ตอนที่ 19 ทำสมาธิ
บ่วงชะตากรรม : ราชันเร้นลับ (ราชันโลกพิศวง) ภาคสอง
ตอนที่ 19 ทำสมาธิ
※ ※ ※ ※ ※
มาดามปัวริสไม่ได้อยู่คุยกับโอรอร์นานนัก หลังจากที่ผ่านไปเพียงสิบกว่านาทีพวกเธอก็เดินออกมาจากห้องหนังสือแล้ว
ลูมิแอร์เดินมาส่งมาดามปัวริสที่หน้าบ้านพร้อมกับพี่สาว
ส่งแขกเสร็จเขาก็หันมามองโอรอร์
“เขามาขอให้ช่วยทำอะไรเหรอ?”
โอรอร์เม้มปาก
“เธออยากให้ฉันไปช่วยร้องนำในช่วงเฉลิมฉลองสดุดีน่ะ แต่ฉันปฏิเสธไปแล้ว”
เทศกาลมหาพรตของหมู่บ้านกอร์ดูนั้นมีสามส่วนด้วยกัน หนึ่งคือขบวนพาเหรดอวยพรจาก ‘นางฟ้าฤดูใบไม้ผลิ’ สองคือพิธีริมน้ำ สามคือพิธีเฉลิมฉลองสดุดีที่จัดอยู่ในโบสถ์ ซึ่งในส่วนท้ายสุดนี้โดยหลักๆ จะเป็นการเล่นดนตรีและขับร้องประสานเสียง
สำหรับภูมิภาคดาริแยฌแล้ว ผู้ที่นำร้องเพลงนั้นส่วนมากมักจะเป็นคณะนักร้องประสานเสียงของโบสถ์ แต่เป็นเพราะในหมู่บ้านกอร์ดูไม่มีคณะนักร้อง จึงได้แต่ต้องหาคนที่ร้องเพลงเก่งมาแทน
ส่วนเรื่องเครื่องดนตรีนั้น พวกชาวบ้านไม่ได้กังวลในเรื่องนี้ ในหมู่บ้านที่มีประเพณีคนเลี้ยงแกะสืบทอดต่อมาแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นบทเพลงหรือเครื่องดนตรีต่างก็เป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันที่ไม่อาจขาดไปได้
พึงรู้ว่าเหล่าคนเลี้ยงแกะต้องใช้ชีวิตท่ามกลางป่าดงพงไพรอยู่นานปี ถ้าไม่อาศัยอยู่ในเพิงอยู่ในกระท่อมก็ขุดหลุมซุกตัว ดังนั้นสิ่งเดียวที่พวกเขาได้ใกล้ชิดบ่อยที่สุด หากไม่นับเพื่อนพ้องหรือฝูงแกะแล้ว ก็มีเพียงขลุ่ยที่พกติดตัวไปด้วยเท่านั้น
นอกเหนือจากการปล่อยสัตว์ไปกินหญ้า นั่งเล่นไพ่ หรือพูดคุยสนทนาแล้ว การเป่าขลุ่ยเพื่อใช้ดนตรีปลอบประโลมใจตัวเองนับเป็นสิ่งที่คนเลี้ยงแกะล้วนทำกันแทบทุกคน
ด้วยเหตุนี้จึงมีคำพูดที่ใช้อธิบายถึงคนเลี้ยงแกะที่ตกอยู่ในสภาพการณ์แร้นแค้นยากลำบากว่า ‘แม้แต่เสียงขลุ่ยก็ยังไม่มี’
การที่มีคนเลี้ยงแกะรอบตัวมากมายถึงเพียงนี้ ย่อมต้องส่งอิทธิพลต่อชาวบ้านคนอื่นๆ ในหมู่บ้านกอร์ดูในระดับหนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เวลาที่พวกเขามาจับกลุ่มรวมตัวพูดคุยสนทนากันที่ลานจัตุรัสของหมู่บ้านก็จะต้องมีคนเล่นเครื่องดนตรี บังเกิดเป็นท่วงทำนองอันไพเราะก้องกังวานไปทั่ว
“อื้อ” ลูมิแอร์เห็นพี่สาวมีจิตใจแน่วแน่แบบนี้ ในใจก็รู้สึกยินดี
การเฉลิมฉลองนั่นน่ะ แค่ไปร่วมชมความครึกครื้นก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปเป็นตัวหลักจริงจังหรอก แถมทำแบบนั้นจะเป็นการดึงดูดจิตไม่ประสงค์ดีโดยไม่จำเป็นอีกด้วย
ภายใต้สถานการณ์ที่มีแค่ตะเกียงน้ำมันก๊าดให้แสงสว่างเพียงอย่างเดียวเช่นนี้ หลังจากที่อ่านหนังสือไปเพียงครู่หนึ่งลูมิแอร์ก็ตัดสินใจเลิกอ่านเพื่อถนอมสายตา เขาไปล้างหน้าบ้วนปากแล้วปีนขึ้นเตียง นอนครุ่นคิดพิจารณาอย่างจริงจังว่าจะทำการทดลองที่ปลอดภัยได้อย่างไรว่าตัวเขาในความฝันนั้นมีอะไรที่พิเศษกันแน่
คำแนะนำของผู้หญิงคนนั้นมีความแม่นยำอย่างเหลือเชื่อติดต่อกันหลายครั้งแล้ว ทำให้เขาเชื่อคำพูดของเธออย่างหมดใจโดยไม่รู้ตัว
ยามค่ำคืนรัตติกาลอันเงียบสงัด ลูมิแอร์เข้าไปในความฝันอีกครั้งและตื่นขึ้นในนั้น
เขาคลำกระเป๋าตามนิสัยความเคยชิน ยืนยันได้ว่า 217 เฟลกิ้น กับ 25 ค็อปเพ็ต ที่เก็บเกี่ยวมาได้ยังคงนอนเอกเขนกอยู่ดีมีสุขในนั้น
ถอนใจโล่งอกเสร็จ ลูมิแอร์ก็คว้าขวานกับส้อมเหล็กแล้วลงบันไดตึงๆ ตรงไปที่เตา
ไฟมอดดับไปแล้ว
“ตอนที่ฉันไม่ได้ฝัน นาฬิกาของที่นี่ก็ยังคงเดินอยู่…” ลูมิแอร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ในความฝันที่ ‘เป็นจริง’ ถึงขนาดนี้ ตัวเองยังจะมีอะไรพิเศษได้อีกหรือ?
‘นาฬิกายังเดินอยู่’ เป็นคำติดปากของภูมิภาคดาริแยฌ ความหมายก็คือเวลาไม่หยุดรอคน จะเคลื่อนไปข้างหน้าตลอดเวลาตราบนานเท่านาน
ลูมิแอร์เดินกลับไปยังห้องนอนที่ตนเองคิดว่าปลอดภัยที่สุด เขาวางขวานกับส้อมเหล็กลง แล้วถอดเสื้อผ้าออก
จากนั้นเขาก็เดินไปที่หน้ากระจกเต็มตัวซึ่งติดไว้ที่ตู้เสื้อผ้า สำรวจตรวจตราเรือนร่างตนเองทั่วทุกซอกทุกมุมเพื่อดูว่ามีส่วนไหนที่ผิดแผกแตกต่างไปจากความเป็นจริงบ้าง
ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
“หรือว่าจะเป็นความพิเศษทางจิตวิญญาณ?” ลูมิแอร์ยังไม่ได้รีบร้อนสวมเสื้อผ้ากลับคืน แต่เดินไปที่เตียงนอนแล้วนั่งขัดสมาธิลงไปตามที่พี่สาวสอน
ก่อนหน้านี้เพื่อที่จะทำให้เขาอยู่ในสภาวะความฝันรู้ตัว โอรอร์จึงสอนวิธีการทำสมาธิอย่างผิวเผินให้เขาโดยไม่เกี่ยวข้องกับพวกปัจจัยลี้ลับใดใด ในขณะนี้เขาจึงคิดอยากจะทดลองดูว่าท่ามกลางความวิเวกเงียบสงัดอย่างสิ้นเชิงเช่นนี้จะสามารถสัมผัสรับรู้ถึงความพิเศษที่อาจจะมีอยู่บนร่างกายหรือในดวงจิตได้หรือไม่
ขั้นตอนแรกก็คือการปรับลมหายใจ
ลูมิแอร์สูดหายใจเข้าลึก ผ่อนออกอย่างเชื่องช้า ลดความถี่จำนวนครั้งของการหายใจ
ลมหายใจที่เข้าออกอย่างช้าๆ ลากยาวไปตามจังหวะของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า ลูมิแอร์ทำให้สมองของตัวเองปลอดโปร่งว่างเปล่า
ขณะเดียวกันเขาก็กำหนดจิตวาดเค้าโครงดวงอาทิตย์สีแดงขึ้นในใจ เพ่งความสนใจและความนึกคิดทั้งหมดไปที่พระอาทิตย์ดวงนั้นเพื่อขจัดความคิดที่วุ่นวายยุ่งเหยิงในใจออกไปให้หมดสิ้น
นี่เป็นเรื่องที่โอรอร์กำชับมาโดยเฉพาะ เธอบอกเขาว่าเวลาที่ทำสมาธินั้น สิ่งที่วาดขึ้นในมโนสำนึกให้เลือกสิ่งที่มีอยู่จริงและเป็นสิ่งแทนของแสงสว่าง เพื่อป้องกันไม่ให้พวกสิ่งสกปรกและความชั่วร้ายหมายตามาที่เขา
ในฐานะสาวกแห่ง ‘สุริยันนิรันดร’ สิ่งแรกที่ลูมิแอร์นึกถึงขึ้นมาจึงเป็นการเพ่งดวงอาทิตย์
จิตใจของเขาค่อยๆ สงบนิ่งลง โลกในการรับรู้ของเขาเหลือเพียงแค่ดวงอาทิตย์จรัสแสงสีแดงเพียงอย่างเดียว
แล้วฉับพลันนั้นลูมิแอร์ก็ราวกับได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังขึ้น
มันประหนึ่งว่ามาจากความสูงอันไร้ที่สิ้นสุด ทั้งยังเหมือนว่าดังอยู่ข้างหู เป็นเสียงที่อู้อี้ฟังไม่ชัดแต่กลับดังสนั่นปานอสนีบาตคำรามกึกก้อง
ท่ามกลางเสียงอื้ออึงยากอธิบาย หัวใจของลูมิแอร์เต้นระรัว ศีรษะประดุจถูกเหล็กแหลมเสียบแทงทะลุแล้วออกแรงคว้านอยู่หลายครั้ง
ความเจ็บปวดรุนแรงปะทุขึ้นในพริบตา แสงอาทิตย์ที่เจิดจ้ากลับกลายเป็นเลือดสดๆ แดงฉาน และถูกย้อมด้วยสีดำอย่างรวดเร็ว
ภาพในห้วงสมาธิแตกกระจาย
ลูมิแอร์ลืมตาโพลงขึ้นมา หอบหายใจหนักหน่วง รู้สึกประหนึ่งว่าตนเองใกล้สิ้นใจอยู่รอมร่อ
รอจนผ่านไปสิบกว่าถึงยี่สิบวินาที เขาถึงจะได้สติกลับคืนขึ้นมาจากประสบการณ์เฉียดตาย
เขารีบก้มศีรษะลงไปสำรวจตรวจสอบร่างกายตัวเองตามสัญชาตญาณทันที
แล้วเขาก็สังเกตเห็นว่าที่หน้าอกด้านซ้ายมีสิ่งประหลาดแปลกปลอมเพิ่มขึ้นมา
มันเป็นสัญลักษณ์คล้ายรูปหนามสีดำเข้ม ดูเหมือนงอกออกมาจากหัวใจแล้วยืดออกไปที่ข้างลำตัว พวกมันแต่ละอันเชื่อมต่อเรียงร้อยเข้าด้วยกันทีละอันๆ เหมือนห่วงโซ่ ยืดยาวออกไปยังแผ่นหลัง
ด้านบนของ ‘หนาม’ เหล่านี้เป็นลวดลายที่ดูคล้ายๆ ว่าน่าจะเป็นดวงตา กับเส้นๆ ที่ยึกยือบิดเบี้ยวเหมือนตัวหนอน พวกมันทั้งหมดล้วนเป็นสีดำเขียว
ณ ขณะนี้สิ่งที่ดูคล้ายรอยสักได้ค่อยๆ เลือนรางจางหายไปอย่างช้าๆ
ในตอนแรกนั้นลูมิแอร์เกิดความตระหนกตกใจ แต่หลังจากนั้นความคิดมากมายก็ผุดขึ้นไม่หยุด
เขาถลันลงจากเตียง รีบพุ่งตรงไปยังหน้ากระจกเต็มตัวแล้วเอียงแผ่นหลังเข้าหามัน
จากนั้นเขาก็พยายามเอี้ยวศีรษะไปทางซ้ายให้มากสุดเท่าที่จะทำได้เพื่อตรวจดูสภาพของแผ่นหลังตนเอง
เขาเห็นรอยเลือนรางของโซ่ที่ทำจาก ‘หนาม’ สีดำแผ่ยืดไปยังกลางหลังแล้วฝังตัวเข้าไปในร่างกายอีกครั้ง
หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ โซ่ ‘หนาม’ นี้ได้พันธนาการหัวใจกับร่างกายเขาเข้าด้วยกันในลักษณะของบ่วงคล้อง
“สัญลักษณ์มีสองแบบไม่เหมือนกัน เป็นสีดำกับสีเขียว… สีดำเขียวแบบนี้มันดูคุ้นๆ ชะมัด เอ๊ะ… มันคล้ายๆ กับที่อยู่บนตัวตาแก่นั่นที่ฉันเคยช่วยไว้ตอนที่ยังเร่ร่อนอยู่นี่นา… และตั้งแต่ตอนนั้นฉันก็เริ่มฝันถึงหมอกหนานี่…” ลูมิแอร์เริ่มวิเคราะห์ ‘ความพิเศษ’ บนร่างที่แตกต่างจากความเป็นจริง จนกระทั่งพวกมันเลือนหายไปจนหมดสิ้น มองไม่เห็นอีก
เมื่อเห็นดังนี้แล้วลูมิแอร์ก็รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง
แม้ว่าเขาจะหาสิ่งที่พิเศษเจอแล้วก็ตาม ทว่าเขากลับรู้สึกว่ามันไม่ได้มีความหมายอันใด
เพราะกระบวนการที่ชักนำให้มันปรากฏขึ้นมานั้นทำให้เขาเจ็บปวดแสนสาหัสแทบเจียนตายเลยทีเดียว
การตกอยู่ในสภาวะที่แทบจะสิ้นสติแล้วออกไปเผชิญกับสัตว์ประหลาดที่สะพายปืนลูกซองนั่นมันจะต่างอะไรกับส่งอาหารไปเสิร์ฟให้มันถึงที่กันล่ะ?
แต่ถ้าจะรอให้เขามีเรี่ยวแรงกลับมาต่อสู้ได้อีก ตอนนั้น ‘ความพิเศษ’ ก็แทบจะหายไปจนหมดเกลี้ยงแล้ว
สภาพอากาศในความฝันค่อนข้างหนาวเย็นเหมือนกับบนภูเขาช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ลูมิแอร์ที่เปลือยกายอยู่จึงรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนัก เขารีบสวมเสื้อผ้ากลับไปใหม่โดยเร็ว
เพียงแค่ทำเรื่องง่ายๆ เช่นนี้เขาก็เหน็ดเหนื่อยเต็มประดา แถมยังรู้สึกปวดหัวอยู่นิดหน่อยด้วย
เห็นได้ชัดว่าผลกระทบจากการนั่งสมาธิเมื่อครู่นี้ไม่อาจจะฟื้นฟูกลับมาได้ในเวลาอันสั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ลูมิแอร์จึงตัดสินใจยุติการสำรวจในค่ำคืนนี้ คิดจะไปนอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่ ไม่ได้พยายามต่ออีก
* * * * *
ในตอนที่เขาตื่นขึ้นมา ฟ้ายังไม่สาง
ลูมิแอร์มองดูความดำมืดภายในห้องและสีแดงเข้มเล็กน้อยจากริมหน้าต่าง ก่อนจะนึกทบทวนเรื่องราวในความฝันอย่างระมัดระวัง
“ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในความจริงฉันก็เคยนั่งสมาธิมาตั้งหลายครั้งแล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะได้ยินเสียงประหลาดอะไรนี่นา แถมยังไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดแม้แต่นิดเดียวด้วย…
“ความพิเศษมีอยู่แต่แค่ในความฝันงั้นเหรอ?” ลูมิแอร์ลุกขึ้นมานั่งด้วยความสงสัย และคิดว่าจะต้องพิสูจน์ยืนยันในเรื่องนี้
เขาทดลองนั่งสมาธิโดยทำตามขั้นตอนอีกครั้ง
ดวงอาทิตย์สีแดงฉานปรากฏขึ้นในใจเขาอย่างรวดเร็ว ความสับสนวุ่นวายในห้วงคำนึงค่อยๆ สงบลง
นี่ก็คือประสบการณ์การนั่งสมาธิที่ลูมิแอร์คุ้นเคย ไม่มีเสียงประหลาด ไม่มีความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ทั้งยังไม่มีประสบการณ์เฉียดใกล้ความตายอีกด้วย
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็เสร็จสิ้นการนั่งสมาธิ จากนั้นเขาก็ปลดกระดุมเสื้อ ก้มศีรษะลงไปมองที่ตำแหน่งหัวใจของตนเอง
แม้แต่เครื่องหมายเพียงเศษเสี้ยวก็ไม่มีปรากฏให้เห็น
“จริงด้วยสิ ความพิเศษของความฝันนั่นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความจริง…” ลูมิแอร์ไม่ทราบว่าตนเองควรดีใจหรือผิดหวังกันแน่
เขาเงยหน้ามองดูหน้าต่างที่ถูกผ้าม่านบังไว้ ความคิดอ่านล่องลอยออกไป ใคร่ครวญว่า ‘ความพิเศษ’ แบบนั้นในความฝันจะเอาไปใช้อะไรได้บ้าง และจะใช้โดยวิธีใด
แล้วในตอนนี้นี่เอง เขาก็มองเห็นว่านอกหน้าต่างเหมือนมีเงาดำอยู่ เป็นเงาที่ไม่ได้ใหญ่มากนัก
ม่านตาลูมิแอร์เบิกกว้างขึ้นมาโดยฉับพลัน ตลอดทั้งร่างสั่นสะท้านขึ้นทันที
ปฏิกิริยาตามสนองตามสัญชาตญาณที่สุดของเขาก็คือร้องเรียกพี่สาว แต่เขาก็คิดขึ้นได้ว่าตนเองกำลังอยู่ที่บ้าน โอรอร์เคยบอกไว้ว่าจะคอยมองดูทางด้านเขาเอาไว้ งั้นตอนนี้เธอก็น่าจะเห็นมันเข้าแล้ว ดังนั้นเขาจึงค่อยๆ ลุกลงจากเตียง เดินไปที่หน้าต่างอย่างช้าๆ
ระหว่างขั้นตอนนี้ลูมิแอร์เตรียมใจว่าจะถูกพี่สาวเรียกให้หยุดได้ทุกเมื่อ
แต่โอรอร์กลับไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมา
ลูมิแอร์มาถึงที่หน้าต่าง เขาจับผ้าม่านแล้วค่อยๆ ดึงเปิดออกอย่างระวัง
นอกหน้าต่างเป็นยามวิกาลอันเงียบสงัด ดวงจันทร์สีแดงเข้มลอยอยู่บนฟากฟ้า
ห่างออกไปไม่ไกลนัก บนกิ่งต้นเอล์มที่ใบไม้สั่นไหวอย่างแผ่วเบา มีนกฮูกตัวหนึ่งเกาะอยู่ที่นั่นอย่างเงียบเชียบ กำลังมองมาทางหน้าต่างที่ลูมิแอร์อยู่
ขนาดของมันใหญ่กว่าสัตว์ในวงศ์วานเดียวกันอยู่บ้าง ดวงตากลมแป๋วของมันไม่ได้ทึ่มทื่อ สายตาที่มองลูมิแอร์เจือด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก
เป็นนกฮูกตัวนั้น!
มันมาอีกแล้ว!
ลูมิแอร์ถึงกับหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะในทันที
นกฮูกตัวนี้ทำเหมือนครั้งก่อน หลังจากมองดูลูมิแอร์อยู่สิบกว่าวินาทีโดยไม่ได้ทำอะไร มันก็สยายกางปีกออก บินหายลับไปในค่ำคืนที่ดำมืด
“…” ลูมิแอร์พูดไม่ออกไปชั่วครู่
“สมองแกมีปัญหาหรือไง?
“มาถึงก็เอาแต่มองๆ ไม่พูดไม่จา แล้วก็บินไปทั้งอย่างนี้เนี่ยนะ!
“นี่แกเป็นใบ้หรือว่าตอนเกิดลืมเอาสมองมาด้วยกันแน่ ผ่านมาตั้งหลายปีขนาดนี้ก็ยังไม่รู้จักหัดพูดภาษาคนอีก”
ที่จริงแล้วลูมิแอร์ก็มีการคาดเดาถึงพฤติกรรมของนกฮูกตัวนั้นในแบบฉบับของตัวเองไว้เหมือนกัน เขาเชื่อว่าเป็นเพราะการมีอยู่ของพี่สาวก็เลยทำให้มันไม่กล้าลงมือทำอะไร ถึงอย่างไรโอรอร์ก็บอกแล้วว่าตอนกลางคืนขอเพียงแค่ไม่ออกจากบ้านไปไหนมาไหนก็เป็นอันว่าปลอดภัยไร้กังวล ถ้าหากเมื่อครู่นี้เขาบุ่มบ่ามทะเล่อทะล่าชะโงกหน้าออกไปนอกหน้าต่าง เกรงว่านกฮูกนั่นอาจจะไม่ได้บินจากไปอย่างเงียบๆ เหมือนเมื่อครู่นี้แน่
ด่าเสร็จแล้วลูมิแอร์ก็ตัดสินใจรูดม่านปิดแล้วนอนต่ออีกพักหนึ่ง
เขามองไปนอกหน้าต่างอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่แล้วจู่ๆ ก็ชะงักค้างไปอย่างฉับพลัน
ที่ชายป่าเล็กๆ ห่างออกไปสิบกว่าเมตร มีเงาร่างสายหนึ่งกำลังเดินอย่างเชื่องช้า
เธอสวมชุดกระโปรงยาวสีเข้มที่ทำจากผ้าดิบ เส้นผมเบาบางและหงอกขาว
“นาโรคา…” ลูมิแอร์จำร่างนั้นได้ทันที
นั่นก็คือนาโรคาที่ก่อนหน้านี้เขาไปสอบถามเกี่ยวกับเรื่องเล่าลือของผู้ใช้เวทนั่นเอง
ใบหน้าของนาโรคาราวกับแทบจะหลอมรวมอยู่ในความมืด ดวงตาภายใต้แสงจันทร์แดงก่ำนั้นสะท้อนประกายแปลกประหลาด การเคลื่อนไหวก็ดูแข็งทื่อผิดธรรมชาติประหนึ่งเป็นภูตผีที่กำลังล่องลอย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น