ตอนที่ 25 ลำดับและโอสถ
ราชันเร้นลับ (ราชันโลกพิศวง) ภาคสอง : บ่วงชะตากรรม
ตอนที่ 25 ลำดับและโอสถ
※ ※ ※ ※ ※
เมื่อลูมิแอร์เข้าไปในร้านเหล้าเก่าก็รู้สึกผิดคาดที่ผู้หญิงคนนั้นตื่นแล้วและกำลังรับประทานมื้อเช้าอยู่ที่มุมเดิม
ชุดที่เธอสวมเป็นชุดใหม่อีกแล้ว มันเป็นชุดเดรสยาวสีน้ำตาลที่มีระบายอยู่ด้านข้างและเนกไทแบบตั้งตรง ทั้งยังมีหมวกกำมะหยี่สีเข้มวางอยู่ด้านข้าง นี่ทำให้เธอดูราวกับเพิ่งกลับมาจากการไปงานชุมนุมสังสรรค์ที่ไหนสักแห่งของสังคมชั้นสูง
“ตื่นเช้าจัง?” ลูมิแอร์สงบใจแล้วเดินเข้าไปหา
ผู้หญิงคนนั้นเงยหน้ามองเขา
“ไม่คิดบ้างเหรอว่าฉันอาจจะไม่ได้นอนมาทั้งคืนก็ได้?”
“นั่นสินะ” ลูมิแอร์ไม่ได้รู้สึกแปลกสำหรับสถานการณ์เช่นนั้น ถึงอย่างไรก็ตอนที่ใกล้ถึงเส้นตายสำหรับส่งต้นฉบับ โอรอร์พี่สาวเองก็โต้รุ่งอยู่บ่อยครั้ง เขาเพียงแค่สงสัยว่าผู้หญิงซึ่งมีที่มาอันลึกลับและไม่ทราบวัตถุประสงค์แน่ชัดคนนี้ทำไมจู่ๆ ถึงได้พูดประโยคแบบนั้นออกมา
เขาเหลือบมอง ‘โต๊ะอาหาร’ ของอีกฝ่าย พบว่าอาหารที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะนั้นประกอบไปด้วยครีมซูเฟล่โรยหน้าด้วยถั่ว มัฟฟินอบที่ดูน่าอร่อยหนึ่งชิ้น ครัวซองต์หนึ่งชิ้น กาแฟดำหนึ่งแก้ว และคุกกี้ลิ้นแมว [1]
คุณเธอนี่ช่างเจริญอาหารเสียจริง… แต่ของพวกนี้กอร์ดูทำให้ไม่ได้แน่ นอกจากโอรอร์ก็มีแค่คนครัวที่บ้านของผู้บริหารท้องถิ่นเท่านั้นแหละถึงจะทำออกมาได้… ลูมิแอร์นั่งลงแล้วพูดอย่างไม่ได้จริงจังนัก
“เป็นขนมทั้งนั้นเลยนี่นา”
ผู้หญิงคนนั้นผงกศีรษะอย่างจริงจัง
“ขนมของอินทิสนี่รสชาติไม่เลวเลยจริงๆ แถมยังมีหลากหลายประเภทอีกด้วย ต่อให้กินเป็นมื้อเช้าทุกวันตลอดทั้งเดือนก็ยังไม่ซ้ำกันเลย”
พูดจบเธอก็กัดคุกกี้ลิ้นแมว ปรือตาพริ้ม ซึมซับรับรู้รสชาติของมันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมา
“นี่สิถึงจะเป็นหนึ่งในความหมายของการเดินทาง”
“คุณไม่ใช่คนอินทิสหรอกเหรอ?” ลูมิแอร์ถือโอกาสถามตามน้ำ
ผู้หญิงคนนั้นยิ้ม
“ฉันมาจากโลเอน แต่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสถานการณ์ตอนนี้หรอก ไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร”
ที่นับว่าเป็นผลิตภัณฑ์เฉพาะของโลเอน นอกจากเครื่องจักรไอน้ำ พวกบริษัทโรงงาน กองทหารจำนวนมหาศาล ก็มีแค่เก้าอี้เอน ซอสมินต์ [2] ปลาทอดใส่มันฝรั่ง แล้วก็เบียร์ที่หมักจากลูกสละนั่นแหละ อย่างอื่นยังจะมีอะไรอีกด้วยเหรอ? ในฐานะชาวอินทิสแต่กำเนิด ลูมิแอร์จึงนึกถึงคำพูดที่ทุกคนมักจะล้อเลียนอาณาจักรโลเอนขึ้นมาได้ทันที
เขาร้อง “อื้อ” คำหนึ่งแล้วก็เปลี่ยนเรื่อง
“ผมจัดการสัตว์ประหลาดสะพายปืนลูกซองตัวนั้นไปแล้ว”
ผู้หญิงคนนั้นจิบกาแฟแล้วเอ่ยชมด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“ไม่เลว”
ไม่ทราบว่าทำไม แต่ลูมิแอร์รู้สึกว่าในดวงตาของอีกฝ่ายเจืออารมณ์แปลกๆ อยู่ด้วย
การพูดคุยสนทนาหลายครั้งก่อนหน้านี้ เขาก็เกิดความรู้สึกที่คล้ายๆ แบบนี้เหมือนกัน รู้สึกว่าอีกฝ่ายนั้นนอกจากขี้เล่นและมีอารมณ์ขันแล้วก็ยังมีอารมณ์อะไรบางอย่างแฝงเร้นอยู่ด้วย เพียงแต่ตนเองนั้นไม่อาจแยกแยะออกมาได้ว่ามันคืออะไรกันแน่
เขาพูดต่อ
“ผมได้ของสีแดงเข้มที่รูปร่างไม่ได้เป็นทรงตายตัวมาจากร่างของสัตว์ประหลาดตัวนั้นด้วย พอถือเอาไว้มันทำให้ผมหงุดหงิดและเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“ผมเชื่อว่ามันต้องเป็นของที่เกี่ยวข้องกับพลังวิเศษแน่ๆ แต่มันไม่ได้ตามผมออกมาในความจริงด้วย”
ผู้หญิงคนนั้นยิ้มให้
“คุณเข้าๆ ออกๆ บ่อยขนาดนั้น อย่าบอกนะว่ายังไม่รู้ว่านอกจากสภาวะของตัวคุณเองแล้วน่ะ อย่างอื่นไม่มีทางเอาออกมาได้?”
“แต่คุณบอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าพวกของที่มีพลังวิ…” ลูมิแอร์ยังพูดไม่ทันจบก็หยุดชะงักไป
เขานึกถึงความเจ็บปวดของร่างกายในตอนนี้ นึกถึงที่ได้รับบาดเจ็บในความฝัน นึกถึงว่าความทรงจำในเรื่องดังกล่าวไม่ได้หายไปในตอนที่กลับมาสู่ความจริง
หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งเขาก็พูดอย่างไตร่ตรอง
“คุณหมายความว่าหลังจากได้รับพลังวิเศษจากก้อนสีแดงเข้มนั่นจนทำให้กลายเป็นผู้วิเศษแล้ว สภาวะที่ว่านั่น… ที่ไม่เหมือนมนุษย์ทั่วไปน่ะ จะตามออกมาในความจริงด้วยใช่ไหม?”
“นับว่าหัวไวใช้ได้” ผู้หญิงคนนั้นไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา เธอยังคงเพลิดเพลินอยู่กับครีมซูเฟล่ไม่หยุดปาก
“แต่แบบนั้น พลังวิเศษจะไม่อ่อนลงเหรอ?” ลูมิแอร์ถามต่อด้วยคิ้วที่ขมวดมุ่น “อาการบาดเจ็บที่ผมได้รับในความฝัน พอออกมาในความจริงมันก็เบาลงไปเยอะเลย”
“สภาวะที่เกิดจากลักษณะพิเศษจะไม่เป็นแบบนั้น” ผู้หญิงคนนั้นเงยหน้ามองลูมิแอร์ “เพราะงั้นฉันถึงได้บอกไว้ไงล่ะว่าพลังวิเศษเป็นข้อยกเว้น”
“ลักษณะพิเศษ…” ลูมิแอร์สังเคราะห์ความหมายของคำนี้
เขานึกถึงที่พี่สาวพูดว่า ‘ผู้วิเศษ’
เมื่อได้รับลักษณะพิเศษมาก็จะกลายเป็นผู้วิเศษใช่ไหม? ลูมิแอร์พอจะเข้าใจได้อย่างเลาๆ
และจากคำอธิบายของผู้หญิงที่อยู่เบื้องหน้านี้ เขาก็เริ่มคาดเดาคุณลักษณะของความฝันต่ออีก…
ซากปรักหักพังนั่นมีอยู่จริง หรือไม่ก็เคยตั้งอยู่ที่ไหนสักแห่งในความจริง แต่ต่อมาได้ตกเข้าสู่ในส่วนลึกของห้วงความฝันของผู้ยิ่งใหญ่สักคน ดังนั้นกระแสเวลามันจึงดำเนินไปเรื่อยๆ
ตัวตนความฝันของฉันก็คือทางผ่านพิเศษเส้นหนึ่ง เป็นเส้นทางพิเศษที่เกิดจากอิทธิพลของสัญลักษณ์บนหน้าอก แล้วไปเชื่อมต่อกับซากปรักหักพังแห่งนั้นงั้นเหรอ?
ถ้าใช้พื้นฐานจากการคาดเดานี้ อย่างงั้นบ้านฉันที่ปรากฏขึ้นในความฝันมันก็คือรอยประทับที่ฉันสร้างขึ้นในตอนที่มีการเชื่อมต่อกัน แล้วแสดงออกมาเป็นสถานที่ที่จิตใต้สำนึกของฉันคิดว่าปลอดภัยที่สุด เพราะงั้นมันก็เลยต่างไปจากพื้นที่รกร้างรอบๆ และต่างจากซากปรักหักพังนั่น เหมือนเป็นคนละโลกกันสินะ…
ที่พวกสัตว์ประหลาดไม่กล้าเข้าใกล้ก็เป็นเพราะว่าพวกมันเข้าไปไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ เพราะที่จริงแล้วพวกมันอยู่ในซากปรักหักพัง ส่วน ‘บ้าน’ ฉันเกิดจากการหลอมรวมความฝันกับ ‘ความจริง’ เข้าด้วยกัน คนที่ไม่มีเครื่องหมายพิเศษก็เลยไม่มีทางผ่านสิ่งกีดขวางเข้าไปได้…
เครื่องหมายพิเศษนั่นมีผลเฉพาะกับตัวตนของฉันเท่านั้น สภาวะบนตัวจะถูกบันทึกเอาไว้และส่งกลับไปสู่ความจริง ซึ่งในช่วงเวลาที่โอนถ่ายนั้นสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับพลังวิเศษจะถูกลดทอนลงไป สิ่งที่เกี่ยวข้องจะไม่เปลี่ยนแปลง ความตายเองก็เช่นเดียวกัน ดังนั้นตายในความฝันก็คือตายในความจริง…
ถ้าหากเป็นอย่างนั้นจริงๆ งั้นบ้านที่อยู่ในฝันก็ไม่ได้มีอะไรที่น่ากลัว แต่แหล่งที่มาของสัญลักษณ์บนหน้าอกและต้นตอของเสียงที่น่ากลัวนั่นต่างหาก ถึงจะเป็นสัญลักษณ์ของอะไรบางอย่างที่น่ากลัว…
ลูมิแอร์นิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ในขณะที่ผู้หญิงที่นั่งตรงข้ามกำลังเอร็ดอร่อยไปกับอาหารเช้า ไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อย
เมื่อได้สติกลับมา ลูมิแอร์ก็เอ่ยถาม
“ถ้างั้นเจ้าก้อนสีแดงเข้มนั่นจะต้องใช้ยังไงเหรอ? มันใช่ลักษณะพิเศษที่ท่านพูดถึงหรือเปล่า?”
ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ เขาอดใช้คำที่แสดงความเคารพไม่ได้
ผู้หญิงคนนั้นวางแก้วกาแฟในมือลงแล้วเหลือบมองเขา
“ฉันสามารถให้สูตรโอสถกับคุณได้ คุณแค่ทำตามสูตรนั่นก็พอ”
ได้รับของขวัญมาแบบนี้ทำให้ลูมิแอร์รู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
“ทำไมคุณถึงช่วยผมล่ะ?”
ผู้หญิงคนนั้นหัวเราะออกมา
“ถ้าฉันบอกว่าโชคชะตาจัดสรรล่ะ คุณจะเชื่อหรือเปล่า?”
ไม่เชื่อเด็ดขาด… ในใจของลูมิแอร์ตอบตามจิตใต้สำนึกทันที
แต่ความผิดปกติของหมู่บ้านกอร์ดู แรงกดดันจากพายุที่ใกล้ถาโถมเข้าใส่ รวมทั้งความปรารถนาในพลังวิเศษ ทำให้เขาระงับความไม่สงบภายในใจแล้วพูดด้วยเสียงทุ้มลึก
“ผมเชื่อ”
เมื่อโอกาสมาถึงก็ต้องพยายามไขว่คว้าให้ถึงที่สุด ต้องไม่ลังเล ต้องรู้จักมองการณ์ไกลใคร่ครวญให้มาก!
ผู้หญิงคนนั้นยิ้มให้ ดวงตาซึ่งเจือด้วยอารมณ์ที่ลูมิแอร์อธิบายไม่ถูกนั้นดูราวกับมีความเข้มข้นมากขึ้นเล็กน้อย
เธอหยิบปึกกระดาษโน้ตและปากกาหมึกซึมท้องกลมตัวด้ามสีเงินออกมาจากกระเป๋าถือผู้หญิงใบสีดำ แล้วเริ่มขีดๆ เขียนๆ
ในเวลาอันสั้นเธอก็หยุดปากกาในมือ ฉีกกระดาษโน้ตแผ่นบนออกมาส่งให้ลูมิแอร์
ลูมิแอร์รีบรับมาแล้วอ่านอย่างรวดเร็ว
“สูตรโอสถ ‘นักล่า’ :
“ส่วนผสมหลัก : ลักษณะพิเศษของ ‘นักล่า’ 1 ชิ้น
“ส่วนผสมรอง : ไวน์แดง 80 มิลลิลิตร, ดอกเกาลัดแดง 1 ดอก (สามารถใช้ตัวอย่างสะสม หรือใช้น้ำมันหอมระเหยของมัน 10 หยดแทนก็ได้) , ใบป็อปลาร์ป่น 5 กรัม, ใบโหระพา 10 กรัม
“วิธีใช้ : ดื่มเข้าไปโดยตรง”
ลูมิแอร์จดจำเนื้อหาดังกล่าวเอาไว้ในใจ จากนั้นจึงพับกระดาษโน้ตใส่กระเป๋าด้านในของเสื้อแจ็กเกตสีน้ำตาล
ทำเรื่องทั้งหมดนี้เสร็จแล้วเขาก็ถามด้วยความอยากรู้
“ ‘นักล่า’ นี่หมายความว่ายังไง?”
นักล่าในความหมายของความพิเศษน่ะเหรอ?
“มันคือชื่อของลำดับที่เกี่ยวข้องน่ะ” ผู้หญิงคนนั้นจิบกาแฟอีกครั้ง “ฉันรู้ว่าคุณไม่ค่อยรู้เรื่องศาสตร์ลี้ลับมากเท่าไหร่ งั้นจะสรุปแบบคร่าวๆ ให้ฟังก็แล้วกัน
“พลังวิเศษที่พบเห็นโดยทั่วไปบนโลกของเราน่ะมีอยู่ทั้งหมดยี่สิบสองเส้นทางด้วยกัน ซึ่งจะได้รับมาจากการเตรียมโอสถด้วยวัตถุดิบที่มีลักษณะพิเศษที่เกี่ยวข้อง ในแต่ละเส้นทางจะมีทั้งหมด 10 ลำดับขั้น ไล่ตั้งแต่ลำดับ 9 ไปจนถึงลำดับ 0 ตัวเลขยิ่งน้อยก็ยิ่งมีระดับตำแหน่งสูงและยิ่งมีพลังแข็งแกร่งมากขึ้น
“ลักษณะพิเศษที่คุณได้มาเป็นของเส้นทาง ‘นักบวชสีชาด’ สามารถใช้เพื่อปรับเปลี่ยนให้เป็น ‘นักล่า’ ลำดับ 9 ที่สอดคล้องกันเท่านั้น”
ลูมิแอร์ที่ฟังอย่างตั้งใจจู่ๆ ก็โพล่งออกมา
“งั้นโอรอร์พี่สาวผมเป็นเส้นทางอะไรอยู่ลำดับไหนเหรอ?”
“เธอเป็นลำดับ 7 ‘ผู้ใช้เวท’ ของเส้นทาง ‘ผู้สอดส่องความลับ’ ” ผู้หญิงคนนั้นตอบอย่างเฉยชา
เธอไม่ได้บอกว่าตนเองรู้ได้อย่างไร
โอรอร์อยู่ลำดับ 7 แล้วเหรอ? นั่นสินะ เธอได้รับพลังวิเศษมาตั้งหลายปีแล้วนี่นา… พอฉันกินโอสถเข้าไปเมื่อไหร่ก็จะเป็นลำดับ 9 ยังห่างจากเธออีกพอควร… ก็ได้แต่หวังว่าตอนที่หนีออกจากกอร์ดูฉันจะไม่ถ่วงแข้งถ่วงขาเธอล่ะนะ… ลูมิแอร์อดถามอีกไม่ได้
“แล้วจะดื่มโอสถของลำดับสูงโดยตรงเลยได้ไหม หรือไม่ก็วันนี้ดื่มของลำดับ 9 ไปแล้วพรุ่งนี้ก็ดื่มของลำดับ 8 ต่อเลยน่ะ?”
“ตามทฤษฎีก็ได้แหละ” หลังจากผู้หญิงคนนั้นเห็นสีหน้าลูมิแอร์เผยความยินดี เธอก็พูดเสริม “แต่คนที่ทำแบบนั้นน่ะ ส่วนใหญ่ถ้าไม่ตายก็กลายเป็นสัตว์ประหลาด ในสิบล้านคนไม่น่าจะมีใครประสบความสำเร็จแม้แต่คนเดียว”
“กลายเป็นสัตว์ประหลาดงั้นเหรอ?” ลูมิแอร์ตระหนกขึ้นมา
ผู้หญิงคนนั้นหัวเราะ “เหอะ เหอะ”
“พี่สาวคุณไม่ได้บอกหรือไงว่าเส้นทางของผู้วิเศษน่ะอันตรายมาก?
“หลังจากดื่มโอสถเข้าไปแล้ว ถ้าหากไม่สามารถควบคุมพลังนั่นไว้ได้ ผลก็คือร่างกายจะเสื่อมสลายจนตายหรือไม่ก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดไป คุณคิดว่าทำไมพวกตัวที่คุณเจอมาถึงอยู่ในร่างมนุษย์ล่ะ?”
มิน่าล่ะ… ในที่สุดลูมิแอร์ก็เข้าใจอย่างกระจ่างแล้วว่าที่พี่สาวบอกว่าอันตรายนั้นคืออะไร
แต่เขาก็เต็มใจเผชิญหน้ากับมัน
“ไม่มีวิธีที่ลดอันตรายในเรื่องนี้ได้เลยเหรอ?” เขาเอ่ยถามขึ้น
ผู้หญิงคนนั้นมองดูเขาอยู่สองวินาที
“มีสิ… ความมุ่งมั่นที่แน่วแน่ สภาพร่างกายที่ดี ไม่อับโชคจนเกินไป ส่วนเรื่องอื่นๆ คุณยังไม่ต้องรู้ในตอนนี้ เพราะนี่เพิ่งจะเป็นโอสถแรกของคุณ”
“สภาพร่างกายที่ดี…” ลูมิแอร์ที่เดิมทีคิดว่าจะกลับไปนอนเพื่อดื่มโอสถพลันขมวดคิ้วขึ้นมา
ตัวเขาในความฝันยังอยู่ในสภาพได้รับบาดเจ็บหนัก
ผู้หญิงที่นั่งตรงข้ามผงกศีรษะเบาๆ
“ไม่ต้องรีบหรอก รอไว้ตอนกลางคืน รอให้ความเจ็บปวดบนตัวทุเลาลงแล้วค่อยเข้าไปในฝัน”
“เอ่อ…” ลูมิแอร์ถามอย่างครุ่นคิด “ขอเพียงแค่ตัวผมในความจริงเกือบจะหายดี อาการบาดเจ็บในความฝันก็จะหายสนิทอย่างนั้นเหรอ?”
พึงรู้ว่าร่างกายเขาในความจริงแค่ปวดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น นี่แตกต่างจากอาการบาดเจ็บในความฝันอย่างสิ้นเชิง!
“ถูกต้อง” ผู้หญิงคนนั้นยืนยันการคาดเดาของลูมิแอร์
จากนั้นเธอก็พูดต่อ
“เกี่ยวกับเรื่องโอสถและเส้นทางของทวยเทพยังมีเรื่องที่ต้องรู้อีกเยอะ รอไว้ให้คุณดื่มโอสถเสร็จและกลายเป็น ‘นักล่า’ ได้สำเร็จ ฉันค่อยเล่าให้คุณฟัง”
เส้นทางของทวยเทพ… ลูมิแอร์พูดอย่างสงสัย
“ทำไมไม่บอกตอนนี้เลยล่ะ?”
ผู้หญิงคนนั้นหัวเราะ
“ถ้าคุณดื่มโอสถแล้วตายหรือกลายเป็นสัตว์ประหลาดไป จะไม่กลายเป็นว่าที่ฉันพูดจนคอแหบคอแห้งก็เท่ากับเสียพลังงานเสียเวลาไปเปล่าๆ หรือไง?”
“…” ลูมิแอร์หมดคำจะพูด
เขาลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวอำลา
ก่อนจะแยกจากกัน เขาถามขึ้นอีกเรื่อง
“คุณรู้ใช่ไหมว่ามีความผิดปกติในหมู่บ้านกอร์ดูน่ะ?”
* * * * *
[1] คุกกี้ลิ้นแมว (Langue de chat) เป็นบิสกิตหรือช็อกโกแลตแท่งเล็กๆ ที่มีอยู่ในหลายประเทศในยุโรป เอเชีย และอเมริกาใต้ ที่ตั้งชื่อนี้เพราะว่าบิสกิตมีลักษณะยาวและแบน ค่อนข้างคล้ายลิ้นแมว
[2] ซอสมินต์ (Mint sauce) เป็นซอสสีเขียวที่มีต้นกำเนิดในสหราชอาณาจักร ทำจากใบสะระแหน่สับละเอียดแช่ในน้ำส้มสายชูและน้ำตาลเล็กน้อย บางครั้งก็เติมน้ำมะนาว อาหารอังกฤษและไอริชในบางพื้นที่มักเสิร์ฟเป็นเครื่องปรุงสำหรับเนื้อแกะย่างหรือถั่วลันเตา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น