ตอนที่ 23 สติปัญญาในการต่อสู้
ราชันเร้นลับ (ราชันโลกพิศวง) ภาคสอง : บ่วงชะตากรรม
ตอนที่ 23 สติปัญญาในการต่อสู้
※ ※ ※ ※ ※
ลูมิแอร์รวมรวมสมาธิได้เต็มที่แล้ว
เมื่อถึงเวลาเกิดเรื่องขึ้นจริง เขาไม่ได้หวาดกลัวเหมือนเมื่อครู่นี้อีกแล้ว ถึงแม้ว่าร่างกายจะยังสั่นอยู่บ้าง แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้เกิดความรู้สึกว่าตัวเองพร้อมทรุดฮวบลงไปได้ทุกขณะอีก
“ที่จริงฉันควรจะต้องตายไปตั้งแต่ห้าปีก่อนแล้ว ต้องขอบคุณโอรอร์มากที่ทำให้ฉันยังอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ ฉันได้รับมาตั้งห้าปีแล้ว ยังจะต้องกลัวอะไรอีกหรือไง?” ลูมิแอร์กัดฟันพร้อมกับปลุกขวัญตัวเองอยู่ในใจ
วินาทีถัดมาเขาก็เห็นว่าแสงสลัวที่พื้นผิวของกับดักอันแรกนั้นมืดสลัวลงไปอีก
มีร่างหนึ่งมาขวางแสงที่ส่องผ่านหมอกหนาทึบบนท้องฟ้าเอาไว้
ร่างนั้นเป็นสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งสัตว์ป่าที่สะพายปืนลูกซองไว้กลางหลัง ดวงตาแดงก่ำเหมือนเลือดของมันกวาดมองบนพื้น งอ ‘เข่า’ มาข้างหน้า
หลังจากหายใจเข้าหนึ่งครั้ง มันที่สวมแจ็กเกตสีเข้มและกางเกงขายาวเปื้อนโคลนก็ปลดปืนลูกซอง กระโดดลอยตัวโดยควบคุมระดับความสูงเอาไว้ ข้ามกับดักลงมายืนบนพื้นแตกระแหงแต่แน่นแข็ง
แทบจะในเวลาเดียวกันมันก็หันหัวที่มีผมดำมันเยิ้มมองไปยังตำแหน่งที่มีการเคลื่อนไหวเล็กน้อย
แล้วมันก็เห็นใบหน้าของลูมิแอร์ที่ตระหนกหวาดกลัวรีบถลันลุกขึ้น พยายายามหลบไปหลังผนัง
พร้อมกับเสียงที่คำรามต่ำ สัตว์ประหลาดตัวนี้กระโดดลอยตัวสูงอีกครั้ง กระโจนเข้าหาเป้าหมาย
จุดที่มันเล็งไว้นั้นอยู่ห่างจากตำแหน่งเดิมของลูมิแอร์ไปเล็กน้อย นี่เพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายกลับหลังหันมาโจมตีสวนกลับอย่างรุนแรงในตอนที่ตัวเองยังตั้งหลักได้ไม่มั่นคง
ลูมิแอร์รีบพุ่งตะกายหายลับไปที่ด้านข้างฝาผนัง
สัตว์ประหลาดตัวนั้นเพิ่งจะลงถึงพื้น ดินที่ใต้ฝ่าเท้ามันก็ราวกับรับน้ำหนักไม่ไหวจนร่วงลงไปด้านล่าง
มันไม่มีแรงให้หยิบยืมเพื่อกระโจน จึงร่วงตามดินและตาข่ายตกลงไปในหลุมลึกที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมากะทันหัน
ตุ้บ!
เสียงของหนักตกกระแทกพื้นดังขึ้นผสมกับเสียงกรีดร้องที่ราวกับหนู
เมื่อลูมิแอร์ที่หลบอยู่ด้านหลังผนังเห็นฉากนี้ ในใจก็บังเกิดเป็นอารมณ์แห่งความปีติรุนแรงจนยากควบคุมไว้ได้
ก้าวแรกสำเร็จลุล่วง!
นี่ทำให้ความกลัวส่วนใหญ่ของเขามลายหายไปในพริบตา รีบคว้าเอาส้อมเหล็กที่วางด้านข้างแล้วพุ่งเข้าไปที่กับดักทันที
พลังชีวิตอันแข็งแกร่งของสัตว์ประหลาดไร้ผิวหนังก่อนหน้านี้ยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเขา กอปรกับที่ในตอนนี้เป้าหมายยังมีปืนลูกซองอยู่ด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ชะโงกร่างตัวเองให้โผล่พ้นปากหลุมเข้าไป แต่หยุดก่อนที่จะถึงหลุมขวากเล็กน้อยแล้วใช้ส้อมเหล็กเสือกแทงลงไป
แต่ส้อมเหล็กกลับหนักอึ้ง หยุดชะงักอยู่ตรงนั้น
ต่อจากนั้นแรงอันทรงพลังก็ถูกส่งผ่านส้อมเหล็กกลับไปหาลูมิแอร์ ดึงเขาเข้าไปในกับดัก
ลูมิแอร์ไม่ทันได้ระวังจึงถูกกระชากขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว
เขาไม่สนใจแล้วว่าสถานการณ์ภายในหลุมขวากจะเป็นเช่นไร รีบโยนส้อมเหล็กทิ้งไปพร้อมกลับหลังหันรีบวิ่งไปด้านข้างของผนังที่ยังไม่พังถล่มทันที
ปัง!
แผ่นหลังของเขาหนักอึ้งประหนึ่งว่าถูกค้อนยักษ์หวดใส่เต็มแรง
ลูมิแอร์หวานวาบในลำคอ รู้สึกถึงกลิ่นสนิมโลหะได้อย่างชัดเจน
เสียงดังพลั่ก เขาเสียการทรงตัวล้มลงกับพื้น กลิ้งหกคะเมนไปสองสามรอบติดต่อกันจึงจะกลับมาควบคุมตัวเองได้อีกครั้ง รีบคลานลุกขึ้นมา
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นเอง เขาก็เห็นสัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งสัตว์ป่ากระโดดขึ้นมาจากหลุมขวาก
ในมือของมันถือปืนลูกซองลำกล้องเดี่ยวเอาไว้ แจ็กเกตบริเวณหน้าอกหน้าท้องขาดวิ่น เผยให้เห็นบาดแผลน่าสยดสยองหลายจุดบนร่าง เลือดสีแดงเข้มผสมของเหลวสีเหลืองอ่อนไหลย้อยลงมาไม่ขาดสาย มองเห็นอวัยวะภายในได้เลือนราง
เห็นชัดว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากกับดักของลูมิแอร์ แต่ยังไม่ถึงขั้นที่ทำให้สูญเสียพลังการต่อสู้ได้อย่างสมบูรณ์
ขณะที่ตกลงไปในหลุมขวากมันคงจะปรับท่าพลิกตัวได้ทันเวลา ทำให้หลีกเลี่ยงจุดตายอย่างศีรษะและหน้าอกไปได้ รวมถึงไม่ได้ทำให้แขนขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่อย่างนั้นในตอนนี้ก็คงไม่สามารถกระโดดออกมาจากหลุมขวากได้
ลูมิแอร์เห็นว่าอีกฝ่ายมีสภาพเช่นนี้ก็รีบวิ่งเข้าไปในซากปรักหักพังของอาคารหลังข้างๆ ทันทีไม่มีความลังเลใดๆ ทั้งสิ้น
นี่ไม่ใช่เป็นความคิดแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่เป็นแผนการที่วางไว้ก่อนแล้ว
ท้ายที่สุดแล้วเขาเองก็ไม่ได้มั่นใจว่ากับดักจะสามารถดักสัตว์ประหลาดตัวนั้นไว้ได้หรือเปล่า ถ้าหากว่าได้ แล้วจะทำให้มันสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ได้โดยตรงหรือไม่
หากว่าไม่ได้ สามารถทำได้เพียงแค่ให้อีกฝ่ายบาดเจ็บหนัก เช่นนั้นลูมิแอร์ก็เตรียมเล่น ‘ซ่อนหา’ กับมันต่ออีก
หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือใช้ชัยภูมิรับมือเป้าหมาย ถ่วงเวลาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนกว่ามันจะทนข่มอาการบาดเจ็บไว้ไม่ไหว เรี่ยวแรงพละกำลังและปฏิกิริยาตอบสนองลดลงไปแทบไม่เหลือนั่นเอง
เมื่อถึงตอนนั้นเมื่อไร นั่นก็คือโอกาสของเขา
ปัง!
เสียงปืนดังขึ้นอีกหนึ่งนัด จุดที่ลูมิแอร์ยืนก่อนหน้านี้ลูกปืนปลิวว่อน ฝุ่นคลีกระจายขึ้นมา
ลูมิแอร์ที่ย่อตัวอยู่หลังผนังที่พังไปครึ่งหนึ่งไม่ได้หยุดนิ่ง เขาใช้มือเท้าคลานจากช่องว่างของซากอาคารไปยังอีกด้านหนึ่ง
เขายังไม่ทันจะได้ลุกขึ้นยืนก็ได้ยินเสียงลมดังหวือจากบนอากาศ
สัตว์ประหลาดตัวนั้นกระโดดเข้ามา
ลูมิแอร์กลับหลังหันทันที คลานไปตามช่องว่างกลับไปยังผนังที่พังถล่มมาครึ่งหนึ่งที่เขาจากมา
เขาหยิบยืมลักษณะเฉพาะตัวต่างๆ ของซากอาคารที่นี่ด้วยวิธีการแบบนี้ไปเรื่อยๆ บางครั้งก็ซ่อนตัว บางครั้งก็อ้อมหลบ ไม่ยอมไปเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดโดยตรง ทำเพียงแค่หลีกเลี่ยงการโจมตีเท่านั้น
‘ซ่อนหา’ ก็คือจุดแข็งของลูมิแอร์
การกลั่นแกล้งหลายๆ ครั้งก่อนหน้านี้ เขาก็อาศัยฝีมือเรื่องนี้แหละถึงได้หลบรอดจากชะตากรรมที่ต้องถูกทุบตีไปได้ทุกครั้ง
หนึ่งไล่หนึ่งหนี หนึ่งโจมตีหนึ่งหลบซ่อน เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ลูมิแอร์เริ่มแน่นหน้าอกหายใจไม่ออกขึ้นมาบ้างแล้ว ส่วนสัตว์ประหลาดตัวนั้นไม่ว่าจะเป็นความเร็วในการวิ่งหรือความสูงของการกระโดด รวมทั้งเรี่ยวแรงและปฏิกิริยาตอบสนองก็อ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด
“รออีกหน่อยเดียว…รออีกหน่อยเดียว… ตอนนี้ฉันยังเอาชนะมันไม่ได้…” ลูมิแอร์กลับไปซ่อนในที่เดิมก่อนหน้านี้อีกครั้ง เอนหลังพิงผนังที่พังไปครึ่งหนึ่ง ระงับความต้องการที่จะตอบโต้กลับไปในขณะนี้
ตึง!
แผ่นหลังเขาเจ็บปวดขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับร่างที่ลอยทะยานไปข้างหน้า
ผนังพังครึ่งหนึ่งที่เขาพิงอยู่เมื่อครู่นี้ก็กระจุยไปด้วยเช่นกัน คราวนี้มันพังทลายอย่างสมบูรณ์ ไม่เหลือชิ้นดีอีกต่อไป
รอบนี้สัตว์ประหลาดตัวนั้นไม่ได้เล่นไล่จับต่ออีก มันเปลี่ยนไปใช้ลำตัวพุ่งกระแทกสิ่งกีดขวางเต็มแรง
เมื่อมันใช้แรงอย่างสุดกำลัง ผนังที่เดิมทีก็พังไปครึ่งหนึ่งแล้วจึงไม่อาจทนทานได้เป็นธรรมดา
ทว่าเมื่อมันทำเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้เลือดออกมากขึ้นไปอีก ย้อมจนพื้นเป็นสีแดงเข้ม
ถึงแม้ลูมิแอร์ไม่ได้เตรียมใจว่าจะถูก ‘ชน’ กระเด็นแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก ด้วยปฏิกิริยาตอบสนองที่ฉับไวมากพอ เขารีบกลิ้งม้วนตัวไปซ่อนอยู่หลังซากอาคารที่กลายเป็นกองหินอีกครั้ง
ปัง!
กระสุนปืนลูกซองติดตามมา แต่ช้าไปหนึ่งก้าว
หลังจากสัตว์ประหลาดตัวนั้นพุ่งชนกำแพง การขยับเขยื้อนของมันก็ช้าลงไปกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย
มันคลำถุงผ้าที่ห้อยไว้ที่เอวก็พบว่าไม่เหลือกระสุนอีกแล้ว จึงโยนปืนลูกซองทิ้งไปแล้วกระโจนไปยังที่ที่ลูมิแอร์อยู่
ลูมิแอร์ย้ายตำแหน่งไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว เขายังคงเล่นซ่อนหาต่อไป
แต่แน่นอนว่าเขาไม่กล้าเล่นแบบนี้ไปจนกระทั่งอีกฝ่ายบาดเจ็บหมดสภาพและตัวเองหมดแรง หนึ่งนั้นเพราะกลัวว่าหลังจากสถานการณ์แย่ลงจนถึงระดับหนึ่ง สัตว์ประหลาดตัวนั้นจะหนีไป สองก็คือกลัวว่าหากถ่วงเวลาต่อไปเรื่อยๆ เสียงที่เกิดขึ้นจะดึงเอาสัตว์ประหลาดตัวอื่นเข้ามาหา
วนต่อไปอีกไม่กี่รอบ ลูมิแอร์ก็สังเกตเห็นว่าสัตว์ประหลาดตัวนั้นเหมือนจะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้ลำบากมากขึ้น
“โอกาสมาแล้ว!”
หัวใจเขากระตุกวูบ แกล้งทำเป็นหนีไปด้านข้างของบ้านที่พังลงมา
จากนั้นเขาก็ยืนอยู่ตรงนั้น ชักขวานที่เหน็บหลังไว้ออกมา ปรับลมหายใจเข้าออก
ในพริบตานั้นเอง สัตว์ประหลาดตัวนั้นก็อ้อมมาถึง มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าลูมิแอร์
ลูมิแอร์รีบตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ก่อนที่อีกฝ่ายจะมองเห็นสถานการณ์ได้อย่างชัดเจน เขาก็ถือขวานเข้าไปหาอย่างไม่ลังเล
เขาสืบเท้าขึ้นหน้าหนึ่งก้าว เบี่ยงตัวไปด้านข้าง ลดไหล่ลง คิดจะใช้การ ‘ปะทะ’ ที่พี่สาวสอนเพื่อกระแทกสัตว์ประหลาดให้ล้มลง จากนั้นก็ใช้ขวานสับคอมันให้ขาด
พลั่ก!
ลูมิแอร์พุ่งเข้าอ้อมแขนของสัตว์ประหลาด ชนใส่หน้าอกของมันอย่างแรง
ทว่าปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นนี้ผิดไปจากความคาดหมายของลูมิแอร์ อีกฝ่ายนั้นราวกับกำแพงหนาที่ชนอย่างไรก็ไม่ขยับ!
“นะ…นี่…” ลูมิแอร์หัวใจกระตุกวูบ รีบดีดตัวถอยหลังต้องการออกห่างจากระยะโจมตีของอีกฝ่าย
แล้วในตอนนี้สัตว์ประหลาดตัวนั้นก็ยื่นมือออกมาหนึ่งข้างอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ มาบีบคอเขาเอาไว้
สภาพของมันที่เห็นในตอนนี้ไม่ได้มีอาการว่าขยับได้อย่างลำบากแม้แต่นิดเดียว!
“แย่แล้ว มันแกล้งทำ!” ลูมิแอร์ปวดปลาบที่ลำคอ เขาถูกสัตว์ประหลาดจับยกจนตัวลอยอยู่กลางอากาศ
เสียงหายใจฟืดฟาดดังตามมา หัวสมองเกิดอาการวิงเวียนอย่างรวดเร็ว
ขวานที่เหวี่ยงออกไปอย่างฉุกละหุกนั้นไม่เพียงแต่จะไม่โดนเป้าหมาย ซ้ำยังถูกปัดร่วงลงพื้นอีกด้วย
ในที่สุดลูมิแอร์จึงได้รู้ตัวขึ้นมาว่าตนเองถูกสัตว์ประหลาดวางอุบายเข้าให้
สัตว์ประหลาดตัวนี้ใกล้จะไม่ไหวแล้ว แต่ก็ยังมีแรงเฮือกสุดท้ายอยู่ มันจึงแสร้งทำเป็นหมดแรงเพื่อล่อให้ตนเลิกหลบซ่อนแล้วเข้ามาจู่โจม ตัวเองดูแคลนระดับสติปัญญาในการต่อสู้ของมันเกินไป คิดไม่ถึงแม้แต่นิดเดียวว่าจะเป็นเช่นนี้ได้ จึงต้องตกอยู่ในสถานการณ์เข้าตาจนเช่นนี้
สัตว์ประหลาดตัวนี้ใกล้ถึงขีดจำกัดแล้วจริงๆ มันไม่มีเรี่ยวแรงมากพอจะหักคอลูมิแอร์ได้โดยตรง แต่สิ่งนี้กลับไม่ส่งผลต่อสถานการณ์โดยรวม มันเพียงแค่ต้องเสียเวลามากขึ้นอีกหน่อยเท่านั้น
ท่ามกลางความเจ็บปวดที่ลำคอถูกบีบเค้นจนแทบจะหัก หายใจไม่ออก ลูมิแอร์เริ่มมึนงงใกล้หมดสติเต็มที ในหัวว่างเปล่า
มันว่างเปล่าขาวโพลนไปหมด
ช่วงนาทีแห่งชีวิต จู่ๆ ลูมิแอร์ก็นึกถึงคำพูดของผู้หญิงคนนั้นขึ้นมา
เธอบอกให้เขาใช้ความพิเศษของตัวเองออกมา
ความพิเศษ… ในสภาวะที่หัวสมองแทบจะว่างเปล่าไร้ซึ่งความคิดฟุ้งซ่างใดๆ เขาใช้โอกาสนี้เริ่มทำสมาธิ
พระอาทิตย์สีแดงเข้มดวงนั้นปรากฏขึ้นมาในใจเขาโดยพลัน
ก่อนหน้านี้เขาทำสมาธิเพื่อให้จิตใจสงบ เมื่อดวงอาทิตย์ก่อตัวเป็นรูปเป็นขึ้นมามันก็หายไปจนหมดในทันที เขาต้องใช้ความพยายามเพื่อทำให้พระอาทิตย์ยังคงสภาพเอาไว้ แต่ทว่าครั้งนี้มันกลับต่างออกไป
เสียงที่ราวกับมาจากเบื้องสูงที่ไร้ขอบเขตแต่ก็เหมือนว่าดังอยู่ข้างหูได้ดังขึ้นในหัวของลูมิแอร์อย่างรวดเร็ว
ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงถาโถมตามมา ผนวกกับความหวาดกลัวจนหัวใจแทบจะกระโดดออกมาจากหน้าอกที่ประดังขึ้น ทำให้ลูมิแอร์ลืมไปว่าลำคอตนเองยังคงถูกสัตว์ประหลาดบีบเอาไว้และกระดูกคอกำลังจะหัก ลืมไปว่าหายใจเข้าไปแล้วหายใจออกมาไม่ได้จนสมองเริ่มขาดออกซิเจน
พลั่ก! เขาร่วงหล่นสู่พื้น
นี่ส่งผลให้ห้วงสมาธิถูกขัดจังหวะ เสียงประหลาดที่อธิบายไม่ถูกนั่นก็สลายหายไปด้วย
แต่ลูมิแอร์เจ็บปวดจนแทบทนไม่ไหว หมดปัญญาจะมาตรวจสอบสภาพร่างกายหรือยืนยันสถานการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้น
ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเพียงใด ในที่สุดเขาก็ฟื้นขึ้นมาจากความรู้สึกเจียนตายเช่นนั้น
ลูมิแอร์ไม่สนใจจะตรวจสอบคอของตัวเอง เขาใช้สองมือยันพื้นเงยหน้ามองตรงไปด้านหน้า
สัตว์ประหลาดครึ่งคนครึ่งสัตว์ป่าตัวนั้นหมอบคุดคู้อยู่ไม่ไกล สองมือยื่นไปข้างหน้าศีรษะก้มหมอบราบ
ณ เวลานี้ บาดแผลหลายแห่งบนหน้าอกและหน้าท้องของมันยังคงมีเลือดกับของเหลวสีเหลืองอ่อนไหลไม่หยุด ร่างมันสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจจะควบคุม
มันเป็นอะไร? ถูก ‘ความพิเศษ’ ที่ฉันแสดงออกมาทำให้หวาดกลัวงั้นเหรอ? ขณะที่ลูมิแอร์เรียกสติกลับคืนมาเขาก็หยิบขวานที่ตกอยู่ข้างๆ เดินเข้าไปใกล้ทีละก้าว
เขาไม่เปิดโอกาสให้สัตว์ประหลาดฟื้นตัวขึ้นมาอีก จับขวานด้วยสองมือแล้วสับลงที่หลังคออีกฝ่าย
เสียงดังฉัวะ ขวานจมลึกเข้าไปในกล้ามเนื้อ ติดคาอยู่ที่กระดูก
ลูมิแอร์ออกแรงเต็มที่เพื่อกระชากขวานออกมาแล้วสับต่อไป
หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง หัวของสัตว์ประหลาดหลุดออกมากลิ้งหลุนๆ ไปที่ด้านข้างพร้อมกับของเหลวสาดกระเซ็นออกจากร่าง
กินเวลาอีกหนึ่งวินาที ร่างมันถึงจะทรุดฮวบลงไป
ระหว่างกระบวนการที่เกิดขึ้นนี้ มันไม่ได้ขัดขืนแม้แต่น้อย ตั้งแต่ต้นจนจบได้แต่หมอบสั่นงันงก
วินาทีถัดมา ลูมิแอร์ก็ก้มตัวไปด้านหน้า สองมือปล่อยลดลงมาตามแรงธรรมชาติ คราบเลือดบนขวานไหลย้อยลงมาเรื่อยๆ
แฮ่ก! แฮ่ก! แฮ่ก!
ในที่สุดเขาก็ถอนใจโล่งอกได้เสียที
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น