ตอนที่ 22 เตรียมการ

ราชันเร้นลับ (ราชันโลกพิศวง) ภาคสอง : บ่วงชะตากรรม

ตอนที่ 22 เตรียมการ

※ ※ ※ ※ ※

ลูมิแอร์ตื่นขึ้นมาในหมอกเทาหม่นสลัว

เขาพลิกตัวลงจากเตียงแล้วเดินไปที่หน้าต่าง มองออกไปด้านนอก

ยอดเขาที่ก่อเกิดจากหินสีน้ำตาลแดงกับดินสีแดงน้ำตาลยังคงตั้งอยู่เช่นเคย มันตั้งตระหง่านอย่างสงบอยู่บนความรกร้าง

ถึงแม้จะสูงเพียงยี่สิบสามสิบเมตร แต่ก็ทำให้รู้สึกเหมือนว่ามันแทงทะลุชั้นเมฆไปเชื่อมต่อกับผืนฟ้า ดังนั้นในจิตใต้สำนึกของลูมิแอร์จึงใช้คำว่า ‘ยอดเขา’ อธิบายออกมา

บนพื้นที่รกร้างที่เชิงเขานั้นมีอาคารที่พังทลายในสภาพต่างๆ ตั้งเรียงรายเป็นวง และซ้อนกันเป็นชั้นๆ

“เจ้าสัตว์ประหลาดตัวที่สะพายปืนลูกซองไว้ที่หลังนี่น่ะ ดูจากโครงสร้างร่างกายแล้ว มันน่าจะต้องวิ่งเก่งและกระโดดได้ไกลแน่ และจากที่มันสามารถใช้อาวุธที่ค่อนข้างซับซ้อนอย่างปืนลูกซองได้ด้วย ก็แสดงว่าระดับสติปัญญาก็ต้องสูงในระดับหนึ่งเหมือนกัน…

“ทักษะการแกะรอยของมันก็ไม่ธรรมดา…

“ไม่รู้ว่ามันจะมีพลังวิเศษเหมือนโอรอร์ด้วยหรือเปล่านะ…

“…”

รายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายผุดขึ้นมาในหัวลูมิแอร์ทีละข้อๆ

เขาประเมินเบื้องต้นว่าถ้าต้องเผชิญหน้ากับเจ้าสัตว์ประหลาดตัวที่สะพายปืนลูกซองเข้าจริง ความน่าจะเป็นที่ตัวเองจะถูกฆ่านั้นมีสูงถึง 90% แล้วยิ่งถ้าคิดจะทดลองใช้ความพิเศษบนตัวด้วย เกรงว่าคงจะทำให้ตายเร็วยิ่งกว่าเดิมอีก เพราะเมื่อทำสมาธิแล้วตัวเขาก็แทบจะเฉียดตายอยู่รอมร่อ อีกฝ่ายเพียงแค่โจมตีง่ายๆ ครั้งเดียวเขาก็จบเห่แล้ว

นอกจากไม่มีทางเผชิญหน้าโดยตรงได้แล้ว การซุ่มโจมตีหรือลอบสังหารก็ไม่อยู่ในขอบข่ายการพิจารณาของลูมิแอร์เช่นกัน นั่นก็เป็นเพราะเหตุผลสองข้อ ข้อแรก…จากทักษะการแกะรอยที่อีกฝ่ายแสดงให้เห็น มีความเป็นไปได้สูงมากที่เขาไม่มีทางซ่อนตัวจากมันได้ ทำให้หมดโอกาสซุ่มโจมตีไปโดยปริยาย ข้อสอง…เขาไม่มีอาวุธระยะไกล ถ้ามีปืนลูกโม่สักกระบอก ตอนนี้เขาคงไม่ต้องลำบากขนาดนี้แล้วล่ะ

สองวันที่ผ่านมานี้ลูมิแอร์ขบคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าจะจัดการสัตว์ประหลาดตัวนั้นได้อย่างไร สุดท้ายก็คิดออกมาได้เพียงแค่วิธีเดียวเท่านั้น

ต้องใช้กับดัก!

เขาเคยตามพวกพรานในหมู่บ้านไปขึ้นเขาเข้าป่า ได้เรียนรู้วิธีวางกับดักแบบง่ายๆ นับจากนั้นเขาก็เชี่ยวชาญการกลั่นแกล้งเพิ่มขึ้นมาอีกสองสามอย่าง

เดิมทีลูมิแอร์คิดจะเอาน้ำมันจากที่บ้านมาใช้ เช่นว่าเอาใส่ไว้ในถังขนาดใหญ่ที่ไม่มีฝาปิด วางซ่อนเอาไว้บนที่สูงแล้วใช้เชือกผูกเอาไว้ รอจนเป้าหมายผ่านมาถึงก็ดึงเชือกทันทีให้ถังคว่ำลงมาราดน้ำมันใส่ร่างอีกฝ่าย จากนั้นก็ฉวยโอกาสจุดไฟเผาเสีย

แต่ระหว่างที่ใคร่ครวญอยู่เขาก็เลิกล้มความคิดนี้ไป

จากสมมติฐานที่ว่าทักษะการแกะรอยของอีกฝ่ายที่แสดงให้เห็นนั้นยอดเยี่ยมมาก จึงต้องประเมินการรับกลิ่นของมันให้สูงเข้าไว้!

กลิ่นของน้ำมันนั้นค่อนข้างแรง

ซึ่งถ้าหากเขาพยายามกลบเกลื่อนด้วยกลิ่นอื่นที่แรงกว่า ลูมิแอร์ก็ไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนวิธีการตอบโต้ด้วยหรือเปล่า หรือว่าอีกฝ่ายนั้นจะมีจมูกไวเหมือนสุนัขป่าหรือไม่ ที่สามารถแยกแยะกลิ่นผิดปกติได้แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตาม

สุดท้ายแล้วเขาตัดสินใจเลือกใช้วิธีขุดหลุมขวาก

แต่นี่ก็ยังคงมีปัญหาในระดับหนึ่งอยู่ดี จากทักษะการแกะรอยที่สัตว์ประหลาดตัวนั้นแสดงให้เห็น มีความเป็นไปได้ไม่น้อยที่มันจะตรวจพบความผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่นๆ และมองกับดักออก

การแก้เกมของลูมิแอร์ก็คือต้องหาวิธีทำให้มันคลายความระวังลง แล้วใช้ประโยชน์จากความเข้าใจผิดของมัน

พูดง่ายๆ ก็คือเขาได้แต่หวังว่าความฉลาดรอบรู้ของตนจะสามารถสะกดข่มอีกฝ่ายได้ ในสถานการณ์ที่อาวุธด้อยกว่าเป้าหมายแบบนี้ การใช้ประโยชน์จากความเป็นมนุษย์คือข้อได้เปรียบสูงสุด

“อย่างน้อยเท่าที่เห็นในครั้งก่อน มันมีสติปัญญาอยู่ระดับหนึ่งก็จริง แต่ก็ไม่ได้สูงเท่าไหร่…” ลูมิแอร์ปลอบใจตัวเองอยู่ในใจ

แน่นอนว่าเขาจะไม่ดูแคลนสัตว์ประหลาดตัวนั้นเพราะเรื่องนี้แน่ เขาวางแผนโดยตั้งระดับสติปัญญาของอีกฝ่ายไว้ในระดับเดียวกับมนุษย์ปกติ

ซึ่งมนุษย์ที่เป็นเป้าหมายไว้เปรียบเทียบก็คือป็องส์ เบอเน็ต

“ไม่สิ เจ้าหมอนั่นมันโง่เกินไป ถ้าไม่เป็นเพราะเขามีพวกอันธพาลเป็นลูกน้องเยอะขนาดนั้น ฉันคงทำให้เขาคุกเข่าเรียกฉันว่าพ่อไปตั้งนานแล้วล่ะ” ลูมิแอร์ครุ่นคิด เพิ่มความคาดหวังต่อสัตว์ประหลาดให้สูงขึ้นอีก “อืม… เอาเป็นว่าคิดว่ามันเป็นบาทหลวงประจำโบสถ์ที่ไม่เคยเรียนหนังสือก็แล้วกัน”

เขามองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง มองไปยังพื้นที่รกร้างที่อยู่ระหว่างซากปรักหักพังกับบ้านของตัวเอง

ที่นั่นอยู่ใกล้ ‘เขตปลอดภัย’ มากกว่า สำหรับเขานั้นเรียกได้ว่าปลอดภัยที่สุดแล้ว แต่มันไม่มีที่กำบัง มองแค่แว่บเดียวก็เห็นไปถึงไหนต่อไหนแล้ว ไม่เหมาะจะใช้ ‘ซุ่มโจมตี’

“เรื่องขุดหลุมดักน่ะไม่มีปัญหา แต่การจะใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อน่ะ อีกฝ่ายมองเห็นได้ตั้งแต่ไกลแล้ว แบบนั้นก็ยกปืนยิงเปรี้ยงเลยก็ได้ ไม่ต้องเข้ามาใกล้…” ลูมิแอร์พึมพำสองประโยคแล้วตัดสินใจว่าจะยอมเสี่ยงอันตรายเข้าไปในซากปรักหักพังแล้วหาจุดเหมาะๆ สำหรับวางกับดัก

แผนการที่ร่างไว้คร่าวๆ แต่เดิมก่อตัวขึ้นมาในหัวเขาอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงแค่เรื่องสุดท้ายที่ยังต้องยืนยันให้แน่ใจก่อน

ต้องใช้เวลามากน้อยขนาดไหนสำหรับการขุดหลุมขวาก ลูมิแอร์ไม่มีทางสั่งให้อีกฝ่ายรอไปก่อนจนกว่าเขาจะลงมือทำกับดักเสร็จได้แน่

ครุ่นคิดแล้วลูมิแอร์ก็กางสองแขนอ้าออก ทำท่า ‘โอบกอดดวงตะวัน’ อธิษฐานด้วยความศรัทธาตั้งใจยิ่งกว่าครั้งไหนๆ ที่ผ่านมา

“ข้าแต่องค์เทพ ข้าแต่พระบิดา โปรดทรงอวยพรให้ลูกมีชัยเหนือสัตว์ประหลาดนั่นด้วยเทอญ

“สุริยะสักการะ!”

แทบทุกเรื่องราวบนโลกนั้นไม่มีอะไรที่แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ ลูมิแอร์ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาคว้าส้อมเหล็กและขวานเดินออกจากห้องนอนเข้าไปในห้องหนังสือ

เมื่อพิจารณาถึงอาวุธของเป้าหมาย เขาจึงตัดสินใจว่าจะเปลี่ยน ‘เครื่องป้องกัน’ ใหม่

ลูมิแอร์ถอดเสื้อคลุมบุฝ้ายออก จากนั้นนำเชือกมามัดหนังสือปกแข็งไว้ที่หน้าอกและแผ่นหลัง

นี่ก็คือ ‘เกราะกระดาษ’ ชนิดทำมือ!

เขาจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าพี่สาวเคยบอกเอาไว้ว่าอุปกรณ์แบบนี้ป้องกันภายนอกก็จริง แต่ก็อาจจะยังเกิดการบาดเจ็บภายในได้อยู่ ทว่าในขณะนี้ไม่ต้องคิดอะไรถึงขนาดนั้น

ลูมิแอร์ขยับตัวดูเพื่อให้มั่นใจว่าจำนวนหนังสือในตอนนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการต่อสู้ของตนเองมากเกินไปนัก

เขาสวมแจ็กเกตหนังตัวนอกอีกครั้งก่อนจะเดินลงไปชั้นล่าง แล้วค้นหาพวกข้าวของอุปกรณ์สำหรับทำกับดัก

ไม่นานนักในมือเขาก็มีพลั่วเพิ่มขึ้นมาอีกอันกับเชือกที่มัดเอาไว้รอบเอวอีกเส้น ซึ่งเชือกนี่อย่างแรกคือเอาไว้ใช้สำหรับปีนป่าย อย่างที่สองคือใช้สำหรับทำตาข่ายแทนกิ่งไม้

หลังจากเตรียมการเสร็จแล้ว ลูมิแอร์ก็สูดหายใจเข้าลึก แล้วใช้มือขวาที่ถือขวานไว้เปิดประตูบ้าน

หมอกเทาหม่นสลัวปกคลุมไปทั่วพื้นที่รกร้าง เขาเดินทีละก้าวไปยังยอดเขาที่ราวกับชโลมด้วยโลหิต

ท่ามกลางความเงียบสงัด ลูมิแอร์เดินเข้ามาจนถึงชายขอบของซากปรักหักพังแห่งนั้น

เขาเดินไปด้านข้างเป็นระยะทางหนึ่งก่อน จากนั้นก็โยนสิ่งของพวกพลั่ว ส้อมเหล็ก และเชือกเข้าไปมุมมืดของซากอาคารหลังหนึ่ง จากนั้นก็พกเพียงขวานเล่มเดียวกลับไปยังหน้าทางเข้าซากปรักหักพัง

เขาเริ่มทำการสำรวจโดยไม่ทำให้เกิดความผิดปกติใดๆ ค่อยๆ ย่องเข้าไปในซากปรักหักพังดังเช่นครั้งก่อน

จนกระทั่งมาถึงบริเวณที่ถูกสัตว์ประหลาดสามหน้าทำให้กลัวจนต้องถอยกลับ เขาก็หยุดอยู่เกือบหนึ่งนาทีก่อนจะกลับหลังหัน

เดินมาได้ครึ่งทาง เขาก็เริ่มอ้อมเป็นวงไปบ้านหลังที่เก็บพลั่วกับส้อมเหล็กเอาไว้

เมื่อเข้าใกล้ที่หมาย ลูมิแอร์ก็สังเกตดูภูมิประเทศเพื่อมองหาจุดที่เหมาะสมสำหรับวางกับดัก

“ตรงนี้มีรอยแยกที่ค่อนข้างกว้างและไม่ได้ยาวมากนัก ดัดแปลงนิดหน่อยก็ทำเป็นกับดักได้แล้ว นี่จะช่วยให้ฉันประหยัดเวลาไปได้ไม่น้อย แต่อีกหลุมนี่คงต้องใช้เวลาพอสมควร ก็ได้แต่หวังว่าเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นจะไม่ได้ตามมาถึงเร็วมากล่ะนะ…”

ลูมิแอร์หยิบพลั่วกับของอื่นๆ แล้วกลับไปยังตำแหน่งที่หมายตาเอาไว้ เร่งมือสร้างกับดัก

จนกระทั่งดัดแปลงรอยแยกนั้นให้ต่างไปจากตอนแรกเสร็จแล้ว เขาก็ใช้ขวานสับและเหลาท่อนไม้เพื่อปักไว้ที่ก้นหลุม จากนั้นก็สานตาข่ายด้วยเชือก ขึงไว้ปากหลุม เอาดินโปรยทับไว้อีกชั้น พยายามทำให้มันกลมกลืนกับพื้นที่รอบข้างมากที่สุด

หลังจากเสร็จเรื่องแล้วเขาก็ลองจำลองตัวเองเป็นสัตว์ประหลาด ค่อยๆ ย่องตามรอยตนเองมาจนถึงกับดักที่วางไว้

“ถ้าหากมันสังเกตเห็นกับดักนี้เข้า ถ้าไม่เลือกอ้อมก็ต้องเลือกกระโดดข้ามแน่ เป็นไปได้ว่าจะมาถึงตรงนี้…

“ต้องไม่ให้มันเห็นฉันก่อนเด็ดขาด ต้องรอให้มาถึงที่นี่ค่อยมองเห็น ดังนั้นที่ฉันต้องทำก็คือซ่อนอยู่ตรงนี้…” ลูมิแอร์ใช้เท้าวัดระยะ ใช้ตาระบุทิศทาง ค่อยๆ มาจนถึงบริเวณหนึ่งที่ผนังยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์

เขานั่งยองลงไปเพื่อตรวจสอบระดับสายตา

จากนั้นเขาก็เริ่มขุดกับดักอันที่สอง

นี่เป็นการวางแผนสำหรับจัดการกับ ‘มนุษย์ปกติ’

ลองนึกถึงว่ามีใครคนหนึ่งกำลังแกะรอยเป้าหมายอยู่ แต่แล้วก็พบว่าอีกฝ่ายนั้นได้วางกับดักตัวเองเอาไว้ ซึ่งถ้าหากตนเองสังเกตเห็นกับดักนี้ได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังเห็นด้วยว่าศัตรูกำลังแอบรอจังหวะอยู่ข้างๆ ไม่ห่างเท่าไหร่ แบบนี้ส่วนใหญ่ก็มักจะต้องลำพองใจ คิดกระหายใคร่ลงมือโดยไม่ได้สนใจถึงความเป็นไปได้ว่ายังมีกับดักอันที่สองอยู่อีก จะต้องรีบร้องคำรามกระโจนพุ่งใส่เหยื่อทันทีแน่นอน

มันสมองในระดับทั่วไปจะเกิดความเข้าใจผิดแบบนี้ได้ง่ายๆ อยู่แล้ว หรือจะเรียกว่าเป็นจุดบอดก็ได้

ลูมิแอร์ได้แต่หวังว่าสัตว์ประหลาดนั่นจะมีระดับสติปัญญาไม่ถึงเกณฑ์เฉลี่ยของมนุษย์ มิฉะนั้นแล้วตนเองคงได้แต่ต้องกลับหลังหันเผ่นหนีสุดชีวิต และมีแนวโน้มว่าคงต้องถูกไล่ตามทัน ทิ้งชีวิตไว้ที่ไหนสักแห่งบนดินแดนรกร้างแห่งนี้ โอกาสที่จะหนีกลับไปจนถึงบ้านตัวเองซึ่งเป็น ‘เขตปลอดภัย’ นั้นริบหรี่เต็มที

แต่ความผิดปกติของหมู่บ้านกอร์ดูทำให้เขาจำต้องเสี่ยงชีวิต

แต่ละนาทีได้เคลื่อนคล้อยผ่านไป ในที่สุดลูมิแอร์ก็สร้างกับดักอันที่สองเสร็จสิ้น ทว่าสัตว์ประหลาดที่สะพายปืนลูกซองไว้กลับยังไม่ปรากฏตัวออกมา

สัตว์ประหลาดตัวอื่นก็ไม่ได้เผยโฉมออกมาเฉกเช่นเดียวกัน

ในที่สุดเขาก็สบายใจขึ้นมาได้เล็กน้อย หลังจากเอาพวกพลั่วและของอื่นๆ ไปซ่อนแล้วเขาก็ยืนตัวตรงกางแขนสองข้าง

ครั้งนี้เขาทำ ‘สุริยะสักการะ!’ ด้วยความจริงใจยิ่งกว่าเดิมอีก

จากนั้นลูมิแอร์ก็ย่อตัวลงไปที่ผนังอันนั้น คุกชันเข่าจ้องมองไปยังกับดักอันแรก

จากเส้นทางที่เขาใช้เดินมาเมื่อก่อนหน้านั้นมองไม่เห็นทางฝั่งนี้ เพราะว่ามุมมองถูกอาคารที่พังทลายหลังหนึ่งบดบังเอาไว้

เขาเฝ้ารอด้วยใจอดทน

ตึกตัก! ตึกตัก! ตึกตัก!

ลูมิแอร์รู้สึกว่าหัวใจตนเองเต้นเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

สำหรับเขาแล้วนี่เป็นประสบการณ์ที่ไม่เคยพานพบมาก่อน

ตอนที่ยังเร่ร่อนอยู่นั้น เขาได้เจอ ‘ศัตรู’ ที่ทั้งอายุมากกว่าและแข็งแกร่งกว่ามาแล้วก็จริง แต่นั่นไม่ได้มีวัตถุประสงค์ต้องการฆ่าแกงอีกฝ่ายให้ถึงตาย โดยหลักๆ แล้วก็เพียงมุ่งเป้าเรื่องอาหาร เงินทอง และที่ซุกหัวนอนเท่านั้น แม้ว่าเรื่องพวกนี้จะทำให้มีคนต้องตายไปจริงๆ อยู่บ้าง แต่ก็เป็นอุบัติเหตุที่ไม่ได้ตั้งใจ

ทว่าในขณะนี้ศัตรูที่เขาต้องเผชิญหน้าด้วยนั้นเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายและศีลธรรมของมนุษย์ ทั้งยังแข็งแกร่งกว่าเขามาก ดีไม่ดีอาจจะมีพลังวิเศษเล็กน้อยเสียด้วยซ้ำ ถ้าหากแผนการเกิดผิดพลาดขึ้นมา จุดจบของเขาย่อมจินตนาการได้ว่าจะเป็นเช่นไร

ตึกตัก! ตึกตัก! ตึกตัก!

ลูมิแอร์รู้สึกประหม่ากังวลมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ไม่มีใครไม่อยากมีชีวิตที่ดี ตัวเขาเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

ฟืด…ฟาด ฟืด…ฟาด

ลูมิแอร์สูดหายใจลึกเพื่อสงบสติอารมณ์และลดความตึงเครียด

แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผลเท่าไร

ในชั่วขณะนี้เขาหวังอยากให้สัตว์ประหลาดตัวนั้นมาถึงให้เร็วหน่อย แต่ก็กลัวว่ามันจะมาจริงๆ

ที่อยากให้มันมาเร็วๆ ก็เพราะจะได้จบเรื่องเร็วขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาดีหรือร้าย แต่อย่างน้อยลูมิแอร์ก็ไม่ต้องกระวนกระวายจนแทบทนไม่ไหวอยู่แบบนี้ ส่วนที่ไม่อยากให้มาก็เป็นเพราะความหวาดกลัวล้วนๆ

เมื่อเห็นว่าขืนปล่อยไว้แบบนี้ สภาพของตัวเองจะย่ำแย่ลงเรื่อยๆ เขาจึงพูดกับตัวเองว่า “ทำแบบนี้จะได้ไม่เป็นการถ่วงแข้งถ่วงขาโอรอร์” พร้อมกันนั้นก็เริ่มทำสมาธิไปด้วย

เค้าโครงภาพดวงตะวันสีแดงชาดนั้นสร้างออกมาได้ยากกว่าทุกที แต่ด้วยความพยายามของลูมิแอร์ ในที่สุดมันก็ปรากฏขึ้นมาจนได้

นี่ทำให้ลูมิแอร์สงบใจลงไปได้ไม่น้อย เพียงแต่ร่างกายยังคงมีอาการสั่นเทาอยู่บ้าง

แล้วในตอนนี้นี่เอง เขาก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวเล็กน้อย

เปรียบเทียบให้เห็นภาพก็คือเหมือนมีคนเลี้ยงแกะสักคนกำลังเดินเข้ามาใกล้อย่างแผ่วเบาแต่เขากลับมองไม่เห็นเพราะมีทุ่งหญ้าบังสายตาอยู่

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บ่วงชะตากรรม : ราชันเร้นลับ 2

ตอนที่ 5 ไพ่

ตอนที่ 2 “จอมป่วน”