ตอนที่ 17 ผู้ต้องสงสัย

บ่วงชะตากรรม : ราชันเร้นลับ (ราชันโลกพิศวง) ภาคสอง

ตอนที่ 17 ผู้ต้องสงสัย

※ ※ ※ ※ ※

“มันคืออะไรกันแน่ ขอแบบเจาะจงหน่อยได้ไหม?” ลูมิแอร์ได้ยินแล้วก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาบ้างแต่ก็มีความกังวลเจืออยู่

หลังจากที่ผู้หญิงคนนั้นจิบเครื่องดื่มพิเศษ ‘วีนัสโฮลี่ออยล์’ แล้ว เธอก็เอ่ยตอบอย่างไม่เร็วไม่ช้า

“เรื่องนี้คุณต้องถามตัวเองแล้วล่ะ”

พูดจบเธอก็ก้มหน้าลงไปเพลิดเพลินสำราญใจกับอาหารมื้อเช้าต่อ แสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่ต้องการสนทนาอีกแล้ว

จริงเหรอเนี่ย ทำไมต้องพูดครึ่งๆ กลางๆ ทำเป็นอมพะนำอยู่ได้… จะรอไว้ตอบครั้งหน้าหรือไง? ทำคนเขาเสียเวลาชะมัด… ในวินาทีนี้ลูมิแอร์รู้สึกขึ้นมาว่าฝีไม้ลายมือในการยั่วโมโหของตนเองนั้นสู้อีกฝ่ายไม่ได้เลย

เขาพยายามควบคุมลมหายใจ ก่อนจะลุกขึ้นอย่างยิ้มแย้มแล้วกล่าวอำลาเดินจากไป

ตลอดทั้งวันลูมิแอร์อยู่บ้านอย่างสงบเสงี่ยม ไม่ได้ออกไปไหนอีกเลย

นี่ไม่ได้เป็นเพราะเขากลัวนกฮูกตัวนั้นจนไม่กล้าออกจากบ้านแม้แต่ตอนกลางวันหรอก แล้วก็ไม่ได้เป็นเพราะไม่มีเรื่องจะไปทำด้วย แต่เป็นเพราะต้องการแสดงให้ใครบางคนเห็นเท่านั้นเอง

เขารู้สึกสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับจดหมายขอความช่วยเหลือฉบับนั้นของพวกลีอาห์เป็นอย่างมาก อยากรู้เหลือเกินว่าเนื้อหาที่เขียนไว้คืออะไรกันแน่และใครที่เป็นคนเขียน ซึ่งจุดตั้งต้นที่ดีที่สุดในการสืบหาก็คือหาโอกาสไปดูปูมประติทินทุกๆ เล่มในหมู่บ้านเพื่อหาเล่มที่ถูกตัดตัวหนังสือบางตัวออกไป ในฐานะที่เป็นคนในหมู่บ้านแล้วลูมิแอร์ย่อมเหมาะจะทำเรื่องพวกนี้มากกว่าไรอัน ลีอาห์ และวาเลนไทน์แน่นอน แต่เขากลัวว่าถ้าตนเองเริ่มลงมือสำรวจทันทีที่แยกจากคนต่างถิ่นทั้งสามคนนั่นมา ก็อาจเป็นการแกว่งเท้าหาเสี้ยนโดยไม่จำเป็น

มีความเป็นไปได้สูงมากที่เรื่องพรรค์นี้จะเกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย การดำรงอยู่ หรือไม่ก็หายนะ ถึงแม้ว่าจะมีการปกป้องจากโอรอร์อยู่ก็จริง แต่ลูมิแอร์ก็ไม่กล้ารับประกันว่าอีกฝ่ายจะไม่ทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อตนเอง

จากที่ได้ ‘กลั่นแกล้ง’ มาอย่างโชกโชนในช่วงสองปีที่ผ่านมา ทำให้เขายิ่งเข้าใจถึงบรรทัดฐานที่เกี่ยวข้องมากขึ้นเรื่อยๆ

นี่เป็นผลจากการสั่งสมประสบการณ์มาเนิ่นนาน

เขาวางแผนว่าจะรอให้ผ่านไปอีกสองสามวันก่อน เอาไว้หลังจากเทศกาลมหาพรตแล้วก็ค่อยใช้ข้ออ้างว่ากำลังสืบเสาะเกี่ยวกับเรื่องเล่าลือต่างๆ แล้วแวะไป ‘เยี่ยมเยียน’ ทุกๆ บ้าน

จนกระทั่งฟ้ามืดและรับประทานมื้อเย็นเสร็จ โอรอร์ก็กลับไปห้องนอน เริ่มลงมือเขียนต้นฉบับที่เกินกำหนดส่งมานานแล้ว

ลูมิแอร์เข้าไปในห้องหนังสือ ตั้งใจว่าจะหาหนังสือที่เกี่ยวข้องกับ ‘ความฝัน’ มาอ่านเสียหน่อย หวังว่าจะได้แรงบันดาลใจพิเศษอะไรมาบ้างสำหรับความฝันของตนเอง

เป็นเพราะทั้งบ้านมีโคมไฟใช้แบตเตอรี่อยู่เพียงแค่อันเดียว และในตอนนี้โอรอร์กำลังใช้อยู่ ดังนั้นเขาจึงได้แต่ต้องจุดตะเกียงน้ำมันก๊าดซึ่งมีกลิ่นแรงและไม่เหมาะต่อการใช้อ่านหนังสือเท่าไรนัก

ลูมิแอร์ถือตะเกียงน้ำมันก๊าดที่เปล่งแสงสีเหลืองสลัว ไล่นิ้วไปตามสันหนังสือแต่ละเล่มๆ อย่างรวดเร็ว บางครั้งก็หยิบออกมาเหน็บใต้รักแร้

ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็เลือกหนังสือมาได้สามเล่มแล้วกลับมานั่งที่โต๊ะ

ลูมิแอร์เพิ่งจะวางหนังสือลง สายตาก็กระทบเข้ากับปูมประติทินของบ้านตัวเอง

มันถูกวางไว้ที่หัวมุมโต๊ะอย่างเงียบสงบเช่นเคย บนหน้าปกสีน้ำเงินหม่นนั้นราวกับมีฝุ่นเกาะอยู่บ้าง

เมื่อเห็นปูมประติทินเล่มนี้ ลูมิแอร์ก็นึกถึงเล่มที่เห็นในซากปรักหักพังในความฝันขึ้นมา รวมทั้งเล่มที่ถูกตัดเอาคำมาแปะเป็นจดหมายขอความช่วยเหลือนั่นด้วย

เขาเอื้อมมือออกไปหยิบปูมประติทินเล่มตรงหน้า กะว่าจะพลิกดูเนื้อหาข้างในว่ามีคำไหนบ้างที่น่าจะตัดออกมารวมเป็นประโยคที่ใช้ได้

แต่เพิ่งจะพลิกไปไม่กี่หน้าลูมิแอร์ก็ตาค้างทันที

คำอธิบายที่แนบมากับหน้าปฏิทินที่เปิดอยู่ในขณะนี้มีรูโหว่ที่เห็นได้ชัดเจน

มีคำบางคำถูกตัดออกไป!

“ไม่มีทาง…” ลูมิแอร์ตื่นตระหนก

เขารีบพลิกปูมประติทินในมืออย่างรวดเร็ว และพบร่องรอยที่เหลือจากการถูกตัดตัวหนังสือออกไปราวสิบกว่าถึงยี่สิบคำ

“ไม่มีทาง…” ลูมิแอร์กระซิบออกมาอีกครั้ง แทบจะเป็นปฏิกิริยาที่ไม่ต่างจากเมื่อครู่

ปูมประติทินที่เอามาทำจดหมายขอความช่วยเหลือที่พวกไรอัน ลีอาห์ วาเลนไทน์กำลังตามหากันอยู่นั้น ที่แท้แล้วก็คือเล่มของที่บ้านเขานั่นเอง!

ยังไม่ต้องพูดถึงพวกเขาหรอก ขนาดว่าแม้แต่ตัวลูมิแอร์เองก็ไม่คิดไม่ฝันว่าเรื่องราวจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้!

ไม่เคยคิดมาก่อนแม้แต่นิดเดียว!

ท่ามกลางอารมณ์ซับซ้อนยากบรรยาย ลูมิแอร์ขมวดคิ้วมุ่น

“อย่าบอกนะว่าเป็นโอรอร์ที่เขียนจดหมายขอความช่วยเหลือไปน่ะ?

“ทำไมเธอถึงต้องขอความช่วยเหลือล่ะ ขอความช่วยเหลือจากทางการเนี่ยนะ? แล้วทำไมถึงไม่บอกให้ฉันรู้?”

จากรายละเอียดจำพวกรูปแบบพฤติกรรมของพวกลีอาห์ และการที่เพิ่งจะมาถึงก็เลือกไปปรึกษาหารือเรื่องต่างๆ กับบาทหลวงประจำโบสถ์ตามความเคยชิน เขาจึงตัดสินในเบื้องต้นว่าพวกคนเหล่านี้เป็นคนของทางการ อาจจะมาจากทางภาครัฐหรืออาจจะมาจากทางศาสนจักรอย่างโบสถ์ ‘สุริยันนิรันดร’ หรือไม่ก็โบสถ์ ‘เทพแห่งไอน้ำและจักรกล’ ของทางเขตดาริแยฌก็ได้

ลูมิแอร์ลังเลขึ้นมา สีหน้าเปลี่ยนไปแปรมาตลอดเวลา

ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้ จึงหยิบปูมประติทินเดินออกจากห้องหนังสือไปที่ห้องนอนของโอรอร์

เขาตั้งใจจะถามออกไปตามตรง

เขาเลือกเชื่อในตัวโอรอร์

ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!

ลูมิแอร์งอนิ้วเคาะประตู

“เข้ามาได้” เสียงโอรอร์ดังออกมา

ลูมิแอร์หมุนด้ามจับ เมื่อผลักประตูเปิดเข้าไปก็เห็นว่าภายใต้แสงสว่างจากโคมไฟตั้งโต๊ะนั้น ร่างโอรอร์อยู่ในชุดนอนผ้าฝ้ายแบบสองชิ้น ใช้แถบคาดผมบลอนด์เอาไว้ กำลังก้มหน้าเขียนเรื่องส่งงานอยู่

“นี่เธอเป็นคนตัดหรือเปล่า?” ลูมิแอร์เดินเข้าไปโดยไม่รอให้พี่สาวเอ่ยปากถามว่ามาทำไม

“หือ?” โอรอร์เอี้ยวตัวหันมาด้วยความสงสัย สายตาทั้งว่างเปล่าและเหม่อลอยราวกับยังจมอยู่กับเรื่องที่เขียน

ลูมิแอร์เปิดปูมประติทินหน้าที่มีรอยตัดยื่นไปให้ พร้อมกับพูดจ้องตาโอรอร์

“เธอไม่ได้เป็นคนตัดนี่เหรอ?”

โอรอร์มองดูด้วยความระมัดระวังสองสามวินาทีก่อนจะเงยหน้าหัวเราะออกมา

“เห็นฉันว่างไม่มีอะไรทำและชอบทำตัวเป็นเด็กหรือไง?

“ฉันที่เป็นพี่สาวนายคนนี้น่ะ ทั้งจิตใจมั่นคง โตเป็นผู้ใหญ่ ใจกว้าง ไม่เหมือนนายซักกะติ๊ด”

ปฏิกิริยาของโอรอร์ดูเป็นธรรมชาติมาก…ไม่ได้ประหลาดใจหรือตกใจที่จู่ๆ ความลับถูกเปิดเผยออกมาเลยสักนิด… ลูมิแอร์ไม่ได้ปิดบังความสงสัยของตนเอง เขาเอ่ยปากถามขึ้น

“งั้นใครเป็นคนตัดคำในปูมประติทินนี่ล่ะ?”

“แล้วไม่ใช่นายหรือไง?” โอรอร์มองดูน้องชาย “พอนายได้อ่านนิยายของฉัน ก็เลยวางแผนจะทำเลียนแบบในนิยาย ตัดคำจากหนังสือหรือหนังสือพิมพ์มาเขียนเป็นจดหมายเรียกค่าไถ่เพื่อหาเรื่องเล่นแผลงๆ ครั้งใหญ่ในหมู่บ้าน แต่ก่อนจะลงมือจริงจังก็มาลองดูก่อนว่าจะหลอกฉันได้หรือเปล่า นายกำลังจะทดสอบความสามารถในการอนุมานของพี่สาวคนนี้อยู่หรือไง?”

ดูไม่เหมือนว่าเป็นฝีมือโอรอร์จริงๆ ด้วยสิ… สายตาของลูมิแอร์จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของโอรอร์ตลอดเวลา หากเกิดความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าแม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่อาจหลุดรอดสายตาไปได้ ซึ่งสีหน้าผู้เป็นพี่สาวก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรแม้แต่นิดเดียว

“ฉันเปล่าทำ” ลูมิแอร์ขมวดคิ้ว “หรือว่าเป็นฝีมือคนอื่น?”

โอรอร์ยิ้มให้

“งั้นนายก็เล่นเกมอนุมานไปก่อนเถอะ ฉันต้องรีบปั่นต้นฉบับ

“ไว้พรุ่งนี้ถ้าว่างแล้วฉันจะมาช่วยนายไขความจริงก็แล้วกัน”

ด้วยวิธีพิเศษงั้นเหรอ? ลูมิแอร์ร้อง “อื้อ” ไม่ได้รบกวนการทำงานของพี่สาวอีก

เขานำปูมประติทินเดินกลับเข้าไปในห้องของตนที่ไม่ได้จุดตะเกียง นั่งลงที่เก้าอี้หลังโต๊ะหนังสือ

“เป็นฝีมือของใครกันนะ?”

ภายใต้แสงพระจันทร์แดงบนท้องฟ้า ลูมิแอร์พึมพำอีกครั้ง

เขาพยายามจะอนุมานออกมา

“บ้านเรามีกันอยู่แค่สองคน แถมโอรอร์ก็ยังเป็นผู้ใช้เวทที่มีพลังวิเศษ ต้องไม่มีทางปล่อยให้คนอื่นมาสร้างปัญหาในบ้านแน่…

“แต่ถ้าไม่ได้เป็นเธอจริงๆ ถ้าพูดกันตามวิธีที่เธอพูดก็คือ เมื่อตัดสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ออกไปหมดแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่นั้นต่อให้ดูแล้วจะเป็นไปไม่ได้แค่ก็ตาม มันก็คือความจริง [1]

“ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ที่มีเพียงแค่ตัวเลือกสองข้อ งั้นเรื่องนี้ก็เป็นฝีมือฉันงั้นเหรอ?”

ในขณะนี้ลูมิแอร์รู้สึกว่านี่มันช่างเหลวไหลและน่าตลกเกินไป

ที่จริงแล้ว ‘อาชญากร’ ก็คือตัวฉันเนี่ยนะ?

ทำไมไม่เห็นจะรู้เลย?

เขาอดเอี้ยวตัวไปด้านข้างไม่ได้ มองดูกระจกเต็มตัวที่ติดอยู่บนตู้เสื้อผ้า

ท่ามกลางแสงจันทร์แดงฉาน เงาสะท้อนของลูมิแอร์ในกระจกสวมเสื้อเชิ้ตผ้าลินิน กางเกงขายาวสีน้ำตาล ใบหน้าหล่อเหลาไม่ได้มีรอยยิ้มแม้เพียงน้อยนิด สีหน้าดูเคร่งเครียดเป็นอย่างมาก

เขามั่นใจสุดๆ ว่าตนเองนั้นไม่ได้เป็นคนตัดเนื้อหาในปูมประติทินแน่นอน

ด้วยเหตุนี้เขาจึงย้อนนึกทบทวนถึงประสบการณ์ในรอบหนึ่งเดือนที่ผ่านมา

แม้ว่าจะมีรายละเอียดมากมายที่เลือนรางไปแล้ว แต่ในเรื่องที่ทำเป็นส่วนใหญ่นั้นเขาค่อนข้างแน่ใจมาก

ลูมิแอร์ที่อาบแสงจันทร์สีชาดซึ่งสาดส่องเข้ามาจากนอกหน้าต่างพึมพำกับตัวเองเงียบๆ

“อย่าบอกนะว่าฉันทำไปตอนที่ไม่มีสติน่ะ?

“ตอนที่อยู่ในฝันนั่น ฉันก็ละเมอทำมันในความจริงงั้นเหรอ?

“ไม่สิ เป็นไปไม่ได้ โอรอร์บอกว่าจะคอยดูฉันเอาไว้ ถ้าฉันละเมอมาตัดปูมประติทินจริง เมื่อกี้เธอต้องบอกออกมาแล้วสิ ยิ่งกว่านั้นก็คือจะส่งจดหมายต้องเป็นตอนกลางวัน ซึ่งเวลาช่วงนั้นฉันต้องตื่นอยู่แน่ๆ”

ลูมิแอร์ตัดตัวเองออกแล้วใคร่ครวญถึงความเป็นไปได้ประการอื่น

“หรือจะเป็นคนอื่นที่มาบ้าน?”

แม้ว่าโดยปกติจะไม่มีแขกมาบ้านเขาก็จริง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีแม้แต่ครั้งเดียว

ประการแรกคือมีเพื่อนบ้านแถวๆ นี้ที่ฐานะยากจนจะแวะมาขอยืมเตาเพื่อทำเนื้อรมควันหรือไม่ก็ขนมปัง

ประการถัดมา บางครั้งพวกเพื่อนๆ ของลูมิแอร์จะมาหาที่บ้าน ไปห้องหนังสือหาพวกนิยายที่เขียนด้วยคำง่ายๆ มาอ่านหรือไม่ก็ฟังเขาเล่านิทาน

ประการสุดท้าย นาซีลี มาดามปัวริส ผู้หญิงเพียงไม่กี่คนนี้จะแวะมาคุยกับโอรอร์เป็นครั้งคราว ในพวกเธอทั้งคู่นั้นมาดามปัวริสมาบ่อยที่สุด และยังให้โอรอร์ยืมเจ้าม้าน้อยด้วย ให้เธอขี่ไปขึ้นเขาได้ตามใจชอบ ความสัมพันธ์ระหว่างสองคนนี้ถือว่าไม่เลว

ท้ายที่สุดแล้วในหมู่บ้านชนบทอันห่างไกลอย่างกอร์ดูก็มีเพียงนักเขียนอย่างโอรอร์เท่านั้นที่ควรค่าให้มาดามปัวริสคบหา

แต่การแสดงออกของมาดามปัวริสก็ดูมีอัธยาศัยไมตรีมาก บ่อยครั้งที่เธอไปนั่งอาบแดดพูดคุยสนทนากับพวกนาโรคา แถมยังช่วยจับเหาอีกด้วย ในหมู่บ้านนับว่าเธอมีชื่อเสียงไม่เลว

แม้ว่ามาดามปัวริสกับโอรอร์นั้นพอจะนับได้อย่างฝืดฝืนว่าเป็นสหายกันก็จริง แต่ลูมิแอร์กลับไม่ชอบเธอแม้แต่นิดเดียว นั่นก็เป็นเพราะเธอชอบแนะนำพวกญาติๆ ให้โอรอร์ เพื่อจะได้แต่งงานมีลูกเร็วๆ

พวกญาติๆ ของมาดามปัวริสน่ะ ถ้าหากเป็นคนดีก็จะไม่ว่าอะไรหรอก แต่พอลูมิแอร์ไปดาริแยฌทีไร ข่าวที่ได้ยินมาของเป้าหมายแต่ละคนนี่มีทั้งทำตัวเหลวแหลก นิสัยย่ำแย่ ไร้ความสามารถ ใกล้จะถูกลดชั้นให้เป็นยาจกอยู่รอมร่อ หาดีไม่ได้สักคน

ถ้าแค่ครั้งเดียวก็ยังถือว่าเป็นเรื่องบังเอิญได้ แต่ทุกครั้งก็เป็นแบบนี้ แสดงว่ามีเจตนาแล้วล่ะ นี่จึงทำให้ลูมิแอร์เกลียดมาดามปัวริสไม่น้อย

“คนที่มาทำเนื้อรมควันหรือปิ้งขนมปังนี่เป็นไปไม่ได้แน่ เพราะทุกครั้งที่มาจะมีคนคอยดู ไม่ปล่อยให้ขึ้นไปบนชั้นสองเด็ดขาด… แรมุนด์กับเอวา พวกเขาก็เป็นไปไม่ได้ เพราะฉันอยู่ด้วยตลอดเวลา… มาดามปัวริสกับนาซีลีผู้หญิงสองคนนี้มีโอกาสในระดับหนึ่ง ทุกครั้งที่มา โอรอร์จะปล่อยให้พวกเธอดูหนังสืออยู่ในห้อง ส่วนตัวเองก็ลงมาเตรียมของว่างข้างล่าง…

“ถ้ามาดามปัวริสเป็นแม่มดจริง งั้นการที่เธอขอความช่วยเหลือจากทางการโดยปิดบังตัวตนก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ยิ่งกว่านั้นเธอก็ยังระวังตัวด้วยการใช้ปูมประติทินของบ้านคนอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตามรอยไปถึงตัวเองได้…

“หรือว่าตอนที่เธอมีความสัมพันธ์กับบาทหลวงประจำโบสถ์ก็ไปเจออะไรเข้า เลยจำเป็นต้องปกป้องตัวเองด้วยวิธีนี้งั้นเหรอ?”

ลูมิแอร์ยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่าใกล้ระบุตัวผู้ต้องสงสัยได้เต็มที

เขาลุกขึ้นยืน เดินกลับไปกลับมาสองสามก้าว จากนั้นก็พรวดพราดลงบันไดไปชั้นล่าง

เขาไม่มีความคิดจะไปสอบถามมาดามปัวริสแม้แต่น้อย และไม่ได้วางแผนจะไปสอดแนมการกระทำของอีกฝ่ายด้วย แต่อยากจะไปหาแรมุนด์หรือกีโยมจูเนียร์เพื่อขอยืมปูมประติทินที่บ้านพวกเขามาเปรียบเทียบดูว่ามีคำไหนบ้างที่ถูกตัดออกไป จะได้ลองเอามาประกอบเป็นคำดู

เมื่อทำแบบนั้นก็มีแนวโน้มค่อนข้างมากที่ลูมิแอร์จะสามารถจำลองเนื้อหาในจดหมายขอความช่วยเหลือฉบับนั้นออกมาได้

เขาลงบันไดเสียงดังตึงๆ ผ่านห้องครัวแล้วก็เปิดประตูผาง

ความมืดมิดสีแดงฉานจากภายนอกหลั่งไหลเข้ามาทำให้เขากลับคืนสู่ความเยือกเย็นในทันที

“เอ่อ…พี่บอกไว้ว่าก่อนที่จะรู้สถานการณ์ของนกฮูกตัวนั้นอย่างแน่ชัด ห้ามออกจากบ้านตอนมืดๆ เด็ดขาด…” ลูมิแอร์พึมพำ ถอยหลังไปสองก้าวแล้วงับประตูปิด

เรื่องไปขอยืมปูมประติทินไม่ต้องรีบร้อนขนาดนั้นก็ได้ ไว้ไปตอนกลางวันจะดูเป็นปกติเป็นธรรมชาติมากกว่า

ติ๊งต่อง ติ๊งต่อง

มีคนกดกริ่งประตู เสียงดังก้องขึ้นมา

“นั่นใคร?” ลูมิแอร์กลับหลังหันเดินมาที่ประตูพลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย

เสียงผู้หญิงที่อ่อนโยนไพเราะเจือความดึงดูดดังขึ้นที่นอกประตู

“ฉันเอง… ปัวริส เดอ ร็อกฟอร์”

* * * * *

[1] เป็นประโยคประจำตัวของนักสืบเชอร์ล็อก โฮมส์ ตัวละครในนิยายที่แต่งโดยอาร์เธอร์ โคนัน ดอยล์

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บ่วงชะตากรรม : ราชันเร้นลับ 2

ตอนที่ 5 ไพ่

ตอนที่ 2 “จอมป่วน”