ตอนที่ 20 ประเพณี
บ่วงชะตากรรม : ราชันเร้นลับ (ราชันโลกพิศวง) ภาคสอง
ตอนที่ 20 ประเพณี
※ ※ ※ ※ ※
ลูมิแอร์กลั้นหายใจโดยอัตโนมัติพร้อมกับย่อตัวลงเล็กน้อย
นาโรคาไม่ได้ตรงมาทางด้านนี้ เธอค่อยๆ เดินเนิบนาบเข้าไปในป่าเล็ก ก่อนจะหายลับไปกับยามวิกาลอันมืดมิด
“สภาพเธอไม่ค่อยปกติเท่าไหร่… เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ลูมิแอร์กังวลเรื่องนี้อยู่บ้าง
สถานการณ์ของหมู่บ้านในช่วงระหว่างนี้ ยิ่งทีก็ยิ่งมีแต่เรื่องผิดปกติมากขึ้นทุกขณะ
เขามองดูด้านนอกอยู่ครู่หนึ่ง ค่ำคืนกลับสู่ความวิเวกเงียบสงัด มีเพียงแค่ใบไม้ไหวเท่านั้นที่ยืนยันว่ายังคงมีสายลมพัดผ่าน
“นายดูอะไรอยู่น่ะ?” จู่ๆ เสียงของโอรอร์ก็ดังขึ้นที่ด้านหลังของเขา
ลูมิแอร์ไม่ได้แปลกใจ เขากลับหลังหันมาด้วยความยินดี แล้วพูดกับพี่สาวที่สวมชุดนอนแบบสองชิ้นอยู่
“เธอเองก็สังเกตเห็นความผิดปกติใช่ไหม”
“เปล่า” ผมบลอนด์ของโอรอร์ยุ่งฟูอยู่เล็กน้อย มองในแว่บแรกก็รู้ว่าเพิ่งจะลุกจากเตียง
จากนั้นเธอก็พูดต่อทันทีด้วยอารมณ์ไม่สู้ดี
“ฉันไม่เห็นอะไรผิดปกติทั้งนั้นแหละ เห็นแค่ว่ามีคนที่ดึกดื่นครึ่งคืนไม่ยอมหลับยอมนอน มายืนจ้องหน้าต่างอยู่ได้”
“ดึกดื่นครึ่งคืนที่ไหนกัน อีกไม่ถึงชั่วโมงฟ้าก็สางแล้ว…” ลูมิแอร์บ่นอุบอิบเบาๆ ตามนิสัย จากนั้นก็เอ่ยขึ้น “เธอมานี่ก็เพราะนกฮูกตัวนั้นบินมานอกหน้าต่างไม่ใช่หรือไง? แล้วทำไมถึงไม่เห็นนาโรคาข้างนอกนั่นล่ะ?”
“นาโรคา?” โอรอร์เผยสีหน้างุนงงที่ยากจะได้เห็น
ลูมิแอร์ไม่ได้ปิดบังอะไร เขาเล่าตั้งแต่ที่ตนเองตื่นขึ้นมาก็เจอเงาดำนอกหน้าต่าง จนกระทั่งมาถึงเรื่องที่นาโรคาเดินเข้าไปในป่าเล็กด้วยสภาพแปลกๆ
ส่วนเรื่องของความพิเศษที่เกิดขึ้นจากการนั่งสมาธิในความฝัน เขาตั้งใจว่าจะปรึกษากับผู้หญิงลึกลับคนนั้นเสียก่อนถึงค่อยพิจารณาว่าจะเล่าให้โอรอร์ฟังอย่างไรดี หรือไม่ก็เก็บเป็นความลับไว้ชั่วคราวเพราะเกรงว่าพี่สาวจะห้ามเอาไว้ ไม่ให้ตนเองได้พลังวิเศษมา
วงคิ้วสีบลอนด์งดงามของโอรอร์ขมวดขึ้น
“อาจจะเกิดปัญหากับนาโรคาก็ได้…
“ไว้ฟ้าสางแล้วนายไปดูๆ ที่บ้านพวกเขาหน่อยละกัน”
“มีปัญหาอะไรเหรอ?” ลูมิแอร์ถามออกมาตามจิตใต้สำนึก
“ฉันจะไปรู้ได้ไง? เห็นก็ไม่ได้เห็นเสียหน่อย แล้วจะให้พูดชัดๆ แบบเจาะจงลงไปได้ไงยะ” โอรอร์ตอบอย่างหงุดหงิด
“นี่เธอไม่เห็นจริงๆ งั้นเหรอ?” ลูมิแอร์คิดว่าพี่สาวจะคอยจับตาสอดส่องทางด้านเขาเอาไว้ตลอดเวลาเสียอีก
โอรอร์แค่นเสียง “เฮอะ” ออกมาคำหนึ่ง
“นายคิดว่าฉันอยากดูอะไรก็ดูได้ตามใจชอบหรือไง? ถ้าเกิดไปดูของอะไรที่ไม่ควรดูเข้า งั้นนายก็ต้องไปหาแล้วล่ะว่าจะเอาฉันไปฝังไว้ที่สุสานไหนดีน่ะ
“ถ้าไม่เกิดเรื่องอะไร ฉันก็ไม่มองไปข้างนอกหรอก แค่คอยตรวจสอบสภาพของนายเท่านั้น ไว้ให้เกิดอะไรผิดปกตินั่นแหละถึงจะลุกขึ้นมา”
การเฝ้าดูฉันทำให้พี่ต้องเสี่ยงอันตรายถึงขนาดนี้เลยงั้นเหรอ… ลูมิแอร์อึ้งไปชั่วขณะ อดกะพริบตาไม่ได้
โอรอร์พูดเสริมด้วยสีหน้าจริงจัง
“นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมฉันถึงบอกนายว่าอย่าดูในสิ่งที่ไม่ควรดู อย่าฟังในสิ่งที่ไม่ควรฟัง การไล่ตามหาพลังวิเศษน่ะเป็นเรื่องอันตรายสุดๆ”
“ฮื่อ” ลูมิแอร์ผงกศีรษะอย่างหนักแน่น
ขณะเดียวกันเขาก็พูดเงียบๆ ในใจ
“ก็เพราะว่ามันอันตรายน่ะสิ ฉันถึงปล่อยให้เธอเดินไปบนทางเส้นนี้คนเดียวไม่ได้ไงล่ะ”
* * * * *
จัดการมื้อเช้าเสร็จแล้ว ลูมิแอร์ก็ตรงดิ่งไปที่บ้านนาโรคาตามภาระที่พี่สาวมอบหมายให้
แต่เขายังไม่ทันเข้าไปใกล้ ก็เห็นว่ามีชาวบ้านหลายคนยืนอยู่หน้าบ้าน ซึ่งนี่ก็รวมถึงเพื่อนของตัวเองด้วยเช่นกัน รวมทั้งกีโยม ลิเซียร์ พ่อของเอวา - ปีแอร์ เกร็ก พ่อของแรมุนด์ - ป็องส์ เบอเน็ต น้องชายของบาทหลวงประจำโบสถ์ และคนอื่นๆ
“เกิดอะไรขึ้น?” ลูมิแอร์เดินอ้อมอย่างระวังเพื่อหลบป็องส์ เบอเน็ตกับพวกอันธพาลสองสามคนที่ห้อมล้อมเขาอยู่ จนมาถึงข้างแรมุนด์
แรมุนด์ตอบอย่างเศร้าสร้อย
“นาโรคาเสียแล้ว”
“อะไรนะ?” แม้ว่าลูมิแอร์เตรียมใจแล้วว่าต้องเกิดเรื่องกับนาโรคา แต่ก็คิดไม่ถึงแม้แต่น้อยว่าเธอจะเสียชีวิตไปแล้ว
แรมุนด์พูดต่อ
“บาทหลวงประจำโบสถ์มาปลอบขวัญก่อนสิ้นใจให้เธอตั้งแต่เช้ามืด
“สองวันก่อนตอนที่พวกเรามาหาถามเธอเรื่องตำนานผู้ใช้เวท เธอก็ยังดีๆ อยู่เลย ยังสดใสแข็งแรง แล้วทำไมจู่ๆ ถึงมาจากไปอย่างกะทันหันแบบนี้ได้นะ…”
ตั้งแต่เช้ามืดงั้นเหรอ? ในใจลูมิแอร์เกิดตระหนกขึ้นมา
ช่วงเวลาที่เขาเห็นร่างนาโรคากับเวลาที่บาทหลวงประจำโบสถ์มาปลอบขวัญก่อนสิ้นใจเป็นเวลาที่ค่อนข้างใกล้เคียงกัน ไม่ทิ้งกันเท่าไร
งั้นที่ฉันเห็นนั่นก็คือผีของนาโรคาจริงๆ งั้นเหรอ? เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากที่นกฮูกตัวนั้นบินมาดูฉัน… มันพรากวิญญาณมนุษย์ไปได้จริงๆ เหรอเนี่ย? อืม…นาโรคาเป็นหนึ่งในคนที่ยังมีชีวิตอยู่ตั้งแต่เหตุการณ์ผู้ใช้เวทในตอนนั้น… นี่ถ้าฉันไม่เชื่อฟังคำพูดพี่แล้วออกจากบ้านตอนกลางคืน สงสัยว่าคนที่บาทหลวงประจำโบสถ์จะมาปลอบขวัญก่อนสิ้นใจก็คงจะเป็นฉันแล้วล่ะ… เฮอะ การปลอบขวัญของเขาต้องมาถ่มถุยใส่ฉันแหง… ความคิดสารพัดสารพันผุดขึ้นในหัวของลูมิแอร์
แรมุนด์ไม่ได้คุยอะไรต่ออีก เขายืนอยู่หน้าบ้านสองชั้น ไว้อาลัยให้นาโรคาอย่างเงียบๆ
หลังจากลูมิแอร์สงบสติอารมณ์ลงแล้ว เขาก็เห็นไรอัน ลีอาห์ วาเลนไทน์ คนต่างถิ่นทั้งสามเดินเข้ามา
“ที่นี่มีเรื่องอะไรกันเหรอ?” ลีอาห์ถามขึ้นก่อนโดยไม่รอให้ลูมิแอร์ทักทาย
ตอนพวกเขาเดินอยู่บนถนนก็มองเห็นว่าที่นี่มีคนมารวมกันมากมาย
ลูมิแอร์ถอนหายใจแล้วพูดขึ้น
“กะหล่ำปลีของผม แม่เฒ่าคนหนึ่งที่ชาวบ้านนับถือเสียชีวิตน่ะ”
“แล้วทำไมพวกเขาถึงมายืนอยู่นอกบ้านกันล่ะ?” ลีอาห์ยังไม่ได้กล่าวแสดงความเสียใจออกมาเพราะคำพูดของลูมิแอร์ดูไม่น่าเชื่อถือเท่าไร
เธอยังคงสวมชุดที่สวมเมื่อก่อนหน้านี้
ลูมิแอร์จ้องมองตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างชัดเจน ทำให้ลีอาห์รู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง
“มีอะไรเหรอ?” ไรอันเอ่ยขึ้น
ลูมิแอร์ยิ้มให้
“พวกคุณต้องไม่ใช่คนดาริแยฌแน่เลย”
“พวกเรามาจากบีกอร์น่ะ” ไรอันตอบออกมาตามตรง
บีกอร์เป็นเมืองหลักของจังหวัดรีสตง [1] ในสาธารณรัฐอินทิส ส่วนดาริแยฌเป็นเมืองที่ติดกับทางใต้ของจังหวัดรีสตง มันเป็นเขตการปกครองที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ซึ่งรวมหมู่บ้านกอร์ดูเอาไว้ด้วย
“มิน่าล่ะพวกคุณถึงไม่รู้ประเพณีของดาริแยฌ” ลูมิแอร์ผงกศีรษะ
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าคนต่างถิ่นทั้งสามเป็นคนของทางการจากดาริแยฌ แต่กลับกลายเป็นว่ามาจากเมืองหลักบีกอร์
ดูท่าแล้วคงมีสถานภาพสูงกว่าที่ฉันคิดเอาไว้เยอะเลยแฮะ… ลูมิแอร์ปรับปรุงข้อมูลการประเมินพวกลีอาห์อย่างเงียบๆ
“ประเพณีเป็นไงเหรอ?” ลีอาห์ถามด้วยความสนใจ “เล่าให้เราฟังหน่อยได้หรือเปล่า?”
เดิมทีลูมิแอร์ก็ต้องการสานสัมพันธ์กับพวกเขาอยู่แล้ว จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ทำไมจะบอกไม่ได้ล่ะ ก็พวกคุณคือกะหล่ำปลีของผมนี่นา
“อย่างที่พวกคุณรู้นั่นแหละ คนทุกคนต่างก็มีราศีของตัวเอง และในเขตดาริแยฌนี่พวกเราก็ยังเชื่อกันว่าแต่ละครอบครัวต่างก็มีราศีประจำครอบครัวที่ส่งผลให้เกิดเป็นโชคชะตาดังกล่าวด้วย ซึ่งความตายและงานศพของคนในบ้านจะพรากเอาโชควาสนานี้ไป โดยเฉพาะการเสียชีวิตของหัวหน้าครอบครัว
“เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อราศีและเป็นการรักษาโชคชะตาของครอบครัวเอาไว้ ดังนั้นก่อนจะนำผู้ตายไปฝัง เราจะตั้งไว้ที่กลางบ้านหรือก็คือห้องครัวนั่นแหละ จากนั้นก็จะตัดผมกับตัดเล็บของเธอออกมาส่วนหนึ่งเอาซ่อนไว้ในบ้านตลอดไป ต้องเก็บให้มิดชิด ห้ามแขกคนไหนหาเจอเด็ดขาด
“ในเวลาแบบนี้ ถ้าเกิดคนที่มาร่วมงานศพเข้าไปในบ้าน ก็จะส่งผลกระทบต่อราศีที่เกี่ยวข้อง จะเอาโชคไปส่วนหนึ่ง ดังนั้นเวลาเราไปร่วมงานศพก็จะไว้อาลัยกันอยู่นอกบ้าน อย่างมากสุดก็ทำได้แค่ยืนมองเข้าไปจากประตูบ้านเท่านั้น หลังจากนั้นก็ไปรออยู่ที่สุสานข้างโบสถ์”
“แบบนี้นี่เอง” ไรอันผงกศีรษะเบาๆ “ที่โบสถ์ใหญ่ในทุกๆ ภูมิภาคเองก็ไม่ต่างกัน ‘ที่ใดมีองคาพยพอันศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่ ที่นั่นย่อมมีนักบุญดำรงไว้ตราบนานเท่านาน’ ”
เขาหมุนตัวหันกลับมาทางบ้านนาโรคา ถอดหมวกทรงสูงมาวางไว้ที่หน้าอก กล่าวไว้อาลัย
ลีอาห์กับวาเลนไทน์เองก็แสดงความไว้อาลัยด้วยเช่นกัน
จนกระทั่งเมื่อพวกเขาเสร็จสิ้นพิธีการแล้ว ลูมิแอร์จึงได้เอ่ยขึ้น
“ผมจะไปลาเธอที่หน้าประตู ไว้เจอกันใหม่นะ กะหล่ำปลีของผม”
“ได้” ไรอันผงกศีรษะเบาๆ
ลูมิแอร์ลดเสียงแล้วพูดเสริมอีกประโยค
“ผมจะช่วยพวกคุณหาปูมประติทินเล่มนั้นให้”
โดยไม่รอให้พวกลีอาห์ตอบอะไร เขาก็ถอยไปด้านข้างหนึ่งก้าวพร้อมพูดด้วยรอยยิ้ม
“ทำไมพวกคุณถึงสวมเสื้อผ้าเหมือนเดิมทุกวันเลยล่ะ?”
“เวลาที่ต้องไปพักต่างถิ่นหลายๆ วัน เรื่องแบบนี้มันก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ” ไรอันตอบง่ายๆ ในขณะที่ลีอาห์ยกมือขึ้นมาแตะกระดิ่งที่ห้อยไว้บนผ้าคลุมศีรษะตนเองตามจิตใต้สำนึก
เมื่อกล่าวอำลาพวกวาเลนไทน์แล้ว ลูมิแอร์ก็เดินไปที่ประตูบ้านนาโรคา
หลังจากต่อแถวอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็มาถึงรอบของเขา
เขายืนข้างประตู มองไปยังห้องครัวที่อยู่ด้านหน้า
ศพนาโรคาที่ยังไม่ได้ถูกบรรจุไว้ในโลงศพ นอนอยู่อย่างเงียบสงบบนม้านั่งหลายตัวที่ต่อกันเป็นเตียงแบบเรียบง่าย
เล็บเธอถูกตัดออกไป เส้นผมหงอกบางของเธอดูเรียบร้อยกว่าเดิมมาก
ใบหน้าเธอซีดเขียว มีรอยเหี่ยวย่นเพิ่มขึ้น ขนาดลูมิแอร์ที่เป็นชายหนุ่มใจกล้าก็ยังไม่กล้ามองนานเกินไป
“เทียบกับที่เห็นเมื่อตอนเช้ามืด ตอนนี้หน้าเธอเขียวกว่าเดิมอีก…” ลูมิแอร์พูดในใจ โค้งคำนับเล็กน้อยแล้วออกจากหน้าประตู
ระหว่างทางไปสุสานกับแรมุนด์ จู่ๆ เขาก็ตบหัวตัวเอง
“เอ้า… ลืมบอกโอรอร์ซะสนิทเลย”
“งั้นนายก็รีบไปเถอะ” แรมุนด์แสดงสีหน้าว่าเข้าใจ
เวลาส่วนใหญ่โอรอร์ไม่ชอบออกไปไหนมาไหน ถ้าไม่มีน้องชาย เกรงว่าเธอคงไม่ทราบจริงๆ ว่าในหมู่บ้านมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นบ้าง
ลูมิแอร์รีบตามน้ำทันที
“บังเอิญจัง ที่นี่อยู่ไม่ห่างจากบ้านนายเท่าไหร่ งั้นฉันขอยืมปูมประติทินบ้านนายสักสองวันสิ พอดีว่าเจ้าหนูตัวแสบมันแทะหนังสือบ้านฉันไปสองสามหน้า เลยจะคัดเก็บไว้หน่อยน่ะ”
“ได้สิ” แรมุนด์รับปาก
ถึงอย่างไรกว่าจะถึงพิธีศพก็ยังมีเวลาอีกพักใหญ่
* * * * *
“นาโรคาเสียแล้ว” ลูมิแอร์ซ่อนปูมประติทินเรียบร้อยก็กลับเข้าบ้านไปบอกโอรอร์
โอรอร์อดทอดถอนใจไม่ได้
“เกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ด้วย
“ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนกฮูกตัวนั้นหรือเปล่า…”
“ฉันเองก็สงสัยแบบนั้นเหมือนกัน” ลูมิแอร์เห็นด้วยกับพี่สาว
โอรอร์ร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง
“หลังจากฟ้ามืดแล้ว นายห้ามออกจากบ้านเด็ดขาดเลยนะ
“แล้วนายก็ต้องไปหาวิธีเตือนคนที่ไปตามสืบเรื่องตำนานผู้ใช้เวทกับนายด้วยเหมือนกัน”
“ตกลง” ลูมิแอร์เพิ่งจะขู่แรมุนด์ไปว่า “นาโรคาเพิ่งจะถูกถามเรื่องผู้ใช้เวทไปไม่ถึงสองวันก็ตายแล้ว” เพื่อให้เขาไม่ออกจากบ้านในระยะนี้หลังจากที่ฟ้ามืดแล้ว
“นาโรคาเป็นคนดี เดี๋ยวฉันไปเปลี่ยนชุดก่อน จะได้ไปร่วมพิธีศพเธอ” ขณะที่โอรอร์กำลังจะเดินขึ้นบันไดก็เอ่ยถามขึ้นมา “นายจะไปพร้อมกับฉันเลย หรือว่าจะอยู่บ้านอ่านหนังสือทำแบบฝึกหัดก่อนแล้วค่อยไปล่ะ”
เวลาแบบนี้ยังจะให้ทำแบบฝึกหัดอีกเนี่ยนะ? บางครั้งลูมิแอร์ก็สุดแสนจะไม่เข้าใจวิธีคิดของพี่สาวเสียเลย
แต่หลังจากที่ใคร่ครวญเรื่องเอาปูมประติทินมาเทียบหาตัวหนังสือที่หายไป เขาก็บอกกับโอรอร์
“ฉันทำแบบฝึกหัดก่อนค่อยตามไปละกัน”
“ดีมาก” โอรอร์ค่อนข้างปลื้มใจ
ครั้นเมื่อมองดูพี่สาวออกจากบ้านไปแล้ว สีหน้าลูมิแอร์ก็กลายเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา
เขาขึ้นไปบนชั้นสอง เข้าไปในห้องหนังสือ หยิบปูมประติทินที่ยืมมาจากบ้านแรมุนด์ เอามาเทียบกับเล่มของบ้านตัวเองที่ถูกตัดบางคำออกไป
เวลาค่อยๆ เคลื่อนคล้อย คำที่หายไปค่อยๆ ถูกหาเจอทีละคำๆ และจดลงบนกระดาษเปล่า
ลูมิแอร์จัดข้อความอย่างตั้งใจอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็เอาจำนวนคำมาเรียงได้เป็นสองประโยค
เนื้อหาของจดหมายขอความช่วยเหลือที่น่าจะเป็นไปได้ ปรากฏแก่สายตาของเขาอย่างรวดเร็ว
‘พวกเราต้องการความช่วยเหลือด่วนที่สุด
‘คนรอบข้างแปลกประหลาดมากขึ้นทุกที’
* * * * *
[1] จากนี้ขอเปลี่ยนชื่อจังหวัด ‘รีสตัน’ (莱斯顿省) เป็น ‘รีสตง’ ตามสำเนียงการออกเสียงในภาษาฝรั่งเศสนะครับ [ทวีต]
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น