ตอนที่ 18 “ตรงไปตรงมา”

บ่วงชะตากรรม : ราชันเร้นลับ (ราชันโลกพิศวง) ภาคสอง

ตอนที่ 18 “ตรงไปตรงมา”

※ ※ ※ ※ ※

มาดามปัวริส… ลูมิแอร์ตกตะลึง เหมือนตาฝาดว่ามีคนตามมาปิดปากถึงที่บ้าน

แต่เมื่อคิดถึงว่าพี่สาวอยู่ที่ชั้นบน ทั้งยังมีพลังวิเศษอีกด้วย เขาก็สงบใจลงได้ไม่น้อย

ลูมิแอร์สูดหายใจช้าๆ ก่อนจะเดินไปที่ประตูบ้านแล้วดึงเปิดออก

ที่หน้าประตูมีผู้หญิงยืนอยู่สองคน คนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสวมเดรสยาวรัดทรงสีดำตัดเย็บอย่างประณีต บนบ่ามีผ้าคลุมไหล่สีเดียวกัน มือทั้งสองข้างสวมถุงมือยาวผ้าทูเล บนศีรษะสวมหมวกกลมสุภาพสตรีที่เอียงเล็กน้อยให้ดูมีเสน่ห์

ตลอดทั้งร่างของเธอแต่งด้วยสีดำล้วน ยกเว้นเพียงแค่สร้อยเพชรฝังทองบนหน้าอก

ผู้หญิงคนนี้คิ้วบางเล็กน้อย ดวงตาสีน้ำตาลกระจ่างสดใสแฝงรอยยิ้ม ผมยาวสีน้ำตาลเกล้าเป็นมวยสูง เครื่องหน้าไม่ได้ดูโดดเด่นเป็นพิเศษ แต่เมื่อดูรวมๆ แล้วกลับเป็นความงามที่สะอาดสะอ้านและมีเสน่ห์ชนิดหนึ่ง กอปรกับบุคลิกลักษณะที่ดูสง่า ท่วงท่ายืนอันงดงาม ทำให้ค่ำคืนยามวิกาลที่อาบย้อมด้วยสีแดงจางๆ ที่หน้าประตูบ้านของลูมิแอร์ราวกับสดชื่นขึ้นมาไม่น้อย ทั้งยังมีกลิ่นหอมรวยรินอันสดชื่นแผ่ออกมาจากเธออีกด้วย

นี่ก็คือมาดามปัวริส ภรรยาของบิวส์ ผู้บริหารผู้พิพากษาดินแดนหมู่บ้านกอร์ดู

แน่นอนว่าในหัวของลูมิแอร์ก็ยังมีคำสร้อยเพิ่มขึ้นมาอีก อย่างเช่นว่า ‘ชู้รักของบาทหลวงประจำโบสถ์’ ‘ผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ใช้เวท’ ‘คนเขียนจดหมายขอความช่วยเหลือ’ ‘นวลเนื้อขาวอร่ามตาในศาสนสถาน’ อะไรทำนองนี้ ทว่าคำพวกนี้ไม่อาจพูดออกมาได้ มิฉะนั้นเกรงว่าคงทำให้มาดามปัวริสหน้าเปลี่ยนสีเป็นแน่

เมื่อถึงตอนนั้นก็นับว่าการยั่วโทสะบรรลุผล และตามมาติดๆ ด้วย…หายนะ

“มาดามปัวริส ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?” ลูมิแอร์เจตนามองดูท้องฟ้าเพื่อบอกเป็นนัยว่าการมาเยี่ยมเยือนในเวลาเช่นนี้ไม่ค่อยเหมาะสมนัก

ริมฝีปากแดงเรื่อของมาดามปัวริสที่ดูชุ่มชื้นขยับอย่างแผ่วเบา

“ฉันมาหาโอรอร์พี่สาวคุณเพื่อปรึกษาเรื่องบางอย่างน่ะ”

ดูจากรูปลักษณ์ภายนอก เธอดูไม่เหมือนว่าขาดอีกปีก็จะเกินสามสิบแล้ว ทั้งยังเป็นคุณแม่ลูกสองอีกด้วย เธอดูเหมือนมีอายุเพียงแค่ราวๆ ยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปีเท่านั้น

ลูมิแอร์คิดอยู่อึดใจก่อนจะถอยเปิดทางให้

เขาพูดกับมาดามปัวริสที่เดินเข้าประตูมา

“โอรอร์อยู่ชั้นบน กำลังเขียนต้นฉบับคอลัมน์ลงหนังสือพิมพ์อยู่น่ะ”

ปัวริสผงกศีรษะแล้วหันไปพูดกับสาวใช้ข้างกาย

“เคธี่ เธอรออยู่ชั้นล่างนะ”

“ค่ะ มาดาม” เคธี่ที่สวมเครื่องแบบสาวใช้สีดำขาวเดินไปยังเตาที่จุดสร้างความอบอุ่น

ลูมิแอร์เดินนำมาดามปัวริสผ่านห้องครัวเพื่อจะขึ้นบันไดไป

เพิ่งจะเลี้ยวที่หัวมุม มาดามปัวริสก็หยุดฝีเท้าลง

“มีอะไรเหรอ?” ลูมิแอร์หันหลังกลับมา แสร้งทำเป็นงุนงง

มาดามปัวริสคลี่ยิ้มพร้อมเอ่ยถาม

“คุณจงใจพาคนต่างถิ่นทั้งสามคนนั้นไปที่โบสถ์ใช่ไหม?”

ที่แท้ก็มาหาฉันนี่เอง… ลูมิแอร์ไม่เพียงไม่ตื่นตระหนก ทั้งยังสงบเยือกเย็นอีกด้วย

ประสบการณ์การกลั่นแกล้งให้คนอื่นบันดาลโทสะมานักต่อนักบอกเขาว่าในเวลาเช่นนี้ไม่ว่าเป็นตายยังไงก็ห้ามตอบคำถามของอีกฝ่ายตามตรงเด็ดขาด และห้ามแก้ตัวด้วย ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือการกล่าวโทษ… กล่าวโทษว่าอีกฝ่ายนั่นแหละที่ทำเรื่องผิด!

แน่นอนว่านี่ก็ต้องดูสถานการณ์ดูตาม้าตาเรือให้ดีก่อนด้วย การกลับหลังหันเผ่นแน่บก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกเช่นกัน

ลูมิแอร์รีบเผยสีหน้าท่าทางว่าเดือดโมโห จ้องมองมาดามปัวริส

“พวกคุณทำเรื่องน่าบัดสีในโบสถ์ขององค์เทพ!”

จากนั้นเขาก็แผ่สองแขนออกทำท่า ‘โอบกอดดวงตะวัน’

“ข้าแต่องค์เทพ พระบิดาของลูก ขอพระองค์ทรงโปรดประทานอภัยให้กับการดูหมิ่นของชายหญิงคนบาปคู่นี้ด้วยเถิด”

มาดามปัวริสมองดูอย่างเงียบสงบจนจบ จากนั้นริมฝีปากก็ยกโค้งเป็นรอยยิ้มอันงดงามเฉิดฉัน

“ฉันคิดว่าองค์เทพทรงอภัยให้พวกเราอยู่แล้วล่ะ

“ก่อนหน้านี้ฉันเคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ในนั้นเขียนไว้ว่า ผู้หญิงที่ร่วมหลับนอนกับคนรักที่แท้จริงของตัวเองจะสามารถชำระบาปทั้งหมดทั้งมวลได้ เพราะว่าความรักอันสุขสันต์นั้นจะแปรเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ เสมือนว่ามาจากจิตใจอันบริสุทธิ์ผุดผ่อง

“ตอนที่อยู่กับกีโยม เบอเน็ตน่ะ ฉันมีความสุขมาก ดังนั้นองค์ ‘สุริยันนิรันดร’ จึงไม่ควรมีโทสะในเรื่องนี้ นี่ไม่ใช่ความผิดบาป”

คุณไปอ่านหนังสืออะไรมาเนี่ย คุณผู้หญิง… ลูมิแอร์อดเหน็บแนมในใจไม่ได้

มาดามปัวริสกล่าวต่อ

“แต่นี่ก็เป็นการไม่เคารพต่อนักบุญซิธจริงๆ นั่นแหละ”

ในแต่ละภูมิภาคของอินทิสนั้นจะมีเทวทูตหรือไม่ก็นักบุญตั้งแต่หนึ่งไปจนถึงหลายท่าน พวกเขามาจากบันทึกโบราณของโบสถ์ ‘สุริยันนิรันดร’ กับโบสถ์ ‘เทพแห่งไอน้ำและจักรกล’ หรือไม่ก็มีส่วนร่วมเป็นพิเศษในประวัติศาสตร์ของอินทิส มีชื่อเสียงขจรขจาย จนได้รับการยอมรับจากศาสนจักรทั้งสองแห่ง

ในภูมิภาคดาริแยฌ นักบุญองค์อุปถัมภ์ของโบสถ์ ‘สุริยันนิรันดร’ ก็คือนักบุญซิธ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือโบสถ์ของ ‘สุริยันนิรันดร’ ทุกแห่งนั้นแท้จริงแล้วสามารถเรียกได้ว่าเป็นโบสถ์นักบุญซิธนั่นเอง เพียงแต่ว่าเพื่อจะแยกแยะความแตกต่าง จึงมีเพียงแค่ที่ที่เป็นศูนย์กลางที่สุดและใหญ่ที่สุดเท่านั้นถึงจะเรียกเช่นนี้ ส่วนที่อื่นๆ นั้นจะใช้ชื่ออื่นในการเรียกขานแทน

ดังนั้นการที่มาดามปัวริสกับบาทหลวงประจำโบสถ์มาบรรเลงสัมพันธ์สวาทภายในโบสถ์ก็เสมือนหนึ่งว่าพ่อบ้านของนักบุญซิธแอบพาผู้หญิงเข้ามา แล้วใช้ห้องนอนเจ้าบ้านมาทำเรื่องบัดสีผิดศีลธรรมจรรยา นี่ก็เท่ากับเป็นการดูหมิ่นนักบุญองค์อุปถัมภ์อย่างถึงที่สุด

“ใช่ๆ” ลูมิแอร์ผงกศีรษะอย่างหนักแน่น “เป็นบาทหลวงประจำโบสถ์แล้วมาทำเรื่องแบบนี้ เขาไม่ละอายแก่ใจบ้างหรือไง?”

มาดามปัวริสระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

หลังจากหัวเราะจบแล้วเธอก็พูดกับลูมิแอร์

“ตอนนั้นฉันก็พยายามเกลี้ยกล่อมเขาเหมือนกัน ฉันพูดไปว่า ‘อุ๊ย พวกเราจะทำเรื่องแบบนี้ในโบสถ์นักบุญซิธไม่ได้นะ’

“คุณลองเดาซิว่าบาทหลวงประจำโบสถ์ตอบว่ายังไง?

“เขาพูดว่า ‘อ้อ ก็ให้นักบุญซิธอดทนเอาหน่อยก็แล้วกัน’ ”

ลูมิแอร์ผู้ซึ่งไร้ประสบการณ์ด้านนี้โดยสิ้นเชิง ไม่ทราบจะพูดอะไรไปชั่วขณะ

“เขาดูหมิ่นท่านนักบุญ!” ในที่สุดเขาก็เค้นประโยคนี้ออกมาจนได้

มาดามปัวริสเผยสีหน้าว่ากำลังหวนรำลึก

“เขาก็เป็นคนแบบนี้แหละ ขวัญใหญ่ใจโต ขวานผ่าซาก บางทีก็พูดจากักขฬะหยาบคายเหมือนโจร แต่กลับทำให้หัวใจเราแง้มเปิดออก แตกต่างจากพวกสุภาพบุรุษในดาริแยฌเป็นคนละโลก

“บางทีอาจเป็นเพราะแบบนี้ก็ได้ ถึงทำให้ฉันตกลงปลงใจยอมขึ้นเตียงกับเขา”

“นั่นก็เป็นแค่พฤติกรรมปกติของพวกผู้ชายเวลาตัณหาขึ้นหน้าเท่านั้นแหละ ยังไม่ต้องพูดถึงนักบุญซิธเลย ต่อให้องค์เทพอยู่ที่นั่น เขาก็บอกให้พระองค์รอไปก่อนอยู่ดีนั่นแหละ” แม้ว่าลูมิแอร์จะไร้ประสบการณ์ก็จริง แต่ก็เคยอ่านนิยายของโอรอร์มาบ้าง และไม่ได้อ่านเพียงแค่เล่มเดียวด้วย “นี่เป็นเพราะสมองเขาถูกร่างกายส่วนล่างควบคุมเอาไว้นั่นแหละ ไม่สิ…ในตอนนั้นน่ะหัวสมองเขามีแต่ความว่างเปล่าขาวโพลน มีของเหลวอย่างอื่นอยู่เต็มหัวพร้อมระบายออกต่างหาก”

มาดามปัวริสคลี่ยิ้มจางๆ

“ฉันก็รู้แหละว่าเหตุผลคือเรื่องนี้ แต่สถานการณ์ตอนนั้นมันทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากเลยนะ

“ฮ่า ฮ่า คุณเป็นหนุ่มน้อยไร้ประสบการณ์จริงๆ ด้วยสินะ ก็เลยไม่รู้ว่าคำคำเดียวกันน่ะ ถ้าอยู่ต่างที่ต่างเวลา อยู่ในบรรยากาศแวดล้อมที่ต่างออกไป ก็ทำให้ความรู้สึกของผู้คนแตกต่างกันแล้ว

“ฉันยังจำได้ว่าครั้งแรกสุดที่มีความสัมพันธ์กับบาทหลวงประจำโบสถ์น่ะ เขายืนอยู่ตรงนั้น มองเข้ามาในดวงตาฉัน แล้วเอ่ยขึ้นกับฉันอย่างตรงไปตรงมาว่า ‘ปัวริส… ผมปรารถนาจะเข้าใจถึงเรือนร่างและหัวใจคุณให้มากกว่านี้’ นี่ถ้าหากว่ามาพูดแบบนี้ในเวลาอื่นล่ะก็ ฉันจะคิดเพียงแค่ว่านี่เป็นคนเจ้าชู้ตัณหากลับที่พูดจาลามกหยาบคายน่ารังเกียจ จะต้องตะโกนเรียกให้คนรีบมาหยุดเขาเอาไว้แน่ แต่ในเวลานั้นน่ะ ร่างกายฉันกลับอ่อนระทวยไปหมด ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะบรรยากาศกำลังเป็นใจ”

ขณะที่พูดๆ ไป รอยยิ้มของมาดามปัวริสก็เปลี่ยนเป็นมีเสน่ห์อันรัญจวน

“นี่มันเหมือนกับว่าถ้าฉันเกิดต้องตาผู้ชายคนไหนเข้า ฉันก็จะบอกเขาว่า ‘คืนนี้มาที่บ้านฉันได้ไหมคะ?’

“และถ้าเขามาจริงๆ ฉันก็จะพาเขาตรงไปที่ห้องนอนทันที จากนั้นก็จะบอกเขาว่า ‘ฉันอยากขึ้นเตียงกับคุณจัง ที่รักขา’

“ลูมิแอร์ ถ้าคุณเจอแบบนี้ ในฐานะผู้ชาย คุณจะตอบยังไง?”

ตามปกติลูมิแอร์เองก็คุยเรื่องลามกสัปดนกับพวกผู้ชายในหมู่บ้านอยู่แล้ว ดังนั้นถึงแม้ในตอนนี้จะรู้สึกอึดอัดลำบากใจอยู่บ้างแต่ก็ยังอดทนไว้ได้ เขาพยายามรีดเร้นความทรงจำเกี่ยวกับนิยายของพี่สาวกับนิยายของนักเขียนร่วมสมัยคนอื่นๆ ออกมา แล้วพูดขึ้นหลังจากไตร่ตรองเสร็จ

“ผมจะพูดว่า ‘คุณผู้หญิง… คุณคือดวงตะวันของผม’ ”

“ปากหวานซะจริงเชียว…” มาดามปัวริสเอ่ยชมเขา

ขณะที่พูดเธอก็โน้มกายไปด้านหน้า นัยน์ตาเริ่มฉ่ำชื้นขึ้น

ในฉับพลันนั้นใบหูของลูมิแอร์ก็มีลมหายใจอุ่นๆ เป่าเข้ามา ตามด้วยเสียงผู้หญิงที่นุ่มนวลเปี่ยมเสน่ห์ดังกระซิบซาบ

“ฉันอยากขึ้นเตียงกับคุณ…”

ในเสี้ยววินาทีนี้ลูมิแอร์อดหัวใจสั่นไหวขึ้นมาไม่ได้ ร่างกายรู้สึกชาหนึบประหนึ่งสัมผัสถูกโคมไฟตั้งโต๊ะที่กระแสไฟฟ้ารั่วออกมา

เขารีบก้าวขึ้นไปบนขั้นบันไดทันที พูดกับมาดามปัวริส

“โอรอร์น่าจะรอคุณอยู่นะ”

“อืม” มาดามปัวริสกลับมายืนตัวตรง ใบหน้าแย้มยิ้ม ดวงตาหยาดเยิ้มราวมีหยดน้ำขังไว้

ราวกับเมื่อครู่นี้ไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้นทั้งสิ้น

ผู้หญิงคนนี้… ลูมิแอร์รู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมาบ้างแล้ว

เขารีบหมุนตัวกลับหลังหันแล้วจ้ำอ้าวขึ้นชั้นสองไป ส่วนมาดามปัวริสก็เดินตามหลังโดยรักษาความเร็วตามปกติ ไม่ได้รีบเร่งหรืออ้อยอิ่ง

โอรอร์ที่ได้ยินเสียงกริ่งประตูตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ออกมายืนรออยู่หน้าห้องนอนแล้ว

“ทำไมขึ้นมาช้าจัง?” เธอมองลูมิแอร์

ลูมิแอร์อธิบายอย่างคลุมเครือ

“คุยเรื่องศาสนจักรกันนิดหน่อยน่ะ”

โอรอร์ได้ยินแล้วก็เข้าใจทันที เธอส่งสายตาเป็นนัยให้เขา “อธิษฐานต่อองค์ ‘สุริยันนิรันดร’ เพื่อขอให้โชคดี”

จากนั้นเธอก็หมุนตัวมาทางมาดามปัวริสที่เพิ่งจะขึ้นมาถึงชั้นสอง พูดอย่างยิ้มแย้ม

“มีเรื่องอะไรเหรอคะ?”

“จะมาคุยเรื่องการเตรียมการเทศกาลมหาพรตหน่อยน่ะ มีการเฉลิมฉลองบางอย่างที่อาจจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากคุณ” มาดามปัวริสพูดด้วยรอยยิ้ม

“ช่วงนี้ฉันยุ่งมากเลยน่ะสิ…” โอรอร์หาข้ออ้างเพื่อปฏิเสธ

มาดามปัวริสชี้ไปที่ห้องหนังสือ

“ลองฟังดูก่อนเป็นไง?”

“ก็ได้” โอรอร์ยังต้องรักษามารยาทเอาไว้บ้าง

ลูมิแอร์มองดูพี่สาวกับมาดามปัวริสเข้าไปในห้องหนังสือและปิดประตูตามหลังแล้ว เขาก็ผงกศีรษะเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น

“สีหน้าเป็นปกติ ไม่มีร่องรอยความรู้สึกผิดที่กลับมาถึง ‘สถานที่เกิดเหตุ’ แม้แต่นิดเดียว…”

เวลานี้มีความคิดหนึ่งผุดวาบขึ้นมาในหัวเขา

“มีความเป็นไปได้ไม่น้อยที่มาดามปัวริสจะเป็นผู้ใช้เวทหญิง ฉันจะรับพลังวิเศษผ่านทางเธอได้หรือเปล่านะ?

“เมื่อเทียบกับการไปไล่สืบหาความจริงของผู้ใช้เวทแล้วต้องเผชิญกับนกฮูกตัวนั้นหรือสำรวจซากปรักหักพังในความฝันที่อันตรายนั่นแล้ว แบบนี้สะดวกปลอดภัยกว่าเยอะ…

“ยิ่งกว่านั้นก็คือไม่ว่ายังไงการสำรวจซากปรักหักพังในความฝันก็เป็นเรื่องจำเป็น ต้องรีบไขปริศนาให้เร็วที่สุดเพื่อขจัดอันตรายซ่อนเร้น ถ้ารอให้มีพลังวิเศษแล้วค่อยไปสำรวจก็จะมีความเสี่ยงน้อยกว่าด้วย”

ทว่าเมื่อคิดมาถึงตรงนี้ลูมิแอร์ก็ตื่นตัวขึ้นมา สลัดศีรษะไล่ความคิดนี้ทิ้งไป

ในใจเขาเริ่มทำการตรวจสอบทบทวนตัวเองทันที

“นี่ฉันคิดแบบนี้ได้ยังไง?

“มาดามปัวริสจะเป็นมิตรหรือศัตรูก็ยังไม่รู้แน่ชัดเสียหน่อย จะบุ่มบ่ามไปขอพลังวิเศษมาจากเธอได้ที่ไหนกัน?

“อืม… ที่เธอทำเมื่อตะกี้ก็ดูไม่เหมือนจะเป็นคนดีเท่าไหร่ แถมยังทำให้ฉันรู้สึกอันตรายอีกด้วย…

“ทำไมช่วงนี้ฉันถึงเป็นแบบนี้ไปได้นะ? เอาแต่ไล่ตามหาพลังวิเศษอย่างกระเหี้ยนกระหือและบุ่มบ่ามมุทะลุ ทำอย่างกับว่าถ้าไม่รีบได้รับมาเร็วๆ ก็จะต้องตายอย่างงั้นแหละ…”

ตอนที่ลูมิแอร์พบว่าพี่สาวเป็นผู้ใช้เวทก็เป็นเวลาเกือบสองปีมาแล้ว แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาเองจะเคยพยายามแสวงหาพลังวิเศษมาก่อนก็จริง แต่ก็ไม่ได้ทุ่มเทอุตสาหะเฉกเช่นในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ที่ไม่ว่าโอกาสนั้นจะดีหรือร้าย ไม่ว่าจะอันตรายหรือไม่ ขอเพียงแค่มองเห็นความหวังก็รู้สึกระงับความปรารถนาเอาไว้ไม่อยู่ เฉกเช่นคนที่ไม่ได้กินอะไรมาเนิ่นนาน เมื่อเห็นอะไรกินได้ก็หยิบฉวยเข้าปากกินโดยไม่เลือก

“ฟู่…ดีที่ยังสังเกตเห็นปัญหาได้ทันการ ไม่งั้นเส้นทางข้างหน้าอาจจะยิ่งทีก็ยิ่งเข้ารกเข้าพง ยิ่งทีก็ยิ่งรนหาที่มากขึ้น” ลูมิแอร์ถอนหายใจยาว รู้สึกโชคดีที่ความรู้สึกนึกคิดของตนเองกลับมาเป็นสภาพปกติดังเดิม

แน่นอนว่าการไล่ไขว่คว้าพลังวิเศษนั้นไม่อาจหยุดลงได้ เพียงแต่ต้องเลือกให้ดี ถึงอย่างไรความฝันอันตรายนั่นก็ได้เปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาแล้ว คลื่นใต้น้ำในหมู่บ้านเองก็ทวีความปั่นป่วนมากขึ้นทุกขณะ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

จากผู้แปล

บ่วงชะตากรรม : ราชันเร้นลับ 2

ตอนที่ 15 พูดคุยสอบถามข้อมูล