ตอนที่ 24 สิ่งที่เก็บเกี่ยวได้
ราชันเร้นลับ (ราชันโลกพิศวง) ภาคสอง : บ่วงชะตากรรม
ตอนที่ 24 สิ่งที่เก็บเกี่ยวได้
※ ※ ※ ※ ※
ลูมิแอร์ไม่กล้าให้ตัวเองพักนานเกินไปเพราะกลัวว่าจะมีสัตว์ประหลาดตัวอื่นผ่านมา เขาพักเพียงช่วงสั้นๆ แล้วอดทนกับความเจ็บปวดที่ลำคอกับแผ่นหลัง รวมถึงความรู้สึกไม่สบายในตัว ค่อยๆ คลานไปข้างซากศพสัตว์ประหลาดตัวนั้น
ในมือขวาเขายังถือขวานเอาไว้เพราะกังวลว่าเหยื่อยังไม่ได้ตายสนิท มันอาจจะกระโดดพรวดขึ้นมาเหมือนกับสัตว์ประหลาดไร้ผิวหนังตัวก่อนหน้านี้
เขาใช้เพียงแค่มือซ้ายข้างเดียวคลำที่ร่างสัตว์ประหลาด เจอเหรียญทองแดงค็อปเพ็ตที่เรียกว่า ‘ริก’ สามเหรียญกับถุงผ้าเปล่าๆ ใบหนึ่ง
“มีแค่นี้เนี่ยนะ?” ที่ลูมิแอร์ผิดหวังนั้นไม่ได้เป็นเพราะเจอเงินเพียงแค่น้อยนิด แต่เป็นเพราะหาสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับพลังวิเศษไม่พบต่างหาก
หากไม่เป็นเพราะอย่างหลังนี่ อยู่ดีๆ เขาจะแกว่งเท้าหาเสี้ยนมาสู้กับสัตว์ประหลาดตัวนี้แบบเอาชีวิตเข้าแลกงั้นหรือ?
นี่ถ้าหากไม่เป็นเพราะในความฝันบนร่างเขามีความพิเศษอยู่ล่ะก็ ตอนนี้เขาคงกลายเป็นเมนูจานเด็ดนอนอยู่ในท้องอีกฝ่ายไปแล้ว
ลูมิแอร์ประคับประคองตัวเองให้ยืนขึ้น มองดูหัวสัตว์ประหลาดปืนลูกซองที่กลิ้งอยู่ด้านข้างพลางอธิษฐานขอให้สิ่งที่ตัวเองหมายมั่นไว้อยู่ที่นั่น
แล้วในตอนนี้นี่เอง เขาก็เห็นว่าร่างสัตว์ประหลาดที่เต็มไปด้วยบาดแผลของเหวอะหวะนั้นมีแสงสีแดงเข้มเล็ดลอดออกมาเล็กน้อย
พวกมันประหนึ่งหิ่งห้อยที่ค่อยๆ บินไปรวมเป็นกลุ่มอยู่ในจุดเดียวกันไม่หยุด
ลูมิแอร์จ้องมองตาเขม็ง ในใจบังเกิดความปีติยินดีขึ้นมาอย่างเหลือล้น
ปรากฏการณ์นี้ต้องเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับพลังวิเศษไม่ผิดแน่!
ผ่านไปไม่นานนัก ที่หน้าอกของสัตว์ประหลาดก็มีสีแดงเข้มเหนียวหนืดเกิดขึ้น รอบๆ มันไม่มีจุดแสงอื่นๆ แยกออกมาอีกแล้ว
ลูมิแอร์ก้มลงไปอย่างระวัง เอื้อมมือไปจับเจ้าก้อนนั่น
มันลื่นมาก ลื่นจนหลุดมือเขาไปสองครั้งกว่าจะหยิบขึ้นมาได้สำเร็จ เขาลองคะเนน้ำหนักมันด้วยฝ่ามือ
เบามาก… มีเนื้อสัมผัสและเด้งหยุ่นระดับหนึ่ง พื้นผิวเรียบลื่นเป็นมันวาว…
“ไอ้นี่มันคืออะไรเนี่ย?” ลูมิแอร์รับรู้ได้อีกครั้งว่าความรู้ในศาสตร์ลี้ลับของตนนั้นช่างน้อยนิดสิ้นดี
ขณะที่พึมพำอย่างไร้เสียง เขาก็ได้กลิ่นเลือดออกมาจากเจ้าก้อนสีแดงเข้มประหลาดนี่ จากนั้นตนเองก็กลายเป็นคนหุนหันพลันแล่นขึ้นมาทันที และมีความเกลียดชังที่อธิบายไม่ถูกก่อกำเนิดขึ้นในร่างกาย
ในชั่วขณะนี้ลูมิแอร์รู้สึกอยากหยิบขวานขึ้นมาแล้วสับซากศพสัตว์ประหลาดอีกหลายๆ ครั้งเพื่อระบายอารมณ์รุนแรงที่คุกรุ่น
ดีที่โอรอร์เน้นย้ำอยู่เสมอว่าการแสวงหาพลังวิเศษเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่งยวด เขาจึงระมัดระวังในเรื่องนี้อยู่แล้ว คอยสังเกตตัวเองมาตั้งแต่ต้น ไม่ได้คลายความตื่นตัวระวังเพราะมัวแต่ดีใจ จึงสามารถพบความผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่นๆ
“มันส่งอิทธิพลต่อสภาวะอารมณ์ของฉันงั้นเหรอ?” ลูมิแอร์โยนก้อนสีแดงเข้มลงไปในถุงผ้าที่ยึดมาจากสัตว์ประหลาด
ทันทีที่มันพ้นจากมือไป เขาก็กลับคืนสู่ภาวะความสงบหลังทำศึกเป็นตาย เหลือเพียงความตื่นเต้นเล็กน้อยที่ยังไม่ได้หายไปอย่างสมบูรณ์
ร่างกายเขายังมีอาการสั่นเทิ้มอยู่บ้าง
“คิดไว้ไม่ผิด!” หลังจากลูมิแอร์กลับมาเป็นปกติเขาก็พึมพำเบาๆ ด้วยความยินดีปรีดา
เขาเอาถุงผ้านั่นห้อยไว้กับหัวเข็มขัด
แต่พอคิดดูแล้วลูมิแอร์ก็ปลดถุงผ้าออกมาใหม่แล้วยัดเก็บไว้ในกระเป๋าด้านในของเสื้อแจ็กเกตหนัง
แบบนี้จะทำให้โอกาสหล่นหายน้อยลง ทำให้เขาวางใจได้มากขึ้น!
เมื่อปลดเสื้อออก หนังสือที่หลังของลูมิแอร์ก็ไม่มีอะไรพยุงเอาไว้ มันจึงร่วงลงมาทันที
สภาพของมันเป็นรูพรุนจนเรียกได้ว่ายับเยินเลยทีเดียว
นี่เป็นหนังสือแบบฝึกหัดที่โอรอร์เขียนให้ลูมิแอร์ มันเรียกว่า ‘ชุดแบบจำลองการสอบเข้าระดับอุดมศึกษาแบบรวมศูนย์’ ปกหุ้มไว้ด้วยหนังนิ่ม ตัวเล่มก็มีขนาดใหญ่มาก จึงสามารถทำเป็นเกราะป้องกันภายนอกเพื่อปกปิดส่วนที่เป็นช่องว่างได้
วันนี้มันช่วยป้องกันลูมิแอร์จากกระสุนปืนลูกซองในช่วงเวลาวิกฤตเอาไว้
แต่แน่นอนว่าที่เขารอดมาได้นั้นไม่ได้เป็นเพราะหนังสือเพียงแค่เล่มเดียว
ลูมิแอร์เก็บหนังสือแบบฝึกหัดขึ้นมาแล้วเดินกลับไปที่ซากศพสัตว์ประหลาด หัวเราะเหอะๆ ใส่เหยื่อที่สิ้นชีพไป
“เห็นไหมล่ะ ความรู้ก็พลังอำนาจ!”
พูดประโยคนี้จบแล้วเขาก็กะว่าจะขว้างหนังสือใส่หน้าสัตว์ประหลาดไปด้วยให้เข้ากับคำพูด แต่เมื่อนึกถึงว่าพี่สาวต้องทุ่มเทเวลา หยาดเหงื่อ และแรงกายไปไม่น้อยกว่าจะเขียนออกมาได้ เขาจึงทำใจขว้างไม่ลง
เขาสอดหนังสือแบบฝึกหัดเหน็บไว้ที่เข็มขัดด้านหลัง ก้มลงไปลากซากศพสัตว์ประหลาดเอาไปโยนทิ้งไว้ในหลุมกับดัก จากนั้นก็เตะหัวสัตว์ประหลาดตามลงไปด้วย
หลังจากเก็บกวาดสมรภูมิแบบง่ายๆ ไปแล้ว ลูมิแอร์ฝืนทนความเจ็บปวดและไม่สบายตัว เดินไปเก็บขวาน หยิบปืนลูกซองที่ไม่มีกระสุนแล้ว ส้อมเหล็กและพลั่วของตนเอง ถอยกลับไปยังพื้นที่รกร้าง
เขาเดินไปก็คอยระวังหลังไปด้วย ไม่กล้าประมาทเลินเล่อแม้แต่นิดเดียว
ในที่สุดเขาก็ข้ามพื้นที่รกร้างกลับมาถึงบ้านตัวเอง แล้วขึ้นไปชั้นสอง เข้าไปในห้องนอน
จนกระทั่งตอนนี้ลูมิแอร์ถึงจะผ่อนคลายได้อย่างแท้จริง ความเจ็บปวดบนร่าง ความรู้สึกไม่สบายที่เอ่อท้นชัดเจน และความอ่อนล้าอย่างรุนแรง ทั้งหมดนี้ปะทุขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง
เขานั่งอยู่ขอบเตียง ต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าจะมีแรงขยับได้เล็กน้อย แต่ก็ไม่ยังได้รีบหลับแล้วกลับออกไป เขาถอดเสื้อผ้า เก็บหนังสือให้เรียบร้อย จากนั้นก็เดินไปที่กระจกเต็มตัวที่ติดไว้ที่ตู้เสื้อผ้าเพื่อตรวจสอบอาการบาดเจ็บ
คอของเขาบวมเป่งเป็นรอยนิ้วมือห้านิ้ว แผ่นหลังมีรอยฟกช้ำห้อเลือดเป็นจ้ำๆ เต็มไปหมด ส่วนพวกบาดแผลเล็กน้อยกับรอยถลอกนี่ไม่ต้องพูดถึง นับกันไม่หวาดไม่ไหวเลยทีเดียว
“ยังมีอาการบาดเจ็บภายในแบบที่โอรอร์บอกเอาไว้ ไม่รู้ว่าตอนที่เข้ามาครั้งหน้ามันจะหายหรือเปล่านะ?” ลูมิแอร์อดนึกถึงการต่อสู้ก่อนหน้านี้ขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ จากนั้นก็ประเมินการลงมือของตัวเองออกมาได้ว่า “เกือบผ่าน”
ที่จริงแล้วในศึกครึ่งแรกนั้นเขาทำได้ค่อนข้างดีทีเดียว สามารถให้คะแนนตัวเองสูงหน่อยได้ เพราะไม่เพียงแต่สามารถใช้จุดอ่อนในเรื่องที่สัตว์ประหลาดมีระดับสติปัญญาไม่สูงนักทำให้มันตกลงไปในกับดักอันที่สองได้สำเร็จเท่านั้น เขายังปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ได้อย่างเคร่งครัดและรับมือกับเป้าหมายตามรูปแบบแผนการได้อย่างดีเยี่ยม ถ่วงไว้ได้เป็นเวลานานจนมันอยู่ในสภาพบาดแผลร่อแร่ได้อย่างสมบูรณ์ จุดที่หักคะแนนมีเพียงแค่เรื่องเดียวคือเขายังไม่มีประสบการณ์มากพอจึงเลือกใช้ส้อมเหล็กแทงสัตว์ประหลาดที่ก้นหลุมแทนที่จะหาก้อนหินใหญ่ๆ หนักๆ ทุ่มใส่ลงไป
ในครึ่งหลังของการต่อสู้ ความยินดีที่เข้าใกล้ชัยชนะผนวกกับที่ประสบการณ์การต่อสู้ไม่เพียงพอ รวมทั้งการดูแคลนสติปัญญาของสัตว์ประหลาดจนทำให้ถูกมันหลอกเอาและเกือบถูกฆ่าตาย
การลงมือแบบนี้ ยังไงก็นับว่าสอบตกแน่นอน แต่ยังโชคดีที่ความสำเร็จของครึ่งแรกก่อนหน้านี้ทำให้สัตว์ประหลาดถูกต้อนจนถึงขีดจำกัด ไม่มีเรี่ยวแรงจะสังหารเขาได้ในทันที จึงทำให้เขามีโอกาสทำสมาธิเพื่อเรียก ‘ความพิเศษ’ ออกมา
ว่ากันตามตรงแล้วลูมิแอร์ไม่คิดไม่ฝันแม้แต่น้อยว่า ‘ความพิเศษ’ จะมีผลมากถึงขนาดนี้ ถึงกับทำให้สัตว์ประหลาดตกอยู่ในความหวาดกลัวจนควบคุมตัวเองไม่ได้ ขนาดถูกโจมตีก็ยังไม่หลบหนีไปไหน
เดิมทีเขายังกลัวว่าสภาวะใกล้ตายตอนเรียก ‘ความพิเศษ’ ออกมาจะทำให้ศัตรูจัดการกับตัวเองได้อย่างสบายเสียอีก
“มันพิเศษจริงๆ ด้วย แถมยังแข็งแกร่งมาก…” ระหว่างทอดถอนใจ ลูมิแอร์ก็เกิดความคิดขึ้นมา
เหตุผลที่สัตว์ประหลาดในซากปรักหักพังพวกนั้นไม่เข้าใกล้บ้านตัวเอง ทำให้ที่นี่กลายเป็น ‘เขตปลอดภัย’ ก็เป็นเพราะว่าในบ้านนั้นมีของที่น่ากลัวอยู่ อย่างเช่น เจ้าของเสียงลึกลับคนนั้นที่ตนเองได้ยินตอนเรียก ‘ความพิเศษ’ !
ซี้ด… เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ลูมิแอร์ก็อดสูดหายใจเข้าไม่ได้
ปฏิกิริยาตามจิตใต้สำนึกของเขาก็คือต้องรีบพลิกบ้านค้นทุกซอกทุกมุมเพื่อหาสิ่งที่น่ากลัวนั่นออกมาให้ได้ แต่สุดท้ายก็สลัดความคิดนี้ทิ้งไปโดยเร็ว
คนที่ไม่มีปัญญาสู้กับสัตว์ประหลาดปืนลูกซองก็ไม่ควรแส่หาเรื่องไปยั่วยุสิ่งที่น่ากลัวขนาดที่สัตว์ประหลาดปืนลูกซองยังกลัวเสียจนไม่กล้าต่อต้าน!
ในเมื่อตอนนี้ภายในบ้านยังสงบสุขดีอยู่ อย่างนั้นก็อย่าไปเปิดดูใต้พรมเลย รักษาสถานะความเป็น ‘เขตปลอดภัย’ เอาไว้เหมือนเดิมนั่นแหละดีแล้ว
อยู่แบบนี้ให้ผ่านไปได้แต่ละวันก็อยู่ไปแบบนี้นี่แหละ
ส่วนอันตรายหลังจากนี้ก็รอไว้ในอนาคตค่อยเจอกันเถอะ
“ไม่สิ ไม่ใช่ในอนาคต รอไว้ให้ฉันกลายเป็นผู้วิเศษที่แข็งแกร่งในระดับหนึ่งได้เมื่อไหร่ต่างหาก” ลูมิแอร์ส่งสายตามองดูถุงผ้าในมือซ้าย
แม้ว่าจะตรวจสอบอาการบาดเจ็บโดยเปลือยท่อนบนอยู่หน้ากระจก แต่เขาก็ไม่อยากให้แหล่งของพลังวิเศษที่ได้มาอย่างยากลำบากอยู่ห่างจากตัว
“เจ้านี่จะเอามาใช้ได้ยังไงนะ?” ลูมิแอร์เปิดปากถุงผ้ามองดูก้อนสีแดงเข้มก้อนนั้น
มันนอนอย่างสงบอยู่ที่ก้นถุงผ้า รูปร่างไม่ได้เป็นรูปทรงตายตัว แต่ก็เห็นชัดว่าไม่มีชีวิต
ลูมิแอร์ที่ไร้ความรู้ในศาสตร์ลี้ลับ ในเวลานี้เขาไม่ทราบว่าจะต้องกินมันเข้าไปโดยตรงหรือว่าต้องทำพิธีกรรมเพื่อให้เจ้าก้อนแดงเข้มหลอมรวมเข้ากับตนเอง หรือว่าจะต้องเซ่นสังเวยให้ตัวตัวตนลึกลับสักองค์กันแน่
สองวิธีหลังนั้นเป็นเพราะเขาเคยอ่าน ‘ผ้าคลุมหน้าของความลับ’ มาก่อนจึงคิดแบบนี้ออกมา หากเป็นก่อนหน้านี้เขาคงคิดได้เพียงแค่คำเดียวเท่านั้น
“กิน!”
ลูมิแอร์ไม่ได้รีบร้อนตัดสินใจ วางแผนว่าจะไปปรึกษากับผู้หญิงลึกลับในร้านเหล้าเก่าเสียก่อน
เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายจะชี้แนะว่าตนเองต้องทำเช่นไรจึงจะได้รับพลังวิเศษจากเจ้าก้อนสีแดงเข้มนี้ได้
แม้จะไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงมีเจตนาทำเช่นนี้ แต่สัญชาตญาณบอกเขาว่าอย่างนั้น
แต่ถ้าไม่ได้ผลเขาก็ยังสามารถไปคุยกับพี่สาวได้อยู่ดี
ลูมิแอร์รีบแต่งตัวแล้วยัดก้อนสีแดงเข้มกับเงินทั้งหมดที่ได้มาใส่ลงในกระเป๋าเสื้อด้านใน
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จแล้วเขาก็ล้มตัวนอนบนเตียง
ความอ่อนล้าอย่างรุนแรงปะทุขึ้นมา มันสะกดอาการปวดที่ลำคอ แผ่นหลัง และความไม่สบายบนร่างไว้ได้ ทำให้เขาผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
* * * * *
เมื่อลูมิแอร์ลืมตาตื่นขึ้นมา แสงแดดภายนอกได้สาดทะลุผ้าม่านส่องสว่างไสวไปทั่วทั้งห้องแล้ว
เขาลุกขึ้นมานั่งอย่างเชื่องช้า รู้สึกปวดระบมไปทั้งตัวราวกับในฝันได้ถูกคนทุบตีเสียจนสะบักสะบอม
รู้สึกน่วมไปทั้งตัวเลยแฮะ… อาการบาดเจ็บในฝันส่งผลถึงความเป็นจริงได้จริงด้วย แต่มันก็เบากว่าอย่างเห็นได้ชัด… ลูมิแอร์ลองขยับท่าขยับทางดูก็พบว่านอกจากปวดกล้ามเนื้อแล้วก็ไม่ได้รู้สึกถึงผลกระทบอื่นใดอีก
นี่ทำให้เขาโล่งใจได้
จากนั้นเขาก็ตบที่กระเป๋าบนตัวทุกๆ ตำแหน่ง
“ไม่มี…ไม่มี!” ลูมิแอร์ไม่อาจนำก้อนสีแดงเข้มนั่นออกมาได้
นี่ทำให้เขาหน้าเครียดขึ้งคิ้วขมวด ไม่ทราบว่าต้องทำเช่นไร
ในฐานะที่เป็นสิ่งของที่มีพลังวิเศษ ก้อนสีแดงเข้มนั่นกลับไม่ได้ตามเขาออกมาสู่ความจริงด้วย นี่มันต่างจากที่ผู้หญิงลึกลับคนนั้นในร้านเหล้าพูดเอาไว้นี่นา!
ลูมิแอร์สงบจิตสงบใจ รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกจากห้อง
ประตูห้องน้ำเปิดคาอยู่ โอรอร์กำลังหันหน้าไปทางกระจก แปรงฟันอย่างตั้งอกตั้งใจ
“รุนหวัด” ลูมิแอร์กล่าวทักทาย
“ไม่รุนแล้ว สายโด่งป่านนี้…” โอรอร์พูดเสียงอู้อี้
คร่อก คร่อก คร่อก ผมหางม้าสีบลอนด์สะบัดกระดุกกระดิก จากนั้นเธอก็บ้วนน้ำยาบ้วนปากที่อมไว้ออกมา
แล้วเธอก็หันหน้าไปมองลูมิแอร์
“เมื่อคืนแอบออกไปก่อเรื่องอะไรมาหรือเปล่า?”
“นกฮูกตัวนั้นอยู่ข้างนอก ฉันจะกล้าออกไปได้ไง?” ลูมิแอร์ตอบอย่างสงบนิ่งมาก
“นั่นสินะ” โอรอร์ไม่ได้สานต่อหัวข้อนี้ เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นแทน “อีกเดี๋ยวอย่าลืมเอาห้าเฟลกิ้นไปให้ทางสำนักบริหารเพื่อส่งโทรเลขด้วยล่ะ”
ลูมิแอร์ผงกศีรษะ
นี่เป็นกุญแจสำคัญสำหรับการหลบหนีออกจากหมู่บ้านกอร์ดูของตัวเขาและโอรอร์ เขาไม่กล้าลืมแม้แต่วินาทีเดียว
กินอาหารเช้าเสร็จแล้วลูมิแอร์ก็เดินไปที่ลานจัตุรัสของหมู่บ้าน ซึ่งอาคารสองชั้นของสำนักบริหารตั้งอยู่ที่นั่น
ตอนที่เขามาถึง บิวส์ผู้บริหารท้องถิ่นยังอยู่ที่บ้าน แต่พนักงานคนอื่นๆ เริ่มมาทำงานประจำวันกันแล้ว
หลังจากชำระค่าธรรมเนียมและส่งโทรเลขเสร็จ ลูมิแอร์ก็กลับหลังหัน มุ่งหน้าไปยังร้านเหล้าเก่า
ถึงแม้ว่าตอนนี้หญิงสาวลึกลับคนนั้นดูยังไงก็ยังไม่น่าจะตื่น แต่เขาก็เต็มใจไปรอ
การแสวงหาพลังวิเศษนี้เขารอคอยมาอย่างเนิ่นนาน จะให้รอต่ออีกสักหน่อยเขาก็เต็มใจ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น