ตอนที่ 21 วิธีรับมือ
ราชันเร้นลับ (ราชันโลกพิศวง) ภาคสอง : บ่วงชะตากรรม
ตอนที่ 21 วิธีรับมือ
※ ※ ※ ※ ※
ลูมิแอร์มองดู ‘จดหมายขอความช่วยเหลือ’ ที่กู้คืนมาแล้วก็จมอยู่ในความเงียบเป็นนานสองนาน
ถึงแม้ว่าเนื้อหาในจดหมายจริงๆ แล้วอาจจะไม่ได้เป็นแบบนี้ก็ได้ ถ้าหากไม่ได้สนใจความหมายของรูปประโยค คำเหล่านี้ก็สามารถนำมาสร้างเป็นประโยคอื่นได้เหมือนกัน อย่างเช่น ‘พวกเราแปลกประหลาดมากขึ้นทุกที คนรอบข้างต้องการความช่วยเหลือด่วนที่สุด’ อะไรทำนองนี้ แต่นี่ก็ทำให้เขารู้สึกในใจหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูก ราวกับมีอะไรมากดทับหัวใจเอาไว้
ถ้าเป็นในอดีต เขาคงจะคิดว่าคนส่งจดหมายกำลังเล่นตลกอยู่เป็นแน่ ทว่าในเวลานี้หมู่บ้านกอร์ดูมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดมากขึ้นทุกขณะ และนี่เป็นเพียงแค่ส่วนที่เขาพบในตอนนี้เท่านั้น
“จะแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้ แกล้งทำเป็นว่าไม่มีเรื่องเกิดขึ้นก็ไม่ได้เหมือนกัน…
“พี่เคยพูดว่าคนที่มีสติปัญญาเป็นปกติต้องรู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหาง ถ้าเห็นกำแพงใกล้จะพังก็อย่าไปยืนแถวนั้น…”
ลูมิแอร์ได้สติกลับมา เขารีบตัดสินใจอย่างฉับไว
ต้องพาพี่สาวออกจากหมู่บ้านกอร์ดูให้เร็วที่สุด!
ส่วนเรื่องความผิดปกติของที่นี่ ย่อมต้องมีคนของทางการมาจัดการอยู่แล้ว ชาวบ้านที่นี่เองก็ต้องได้รับการปกป้องจากพวกเขาอย่างแน่นอน ลูมิแอร์ไม่ได้มีภาระหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ ทั้งยังไม่มีความสามารถมากพอจะแบกรับไหวด้วย
“นอกจากนี้ก็ต้องเร่งมือสำรวจซากปรักหักพังในความฝันให้มากกว่าเดิม ต้องทุ่มเทเพื่อให้ได้พลังวิเศษมาโดยด่วน เผื่อไว้ว่าระหว่างออกไปจากที่นี่อาจจะเกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้นมา…” ยิ่งความคิดลูมิแอร์ชัดเจนเท่าไร ในใจก็ยิ่งร้อนรนมากขึ้นเท่านั้น
ที่เขากลัวที่สุดก็คือกลัวว่าตนเองกับพี่สาวยังไม่ทันจะออกจากหมู่บ้านกอร์ดู ความผิดปกติก็ปะทุขึ้นมาเสียก่อน หากเป็นเช่นนั้น อย่างน้อยเขาจะต้องไม่เป็นตัวถ่วงแข้งถ่วงขาของพี่สาว ดังนั้นเงื่อนไขเบื้องต้นก็คือเขาจำเป็นต้องแข็งแกร่งให้มากกว่านี้
คิดมาถึงตรงนี้ลูมิแอร์ก็วางปูมประติทินของบ้านตนเองกลับคืนที่เดิม ก่อนจะคว้ากระดาษแผ่นที่เมื่อครู่เขียนคำและประโยคลงไปในนั้น รีบจ้ำลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว
เขาตั้งใจเดินมาที่เตาแล้วโยนกระดาษแผ่นนั้นเข้าไปในกองไฟ
ออกจากบ้านมาแล้ว ลูมิแอร์ก็ตรงไปที่ร้านเหล้าเก่า
ประตูร้านเหล้าปิดอย่างแน่นหนา แสดงว่ามอริส เบอเน็ตเจ้าของร้านเหล้าที่ควบหน้าที่บาร์เท็นเดอร์ไปด้วยน่าจะไปร่วมพิธีศพของนาโรคาแล้ว
แต่ในฐานะที่เป็นเรือนแรมแบบพาร์ตไทม์ควบคู่กัน จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะล็อกประตูลงกลอนหมดทั้งร้านจนลูกค้าที่มาพักแรมเข้าออกไม่ได้
ลูมิแอร์เดินไปตามทางเล็กๆ แล้วผลักประตูหลังร้านให้เปิดออก
เมื่อมาถึงทางขึ้นลงบันได เขาก็กวาดตามองไปทั่วโถงต้อนรับ แต่ไม่เห็นใครสักคน
ตึก! ตึก! ตึก!
ลูมิแอร์เดินขึ้นชั้นสองก่อนจะหยุดที่หน้าห้องของผู้หญิงลึกลับคนนั้น
เมื่อดูแล้วว่าไม่มีป้าย ‘กำลังพักผ่อน กรุณาอย่ารบกวน’ แขวนเอาไว้ ลูมิแอร์จึงสูดหายใจเข้าแล้วผ่อนออกช้าๆ จากนั้นก็งอนิ้วเคาะที่บานประตูไม้เบาๆ
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เขาคาะสามครั้งติดๆ กัน แต่ภายในห้องไม่มีเสียงความเคลื่อนไหวดังออกมา
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
ลูมิแอร์เคาะประตูแรงขึ้น แต่ก็ยังไม่มีใครตอบรับอยู่ดี
เขาเคาะต่ออีกสองสามครั้ง ภายในห้องยังคงเงียบกริบ
“ไม่อยู่เหรอ?” ลูมิแอร์ขมวดคิ้ว “ไปร่วมพิธีศพนาโรคาหรือเปล่านะ?”
เขาไม่เสียเวลาอยู่ต่ออีก เดินลงจากชั้นสอง ออกจากร้านเหล้า แล้วตรงไปยังสุสานที่อยู่ข้างโบสถ์
ระหว่างทางเขาผ่านบ้านนาโรคาอีกครั้ง
เวลานี้กลุ่มคนซึ่งมาอำลาศพที่หน้าบ้านจากกันไปหมดแล้ว ไปรอกันอยู่ที่สุสาน
ลูมิแอร์เหลือบมองจากระยะไกล แล้วทันใดนั้นก็เห็นว่าป็องส์ เบอเน็ตน้องชายของบาทหลวงประจำโบสถ์ออกมาจากข้างในบ้าน
“นี่มัน…” เขาอึ้งไปชั่วขณะ เอนตัวไปทางบ้านข้างๆ ตามจิตใต้สำนึก ย่อตัวหาที่กำบัง
ในช่วงระหว่างที่จัดงานศพ ไม่ใช่ว่าเขาห้ามเข้าบ้าน จะได้ไม่ส่งผลกระทบต่อราศี เอาโชคลาภไปหรือไง?
ป็องส์ เบอเน็ตหยุดอยู่ที่ประตูบ้านนาโรคา พูดคุยเบาๆ กับชายวัยกลางคนซึ่งเป็นลูกชายคนสุดท้องของหญิงชราที่ชื่อว่าอาร์โนลต์ อังเดร
รอจนกระทั่งป็องส์ เบอเน็ตจากไปแล้ว อาร์โนลต์ก็ล็อกประตูบ้าน ออกไปยังสุสาน
“การตายของนาโรคามีอะไรแปลกๆ” ลูมิแอร์ขมวดคิ้วพึมพำกับตัวเองอย่างไร้เสียง
ในเวลานี้เขารู้สึกว่าการตายของนาโรคาไม่แน่ว่าต้องเกิดจากนกฮูกตัวนั้น แต่น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องประหลาดที่พวกบาทหลวงประจำโบสถ์แอบทำกันมากกว่า
บางทีนกฮูกนั่นก็เพียงแต่ทำตามหน้าที่ของตัวเอง มันมาที่หมู่บ้านกอร์ดูเพื่อนำพาดวงวิญญาณของผู้ตายไป จากนั้นระหว่างทางก็แวะหยุดดูลูมิแอร์อยู่ครู่หนึ่งเท่านั้น
แต่แน่นอนว่าลูมิแอร์ยังมีการคาดเดาที่น่ากลัวยิ่งกว่านี้อีก นั่นคือ…
ดีไม่ดีพวกนักบวชประจำโบสถ์นั่นอาจจะมีความเกี่ยวพันบางอย่างกับนกฮูกตัวนั้นก็ได้!
ความแปลกประหลาดของพวกเขา เรื่องที่พวกเขาแอบทำกัน แรกเริ่มเดิมทีอาจจะมาจากสิ่งของของผู้ใช้เวทที่เหลืออยู่จากตอนนั้นก็ได้
“ก่อนจะออกจากหมู่บ้านกอร์ดู ต้องหาโอกาสบอกเรื่องที่ฉันเดานี่ให้พวกไรอันลีอาห์รู้หน่อย หวังว่าพวกเขาจะสามารถสืบหาความจริงได้เร็วที่สุดและแก้ปัญหาได้เร็วที่สุด” ลูมิแอร์ละสายตากลับมา ระหว่างที่พึมพำอยู่ในใจก็เดินไปที่โบสถ์ ‘สุริยันนิรันดร’
ระหว่างในพิธีศพ ลูมิแอร์ดูเงียบและเคร่งขรึม แต่ที่จริงเขาลอบสังเกตชาวบ้านแต่ละคนไม่วางตา หวังว่าจะพบความผิดปกติใดๆ ได้จากสีหน้าท่าทางของพวกเขา
แต่น่าเสียดายที่ไม่มีอะไรทั้งนั้น
ทว่าเขาก็เหมือนจะตาฝาดรู้สึกไปว่าคนในหมู่บ้านบางคนอาจจะสวมหน้ากากอะไรบางอย่างปิดบังเอาไว้…
และหญิงลึกลับที่ให้ไพ่ทาโรต์เขามาคนนั้นไม่ได้ปรากฏตัวในพิธีศพ
* * * * *
ช่วงเวลาใกล้สนธยา ภายในบ้านสองชั้นกึ่งใต้ดิน
“ไหนกระดาษที่นายทำแบบฝึกหัดล่ะ?” โอรอร์เหลือบมองน้องชายที่เดินอยู่ข้างหน้าแล้วถามอย่างไม่จริงจังนัก “เอามาให้ฉันดูหน่อย”
ลูมิแอร์พูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“ฉันมีเรื่องจะบอก”
โอรอร์กวาดมองทั่วใบหน้าเขา
“จะบอกว่ามีสัตว์ป่าสักตัวในหมู่บ้านมาเอากระดาษแบบฝึกหัดของนายไปอีกแล้วใช่ไหม?”
“ไม่ใช่” ลูมิแอร์พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ฉันได้ยินเรื่องบางอย่างจากคนต่างถิ่นพวกนั้นมา”
โอรอร์ระงับรอยยิ้ม ผงกศีรษะบ่งบอกว่าให้พูดต่อ
ลูมิแอร์เริ่มเล่าตั้งแต่ที่พวกไรอันตามสืบหาจดหมายขอความช่วยเหลือ บอกเรื่องความผิดปกติของปูมประติทินเล่มที่บ้าน พูดเกี่ยวกับความสงสัยที่มีต่อมาดามปัวริส และเอ่ยถึงเรื่องที่ตนเองไปขอหยิบยืมปูมประติทินจากบ้านแรมุนด์มาเพื่อหาเนื้อความของจดหมายขอความช่วยเหลือ
สุดท้ายเขาก็เสนอขึ้นว่า
“พวกเรารีบออกจากหมู่บ้านกันเถอะ ยิ่งเร็วยิ่งดี ไปที่ดาริแยฌ ไม่สิ… ไปบีกอร์ ไปอยู่ที่นั่นกันสักพัก”
โอรอร์ไม่ได้ตอบออกมาทันที เธอครุ่นคิดอยู่สิบกว่าวินาทีถึงจะเอ่ยขึ้น
“นี่เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้จริงๆ นั่นแหละ
“แต่มีปัญหาอยู่ข้อหนึ่งก็คือ ระหว่างที่คนจากทางการกำลังสืบสวนกันอยู่ แล้วจู่ๆ พวกเราก็รีบร้อนออกจากหมู่บ้านกอร์ดูไปแบบนี้ จะกลายเป็นว่าไปกระตุ้นความสงสัยของพวกเขาเข้าน่ะสิ สุดท้ายจะไม่ถูกพวกเขาสกัดเอาไว้แล้วตกเป็นเป้าของการสืบสวนหรือไง?
“ถ้าฉันไม่ใช่ผู้วิเศษก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่ฉันดันเป็นผู้วิเศษที่ไม่ได้ผ่านการรับรองจากทางการนี่น่ะสิ เป็นประเภทที่ว่าต้องถูกศาลศาสนจักรจับตัวไปชำระล้างให้บริสุทธิ์นั่นแหละ”
เป็นเพราะลูมิแอร์มีประสบการณ์ด้านนี้ไม่มากพอ ก่อนหน้านี้จึงมองข้ามปัญหานี้ไป เวลานี้เขารู้สึกไม่ทราบว่าควรพูดอะไรไปชั่วขณะ
ผ่านไปครู่หนึ่งเขาจึงเอ่ยปากขึ้น
“แล้วถ้าพยายามบุกฝ่าออกไปล่ะ จากนั้นก็ค่อยไปซ่อนตัวที่เมืองอื่นหรือไม่ก็ประเทศอื่นไปเลย”
“นายประเมินฉันสูงเกินไปแล้วมั้ง” โอรอร์อดหัวเราะลั่นไม่ได้ “เท่าที่ฉันสังเกตดูเนี่ย คนต่างถิ่นทั้งสามคนนั่นน่าจะแข็งแกร่งไม่น้อยเลยแหละ ถ้าหากมีแค่คนเดียวก็ยังพอทำเนา ฉันอาจจะยังพอรับมือไหว แต่นี่พวกเขามีกันตั้งสามคน และนอกจากนั้นก็คือนายมั่นใจได้ไงว่านอกหมู่บ้านจะไม่มีทีมชุดใหญ่ดักซุ่มอยู่น่ะ รอให้ผู้ต้องสงสัยกลัวจนเผยตัวออกมา แล้ววิ่งหนีเข้าไปในวงล้อมที่ดักรอไว้”
ลูมิแอร์พูดไม่ออก
เขาไม่อาจไม่ยอมรับว่าเมื่อเทียบกับพี่สาวแล้ว ตนเองนั้นยังอ่อนต่อโลกและขาดประสบการณ์อีกมาก ยามช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานจึงคิดไม่รอบคอบรอบด้านมากพอ
“นายน่ะบุ่มบ่ามมุทะลุเกินไป” โอรอร์แสดงความคิดเห็น “แต่ก็เป็นเรื่องปกติล่ะนะ คนหนุ่มก็ต้องเลือดร้อนเป็นธรรมดาไม่ใช่หรือไง?”
เธอหยุดไปอึดใจก่อนจะพูดต่อ
“บ่ายวันพรุ่งนี้นายไปที่สำนักบริหาร ช่วยส่งโทรเลขไปที่ ‘นิยายรายสัปดาห์’ ให้ฉันหน่อย ข้อความก็คือให้ถามไปว่างานสัมมนานักเขียนที่พูดถึงก่อนหน้านี้ จะจัดกันเมื่อไหร่”
โอรอร์เป็นนักเขียนของนิตยสาร ‘นิยายรายสัปดาห์’ ซึ่งค่อนข้างเป็นที่นิยมในหมู่นักอ่าน
ในหมู่บ้านกอร์ดูนั้นมีเพียงแค่ที่สำนักบริหารกับนักบวชประจำโบสถ์ที่มีเครื่องรับส่งโทรเลข รับผิดชอบสำหรับติดต่อในกรณีฉุกเฉิน โดยปกติชาวบ้านในหมู่บ้านจะใช้ไม่ได้ แต่ถ้าจ่ายเงินเฟลกิ้นมากพอก็เป็นอีกเรื่อง
เมื่อเห็นลูมิแอร์มีสีหน้าไม่เข้าใจ โอรอร์ก็ยิ้มพลางอธิบายง่ายๆ
“ ‘นิยายรายสัปดาห์’ อยากเชิญฉันไปทำกิจกรรมบางอย่างในเทรียร์น่ะ แต่ฉันปฏิเสธไป รวมถึงงานสัมมนานักเขียนที่กำลังจะจัดในเร็วๆ นี้ด้วย
“ในเมื่อฉันเป็นฝ่ายออกปากถามเรื่องนี้ขึ้นมา งั้นพวกเขาก็ต้องรีบกระวีกระวาดเชิญฉันไปแน่ ดีไม่ดียังจะคืนเงินค่าตั๋วรถไฟไอน้ำที่ใช้เดินทางไปกลับให้อีกต่างหาก
“เมื่อเป็นแบบนี้การที่เราจะออกจากหมู่บ้านไปก็เป็นเรื่องปกติ ไม่ได้มีอะไรผิดสังเกต ต่อให้ถูกเฝ้าจับตาอย่างลับๆ ก็จะไม่ตกเป็นผู้ต้องสงสัย
“พอถึงตอนนั้นฉันก็มีสารพัดวิธีที่จะหลบจากพวกเขา ขอเพียงพวกเราสองคนไม่ได้ปนเปื้อนจากเหตุการณ์ผิดปกติพวกนั้นเข้าจริงๆ ก็มีโอกาสสูงมากที่จะออกจากกอร์ดูได้อย่างราบรื่น”
“ได้” ลูมิแอร์อดถอนใจโล่งอกไม่ได้
ไม่กี่วินาทีถัดมาเขาก็ถามด้วยความอยากรู้
“โอรอร์ เอ๊ย…พี่… คำว่าผู้วิเศษนี่เอาไว้สำหรับเรียกคนที่มีพลังวิเศษงั้นเหรอ?”
“ใช่” โอรอร์ไม่ได้ขยายความอะไร
แล้วเธอก็หัวเราะออกมา
“ตกลงว่านายเต็มใจทิ้งพวกเพื่อนๆ แล้วหนีออกจากกอร์ดูเนี่ยนะ”
“คนอื่นจะเป็นจะตายยังไง ก็ไม่เกี่ยวกับฉันนี่นา” ลูมิแอร์แค่นเสียง “เฮอะ”
สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือปกป้องพี่สาวให้ปลอดภัยต่างหาก!
โอรอร์หัวเราะจุ๊ปาก
“มาๆๆ ไหนพูดคำพูดเมื่อตะกี้ใหม่อีกทีซิ ฉันอยากได้ยินอีกรอบ
“ก่อนหน้านี้เนี่ย นายพูดคำพูดแบบนั้นมาตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้ว ฮึ? แต่ก็เห็นนายแอบให้ความช่วยเหลือแบบลับๆ ทุกที หรือไม่ก็แกล้งทำเป็นเตือนพวกเขาอ้อมๆ ตลอด”
“ก็พวกนั้นมันแค่เรื่องขี้ปะติ๋วนี่นา” ลูมิแอร์แก้ต่างให้ตัวเอง
ก่อนหน้านี้ไม่ใช่เหตุร้ายแรงอะไร ทว่าความผิดปกติในตอนนี้สามารถส่งผลคุกคามต่อพี่สาวได้
“เอาเถอะ เอาเถอะ” โอรอร์ทำสีหน้าว่าไม่อยากเถียงกับเด็กน้อยอีก “ได้เวลาเตรียมมื้อเย็นแล้ว วันนี้เป็นเวรนาย”
ลูมิแอร์ร้อง “อื้อ” คำหนึ่ง ก่อนจะเดินไปที่เตา
* * * * *
ยามวิกาลอันมืดมิดที่พระจันทร์แดงถูกชั้นเมฆบดบัง
ลูมิแอร์ล้างหน้าบ้วนปากเสร็จก็ทอดตัวนอนลงบนเตียง
บนใบหน้าเขาค่อยๆ ปรากฏความกลัดกลุ้มใจ
การตอบสนองของโอรอร์ใช่ว่าจะไม่ดี เพียงแต่ลูมิแอร์กลัวว่าระหว่างที่กำลังรอให้ ‘นิยายรายสัปดาห์’ ตอบกลับมานั้น ความผิดปกติของหมู่บ้านกอร์ดูจะปะทุขึ้นมาเสียก่อนน่ะสิ
ด้วยเหตุนี้เขาจึงร้อนใจอยากรีบพัฒนาความแข็งแกร่งของตัวเอง ซึ่งการได้รับพลังวิเศษจากซากปรักหักพังในความฝันนั้นเป็นช่องทางที่เขาเข้าถึงได้ง่ายที่สุดแล้วในตอนนี้
แต่น่าเสียดายที่วันนี้ตลอดทั้งวันเขาหาผู้หญิงคนนั้นไม่เจอ จึงไม่มีโอกาสได้รับคำแนะนำในเรื่องนี้ ได้แต่ต้องพยายามด้วยตัวเองก่อน
สำหรับเขาแล้ว สถานการณ์ล่วงเลยมาถึงขั้นนี้ก็เปรียบประหนึ่งลูกธนูได้ใส่คันศรง้างรอไว้แล้ว ไม่ว่าจะอย่างไรก็จำเป็นต้องยิงออกไป
ลูมิแอร์สงบจิตใจแล้วเข้าสู่สภาวะหลับใหลโดยไม่ลังเล
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น