย

“ยังมีเรื่องอื่นอีกไหม?”

“ไม่มีแล้วล่ะ” ลูมิแอร์ไม่อยากแสดงความกระตือรือร้นออกมามากเกินไป ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายอาจจะรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติแล้วมาสอบสวนตนเองกับโอรอร์

พี่สาวทนรับการสอบสวนไม่ไหวแน่!

หลังจากมองส่งพวกลีอาห์จากไปพร้อมเสียงกระดิ่งดังกรุ๋งกริ๋งแล้ว ลูมิแอร์ก็นั่งลงที่หน้าประตูร้านเหล้าเก่า รอให้ผู้หญิงลึกลับที่ไม่ทราบที่มาคนนั้นตื่นขึ้น

ผ่านไปครู่หนึ่ง แรมุนด์ เกร็กซึ่งเป็นพรรคพวกเขาก็มาหา

“ลูมิแอร์ นายตัดสินใจหรือยังว่าจะไปสืบหาตำนานเรื่องไหนกันต่อ?” แรมุนด์เห็นหน้าเขาก็เอ่ยถามขึ้นมา

สองวันที่ผ่านมานี้ เขายังกระตือรือร้นในเรื่องนี้มากกว่าลูมิแอร์เสียอีก ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้มีความฝันประหลาดและไม่มีหนทางอื่นอีกแล้วที่จะได้รับทรัพย์สมบัติมา

“ยังไม่มี” นกฮูกตัวนั้นมาหาถึงหน้าบ้านแล้ว ก่อนที่จะยืนยันสถานการณ์ได้ว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่ ลูมิแอร์ย่อมไม่กล้าไปสืบสาวหาความจริงของตำนานต่ออีก

เขายกหาเหตุผลมาส่งๆ

“อีกไม่กี่วันก็จะเป็นเทศกาลมหาพรตแล้ว เอาไว้รอให้งานเทศกาลจบก่อนค่อยมาคิดกันอีกทีก็แล้วกัน”

“อื้อ” แรมุนด์รู้สึกว่ามีเหตุผล “นั่นสิ งั้นช่วงนี้ฉันก็ไม่ต้องไปเป็น ‘หนุ่มเฝ้าลาน’ ล่ะ รอไว้ให้เทศกาลมหาพรตจบก่อน ต่อให้ช่วงไม่กี่วันนี้จะมีใครมาขโมยเกี่ยวหญ้าก็ไม่ได้เสียหายอะไรเท่าไหร่”

“หรือพูดอีกอย่างก็คืออีกไม่กี่วันข้างหน้า นายก็ไม่ต้องออกจากหมู่บ้านสินะ?” ลูมิแอร์ถามกลับ

เมื่อเห็นแรมุนด์ผงกศีรษะเขาก็พูดด้วยรอยยิ้ม

“บังเอิญชะมัด ช่วงไม่กี่วันนี้ฉันเองก็ออกนอกหมู่บ้านไม่ได้เหมือนกัน”

“ทำไมล่ะ?” แรมุนด์ถามด้วยความสงสัย

ลูมิแอร์ลดเสียงแล้วพูดด้วยสีหน้าเป็นจริงเป็นจัง

“เมื่อเช้าฉันเจอนกฮูกตัวนั้นแล้ว นกฮูกตัวที่อยู่ในเรื่องเล่าลือของผู้ใช้เวทน่ะ มันบอกว่าถ้าไม่ใช่เป็นเพราะมีโบสถ์อยู่ มีเทพคอยเฝ้ามองอยู่ล่ะก็ มันคงจะเอาดวงวิญญาณฉันไปที่ขุมนรกแล้ว…”

แรมุนด์ฟังแล้วทั้งตื่นตระหนกทั้งหวาดกลัว

เขาสั่นเทิ้มไปทั้งตัว

“จริงเหรอ?

“ฉันก็บอกแล้วไงว่าจะไปยั่วยุสัตว์ปีศาจแบบนั้นไม่ได้…”

เมื่อกระซิบกระซาบมาถึงตรงนี้เขาก็เห็นว่าใบหน้าลูมิแอร์เผยรอยยิ้มออกมา

“…” แรมุนด์จึงนึกถึงนิสัยของเพื่อนรักคนนี้ขึ้นมาได้

“นายแกล้งกันอีกแล้วงั้นเหรอ? โกหกฉันสินะ?” เขาทั้งโมโหทั้งร้อนใจ

ที่โมโหก็คือโมโหตัวเอง ก็รู้ทั้งรู้ว่าลูมิแอร์เจ้าหมอนี่น่ะเป็นคนยังไง ถูกหลอกมาจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้วก็ยังจะตกหลุมอีกจนได้

“เรื่องเป็นตุเป็นตะแบบนี้นายก็ยังจะเชื่อเข้าไปได้อีกนะ” ลูมิแอร์หัวเราะ “เหอะเหอะ”

ประโยคนี่ต่างหากถึงจะเป็นคำโกหกน่ะ ไม่งั้นเกิดนายรับแรงกดดันไม่ไหวเดี๋ยวจะรีบแจ้นไปสารภาพบาปในโบสถ์กันพอดี… เขาพูดเสริมอยู่ในใจ

“เฮ่อ…” แรมุนด์รู้สึกโล่งอกค่อยยังชั่ว

ลูมิแอร์เอ่ยเตือน

“ถึงแม้ว่าเรื่องเมื่อกี้ฉันจะแต่งขึ้นมาก็เถอะ แต่ก็อยากจะบอกให้นายรู้ว่าการไล่สืบหาความจริงของเรื่องเล่าลืออาจจะมีอันตรายในระดับหนึ่ง ถ้าเลือกไม่ต้องออกนอกหมู่บ้านได้ ไม่ต้องอยู่ห่างจากโบสถ์ได้ ก็พยายามอย่าออกไปละกัน”

พูดจบแล้วเขาก็พึมพำอย่างไร้เสียงออกมาสองประโยค

นี่เป็นเรื่องจริงนะ ถึงแม้เรื่องเมื่อกี้ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องหลอกก็เถอะ แต่ก็มีส่วนที่เป็นความจริงอยู่บ้างแหละ… นี่ถ้าไม่เป็นเพราะหลังจากนี้มีเรื่องที่ยังต้องขอให้ช่วยอีกเพียบ ฉันก็คงไม่เตือนนาย ไม่เอาคำแนะนำของโอรอร์มาบอกกับนายอ้อมๆ แบบนี้หรอก คนอื่นจะเป็นจะตายยังไงก็ไม่เกี่ยวกับฉันอยู่แล้ว…

แรมุนด์นึกถึงความหวาดกลัวที่เกิดเมื่อครู่แล้วก็ผงกศีรษะบ่งบอกว่าเข้าใจแล้ว

“ตกลง!”

เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องตำนานเล่าขานต่ออีก แต่เปลี่ยนมาถามเรื่องอื่น

“ตอนเลือกนางฟ้าฤดูใบไม้ผลิ นายคิดจะลงคะแนนให้ใครเหรอ?”

นางฟ้าฤดูใบไม้ผลิเป็นตัวเอกในเทศกาลมหาพรต เป็นสัญลักษณ์แห่งวสันตกาล ดังนั้นในพื้นที่เขตดาริแยฌนี่ โดยปกติชาวบ้านทั้งหมดจะคัดเลือกสาวงามที่ยังไม่ได้แต่งงานให้มาสวมบทบาทนี้

“ก็เอวาน่ะสิ” ลูมิแอร์ตอบอย่างไม่คิดมาก “เธออยากจะเป็นนางฟ้าฤดูใบไม้ผลิสักครั้งมาแต่ไหนแต่ไรแล้วไม่ใช่หรือไง?”

“ฉันก็จะเลือกเธอเหมือนกัน” แรมุนด์แอบถอนใจด้วยความโล่งอก

เมื่อวานนี้เอวาแอบบอกกับเขาเป็นนัยๆ ว่าให้เขาลงคะแนนเลือกเธอ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่าจำเป็นต้องช่วยเธอให้ได้คะแนนมากขึ้นอีก

* * * * *

นอกบ้านหลังหนึ่งที่ไม่ไกลจากร้านเหล้าเก่ามากนัก

ไรอัน ลีอาห์ และวาเลนไทน์ไม่ได้รีบร้อนจะตามหาคนมา ‘คุย’ ด้วย

“เมื่อตะกี้เล่าให้หมอนั่นฟังตั้งเยอะขนาดนั้น จะไม่มีปัญหาจริงๆ งั้นเหรอ?” วาเลนไทน์ยกมือปิดจมูกปิดปาก

อากาศของที่นี่มีกลิ่นอึของสัตว์ปีกลอยคลุ้งอย่างเจือจาง

ลีอาห์เขี่ยกระดิ่งเงินข้างศีรษะเล่น “จะมีปัญหาหรือเปล่าฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้เพียงแค่ว่าผลจากการทำนายของฉันบอกว่าเขาเป็นหนึ่งในกำลังช่วยเหลือที่มีประโยชน์”

“ในสถานการณ์ที่ไม่มีเบาะแสอะไรให้ขุดแบบนี้น่ะ การปล่อยข้อมูลให้รั่วออกไปในระดับที่เหมาะสมจะทำให้คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องเกิดความกลัวจนทำอะไรออกมาเอง นี่เป็นวิธีการสืบสวนที่มีประสิทธิภาพมาก” ไรอันอธิบายวัตถุประสงค์ของตนเอง “ต่อไปพวกเราก็คอยจับตาดูเขาให้มากขึ้นหน่อย ดูว่าเขาจะทำอะไรหรือไปหาใคร”

* * * * *

หลังจากแรมุนด์จากไปแล้ว ลูมิแอร์ก็เข้าไปในร้านเหล้าเก่าและได้เห็นผู้หญิงคนที่มอบไพ่ทาโรต์ให้กับตนปรากฏอยู่ในที่เดิมที่เคยเจอ

วันนี้เธอสวมเสื้อสุภาพสตรีสีขาว เข้าคู่กับกางเกงขายาวสีอ่อนที่หลวมใส่สบาย ข้างมือมีหมวกฟางทรงกลมที่มีดอกไม้เล็กๆ ประดับประดาเอาไว้

กระเป๋าเดินทางของเธอมีเสื้อผ้ามาเปลี่ยนมากจริงแฮะ แต่ละวันไม่ซ้ำกันเลย ไม่ได้ดูซ่อมซ่อเหมือนพวกลีอาห์… ลูมิแอร์ครุ่นคิดเจืออารมณ์พลางเดินเข้าไปใกล้ ก่อนจะนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม

ระหว่างนี้เขาก็เหลือบมองอาหารเช้าของอีกฝ่ายอย่างไม่ได้ตั้งใจ

พายเนื้อที่ด้านในทาซอสไว้บางๆ

ขนมพัฟดารียอลสองสามชิ้น

ผลไม้ตามฤดูกาลหั่นเป็นชิ้น

แก้วเครื่องดื่มสีใสที่มีสิ่งเจือปนบางอย่างอยู่

“นี่อะไรเหรอ? เหมือนว่าร้านเหล้าจะไม่ได้ขายนี่นา”

“เครื่องดื่มพิเศษ ‘วีนัสโฮลี่ออยล์’ ” ผู้หญิงคนนั้นตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ใช้น้ำอบเชยมาแช่น้ำตาลกับวานิลลาแล้วคลุกเคล้ากับดอกป๊อปปี้ บาร์แห่งหนึ่งในเทรียร์รังสรรค์สูตรนี้ขึ้นมาน่ะ”

‘วีนัส’ เป็นคำที่มาจากจักรพรรดิโรเซลล์ เขาบอกว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความงามเทียบเทียมเทพธิดาจากนิทานสักเรื่อง

“คุณไปเอามาจากไหนเหรอ? หรือว่าปรุงขึ้นเอง?” ลูมิแอร์สงสัยว่าต่อให้เป็นเมืองที่ใกล้ที่สุดในดาริแยฌก็ไม่อาจจัดหาของลักษณะเช่นนี้ได้

ผู้หญิงคนนั้นยิ้มให้

“ในฐานะที่เป็นนักเดินทางคนหนึ่ง การได้รับสิ่งที่เหมาะสมในเวลาที่เหมาะควรก็คือสัญชาตญาณของมืออาชีพ”

“ไม่เห็นจะเข้าใจเลย” ลูมิแอร์พูดอย่างจริงใจมาก

จากนั้นเขาก็เปลี่ยนเรื่อง

“ผมจัดการสัตว์ประหลาดตัวก่อนหน้านี้ไปแล้ว แต่คราวนี้ไปเจอตัวอันตรายยิ่งกว่าเดิมอีกสองชนิดน่ะ…”

เขาอธิบายถึงสัตว์ประหลาดสามหน้ากับสัตว์ประหลาดที่สะพายปืนลูกซองให้ฟังจนจบแล้วปิดท้ายว่า

“ผมรู้สึกว่าพวกมันมีกำลังเกินกว่ามนุษย์ทั่วไป ไม่ใช่อะไรที่ผมจะรับมือได้ พอจะมีวิธีจัดการพวกมันหรือเปล่า?”

ผู้หญิงคนนั้นกัดขนมพัฟดารียอล ดวงตาขยับเล็กน้อย แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“สัตว์ประหลาดสามหน้านั่นฉันคงไม่กล้าพูดอะไร แต่ตัวที่สะพายปืนลูกซองน่ะ คุณสามารถจัดการมันได้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว ขอเพียงแค่ใช้ความพิเศษของตัวเองออกมาก็พอ”

“ความพิเศษของตัวเอง…ผมมีอะไรแบบนั้นที่ไหนกัน?” ลูมิแอร์ประหลาดใจและงุนงง

ฉันไม่เห็นจะรู้เลย!

ผู้หญิงคนนั้นมองดูเขาด้วยรอยยิ้มจางๆ

“นั่นเป็นความฝันของคุณ ในฐานะเจ้าของความฝัน คุณย่อมต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษอยู่แล้ว เพียงแค่ว่าคุณยังไม่เจอมันก็เท่านั้น”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

จากผู้แปล

บ่วงชะตากรรม : ราชันเร้นลับ 2

ตอนที่ 15 พูดคุยสอบถามข้อมูล