ตอนที่ 7 นาโรคา

บ่วงชะตากรรม : ราชันเร้นลับ (ราชันโลกพิศวง) ภาคสอง

ตอนที่ 7 นาโรคา

※ ※ ※ ※ ※

เมื่อออกจากร้านเหล้ามาแล้ว ลูมิแอร์ก็ยืนอยู่บนถนนดินอัด ลังเลว่าจะไปที่ไหนต่อดี

แสงอาทิตย์ยามเช้าที่สาดฉาย นำพาความเย็นมาด้วยเล็กน้อย

แล้วในตอนนี้แรมุนด์ เกร็กก็เข้ามาจากด้านข้าง

“กำลังจะไปหานายอยู่เลย”

“มีอะไรเหรอ?” ลูมิแอร์กลับมาเป็นปกติ เขาเอ่ยถามอย่างตั้งใจ

แรมุนด์ถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“นายลืมไปแล้วเหรอ? ก็วันนี้พวกเราจะไปหาคนแก่ๆ ที่อายุพอๆ กับปู่ฉันที่ยังไม่ตายไงล่ะ จะได้ไปถามเรื่องเล่าลือเกี่ยวกับผู้ใช้เวทน่ะ”

ลูมิแอร์ยกมือกุมศีรษะ ใบหน้าแสดงความเจ็บปวด

“จริงเหรอ? งั้นทำไมฉันถึงจำไม่ได้ล่ะ ไม่ใช่ว่านายประสาทหลอนไปเองหรอกนะ?”

แรมุนด์ทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว กำลังจะย้อนนึกถึงเรื่องเมื่อวานเพื่อเปรียบเทียบยืนยันว่าตัวเองประสาทหลอนไปเองหรือไม่ ก็พลันเห็นว่าจู่ๆ ใบหน้าลูมิแอร์มีรอยยิ้มปรากฏขึ้น

“ไอ้เวรนี่ มาหลอกกันอีกแล้ว!” แรมุนด์อดด่าออกมาไม่ได้

“ด่าไม่ได้เรื่องเอาซะเลย” ลูมิแอร์ถอนหายใจ “เอวายังด่าได้ดีกว่านายเสียอีก”

เอวา ลิเซียร์เป็นสาวงามของหมู่บ้านกอร์ดู ในตอนนี้เป็น ‘สาวเลี้ยงห่าน’

กีโยม ลิเซียร์พ่อของเธอเป็นช่างทำรองเท้า เก่งเรื่องการใช้หนังที่คนเลี้ยงแกะให้มา เอามาทำเป็นรองเท้า เขาค่อนข้างมีชื่อเสียงในหลายหมู่บ้านย่านนี้

“เอวา…” สีหน้าแรมุนด์เปลี่ยนไป

แล้วเขาก็มองลูมิแอร์

“เอวาเป็นเพื่อนเรา… ถูกไหม?”

“แหงสิ” ลูมิแอร์ผงกศีรษะด้วยรอยยิ้ม

พวกเขาทั้งสามคน รวมทั้งกีโยมบ้านแบร์รี่ แล้วก็อาเซมา ลิเซียร์น้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของเอวาทางฝั่งแม่ด้วยอีกคน พวกเขาเป็นวัยรุ่นหนุ่มสาวที่มักเล่นด้วยกันอยู่เสมอ

“ทำไมไม่ให้เอวามาร่วมเรื่องการสืบหาความจริงของเรื่องเล่าลือล่ะ” แรมุนด์เสนอขึ้น “นายก็รู้ว่าพ่อเธอชอบพูดตลอดว่า ‘ผู้หญิงที่แต่งงานทำไมถึงต้องจ่ายค่าสินสอดทองหมั้นด้วย มีตั้งหลายครอบครัวที่ต้องหมดตัวน่ะ’ นี่ทำให้เธอไม่สบายใจมาก ถ้าในระหว่างที่สืบหากันอยู่แล้วเก็บสมบัติหรือรางวัลมาได้ เธอก็น่าจะโล่งใจขึ้นมาก”

“ฉันเคยได้ยินพวกผู้ชายเสาหลักของหลายๆ ครอบครัวพูดอะไรทำนองนี้เหมือนกัน รวมทั้งบาทหลวงประจำโบสถ์ด้วย พวกเขาอยากจะให้พี่น้องผู้ชายของตัวเองอยู่บ้านเดียวกันไปทั้งชาติ ต่อให้แต่งงานแล้วก็ไม่แยกตัวออกไปสร้างครอบครัว จะได้ไม่ต้องแบ่งทรัพย์สินออกไปให้ลดลง” ลูมิแอร์เหลือบมองแรมุนด์ด้วยรอยยิ้มแล้วพูดอย่างไม่ตั้งใจ “ดังนั้นจึงมีหลายบ้านหลายครอบครัวที่มักจะให้ลูกคนใดคนหนึ่งไปเป็นคนเลี้ยงแกะ แบบนั้นก็แทบจะไม่มีโอกาสได้แต่งงานแยกบ้าน รายได้ก็แน่นอน สามารถส่งเงินกลับมาเลี้ยงดูพวกเขาได้ตลอด”

สีหน้าแรมุนด์ค่อยๆ หม่นหมองลง

เขาไม่เคยนึกถึงปัญหาข้อนี้เลยจริงๆ

นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมเขาถึงชอบมาเล่นกับลูมิแอร์ ถึงแม้ใครๆ ในหมู่บ้านจะพากันบอกว่าคนคนนี้นิสัยไม่ดี ชอบโกหก ชอบกลั่นแกล้ง แต่ความรอบรู้ของเขานั้นเหนือล้ำกว่าคนในวัยเดียวกัน ไม่เหมือนตนเองที่ไม่ค่อยรู้เรื่องราวอะไรมากนัก หัวทึบคิดอะไรไม่ค่อยออก คนที่บ้านว่าอะไรมาก็ได้แต่ต้องทำตามนั้นไป

รู้ตัวก็ดีแล้ว… ลูมิแอร์พูดในใจ ก่อนจะพาหัวข้อกลับสู่ฝั่ง

“ไปตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว พวกเรารีบไปถามคนกันก่อนเถอะ ไว้พรุ่งนี้ค่อยไปหาเอวา อืม… เอาไว้ให้กีโยมจูเนียร์กับอาเซมาร่วมด้วยก็แล้วกัน นอกจากเรื่องที่ว่าอาจจะเก็บเกี่ยวอะไรมาได้ การไปสืบหาก็ยังเป็นเรื่องน่าสนุกสำหรับฝึกทักษะพวกเราได้ด้วย”

“จะให้กีโยมจูเนียร์กับอาเซมาร่วมด้วยงั้นเหรอ” แรมุนด์รู้สึกไม่ค่อยเต็มใจอยู่บ้าง

ยิ่งมีคนเยอะมากเท่าไร ส่วนแบ่งที่ตนเองจะได้รับก็ยิ่งลดน้อยไปมากเท่านั้น

และที่สำคัญที่สุดก็คือ… ถ้าเป็นแบบนี้ตนเองก็จะหาโอกาสเอาใจเอวาไม่ได้ด้วย

ลูมิแอร์มองดูเจ้าหมอนี่ด้วยสายตาที่เห็นใจและเป็นมิตร

เจ้าทึ่มเอ๊ย… นายคิดว่าเอวาจะมองนายหรือไง? คิ้วเธอสูงขนาดไหนรู้หรือเปล่า เธอต้องการแต่งเข้าตระกูลดีๆ เท่านั้นแหละ ก็เห็นๆ อยู่ว่าเธอน่ะมีใจให้ ‘เจ้าแสบ’ อย่างฉัน แต่ก็ยังควบคุมตัวเองเอาไว้…

ในเขตพื้นที่ดาริแยฌนั้น คำพูดที่บอกว่ามีคิ้วสูงหมายถึงเป็นคนหัวสูง ดูถูกคนสามัญธรรมดา

“พี่สาวฉันเคยบอกไว้ว่ามีคนมากก็มีกำลังมาก” ลูมิแอร์อธิบายง่ายๆ “แล้วนี่มีคนแก่ที่ไหนที่ต้องไปหาล่ะ”

“นี่นายไม่ได้สืบอะไรมาเลยหรือไง?” แรมุนด์รู้สึกประหลาดใจ

มีเรื่องไพ่ ‘ไม้เท้า’ แล้วฉันยังจะมีกะจิตกะใจไปถามใครอีกล่ะ… ลูมิแอร์พูดด้วยรอยยิ้ม

“ฉันก็ต้องไปสืบมาอยู่แล้วสิ ก็แค่อยากจะทดสอบความสามารถในการรวบรวมข้อมูลของนายเท่านั้นแหละ”

แรมุนด์ไม่ได้สงสัยแม้แต่น้อย

“คนแก่ที่อายุไล่เลี่ยกับปู่ฉันหรือมากกว่านิดหน่อยและยังไม่ตายน่ะ ในหมู่บ้านมีอยู่ด้วยกันทั้งหมดเก้าคน แบ่งเป็น…”

หญิงหกชายสาม พวกผู้หญิงนี่ช่างอายุยืนกันเสียจริง… ลูมิแอร์ฟังจนจบก็ครุ่นคิดแล้วพูดขึ้น

“สองคนหลังไม่ต้องไปหาหรอก พวกเธอเป็นคนหมู่บ้านอื่นแต่งงานเข้ามาอยู่ที่นี่

“เอ่อ…พวกเราเลือกไปหานาโรคากันก่อนก็แล้วกัน เธออายุมากที่สุด ตอนที่เกิดเรื่องผู้ใช้เวทคนนั้นก็น่าจะโตแล้วล่ะ”

นาโรคาไม่ได้เป็นชื่อจริง แต่เป็นชื่อที่เรียกด้วยความเคารพยกย่อง

ในจังหวัดรีสตันนั้น ผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ถ้าหากมีภูมิหลังตระกูลเป็นผู้มีฐานะมีหน้าตาทางสังคมหรือว่าหลังจากแต่งงานมาก็เป็นเสาหลักของครอบครัวอย่างแท้จริง จะมีสิทธิ์ได้รับการขนานนามว่า ‘มาดาม’ ซึ่งในกรณีที่เป็นรูปธรรมก็คือเพิ่ม ‘สระอา’ ต่อท้ายชื่อเพื่อแสดงว่าเป็นผู้หญิง ขณะเดียวกันก็ใส่คำว่า ‘นา’ ไว้หน้าชื่อด้วย นั่นก็คือความหมายของคำว่า ‘มาดาม’ หรือ ‘นายหญิงเจ้าบ้าน’ นั่นเอง

มาดามปัวริสนั้นข้อแรกเป็นเพราะตระกูลได้ตกต่ำมานาน ข้อสองเป็นเพราะเมื่ออยู่บ้านต้องเชื่อฟังคำสั่งของบิวส์ผู้บริหารท้องที่ ดังนั้นจึงไม่อาจเพิ่ม ‘นา’ เติม ‘สระอา’ ได้ ทำได้เพียงแค่ใส่คำเรียก ‘มาดาม’ ลงไปเพียงคำเดียวเท่านั้น

สามีของนาโรคาเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ตัวเธอเองจึงต้องดูแลทั้งครอบครัว หลังจากล่วงเข้าสู่วัยชราเธอก็ยังกุมอำนาจทางการเงินของครอบครัวอยู่ ถึงแม้ว่าลูกชายทั้งสองจะเติบใหญ่แต่งงานมีลูกมีเต้าแล้วก็ตาม

ปรากฏการณ์เช่นนี้ในหมู่บ้านกอร์ดูนับว่าหาได้ยากยิ่ง เพราะภายใต้สถานการณ์โดยส่วนใหญ่ผู้ชายจะมีอำนาจปกครอง หากครอบครัวใดที่ไม่มีพ่อ รอจนกระทั่งลูกชายคนโตเติบใหญ่ขึ้นมาก็จะรับสิทธิ์ในการจัดการครอบครัวกลับมาจากแม่ตามที่ควรจะเป็น

“ได้” แรมุนด์ไม่ได้มีความสงสัยแม้แต่น้อย

หลังจากเดินผ่านอาคารมาหลายหลัง ลูมิแอร์ก็เห็นหญิงชราสี่คนนั่งอยู่หน้าอาคารสองชั้นหลังหนึ่ง อาบแดดไปพลาง พูดคุยกันไปพลาง

ขณะเดียวกัน ด้วยความที่นั่งติดกันมาก พวกเธอจึงผลัดกันจับเหาบนร่างของคนอื่นๆ ไปด้วย ดูเหมือนค่อนข้างผ่อนคลายกันทีเดียว

ในชนบทของสาธารณรัฐอินทิสนั้น การจับเหาให้กันและกันก็คือกิจกรรมนันทนาการที่ช่วยกระชับความสัมพันธ์และแสดงความสนิทสนม

“เข้าไปถามเลยไหม?” แรมุนด์ลังเลอยู่บ้าง

เขากลัวว่าเรื่องที่พวกตนทั้งสองคนกำลังไล่ตามเรื่องเล่าลือจะแพร่ออกไป

“รอก่อน” ลูมิแอร์ผงกศีรษะด้วยสีหน้าจริงจัง

เท่าที่เขารู้มา เรื่องเล่าลือมากมายในหมู่บ้านนั้นเกิดจากการจับกลุ่มพูดคุยกันแบบนี้นี่แหละ จากนั้นจึงค่อยๆ ลามไปทั่ว

ผ่านไปครู่ใหญ่ หญิงชราอีกสามคนก็อำลาจากไปเพราะยังมีเรื่องต้องทำที่บ้านอีก

“อรุณสวัสดิ์ฮะ นาโรคา” ลูมิแอร์เดินเข้าไปหาทันที

เส้นผมนาโรคานั้นเป็นสีดอกเลาหมดแล้ว ดวงตาฝ้าฟางเล็กน้อย เธอสวมชุดกระโปรงยาวสีเข้มที่ทำจากผ้าเนื้อหยาบ สองมือราวกับมีหนังไก่หุ้มเอาไว้ชั้นหนึ่ง ใบหน้ามีรอยกระที่เห็นได้ชัด

“เมื่อไหร่โอรอร์จะมาร่วมชุมนุมล่ะ? พวกชาวบ้านหลายคนคิดถึงเธออยู่นะ” นาโรคามองลูมิแอร์แล้วเอ่ยถามอย่างยิ้มแย้ม

ที่ว่าหลายคนนั่นก็มีแต่พวกผู้ชายทั้งนั้น ใช่ไหมล่ะ? ลูมิแอร์เข้าสู่โหมดคุณอยากพูดอะไรก็พูดไป ฉันจะพูดเรื่องที่ฉันอยากพูดนี่แหละ เขาเอ่ยถามด้วยความอยากรู้

“นาโรคา… ได้ยินว่าคุณเคยเห็นผู้ใช้เวทตัวจริงใช่ไหม? ที่ว่าใช้วัวเก้าตัวก็ยังลากโลงศพยังไม่ขยับน่ะ”

สีหน้านาโรคาเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“ใครบอกเธอล่ะ?”

“ตอนดึกๆ ปู่เขากลับมาบอกเขาน่ะ” ลูมิแอร์เริ่มพูดพล่ามไปเรื่อย

นาโรคาตกตะลึง

“วิญญาณกลับมาบ้านได้จริงๆ เหรอ…”

“พ่อบอกผมมาน่ะ ว่าปู่เคยเล่าให้ฟังตอนที่ยังมีชีวิตอยู่” แรมุนด์ทนเห็นลูมิแอร์หลอกลวงผู้เฒ่าผู้แก่ไม่ได้

นาโรคารู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้น

“ก่อนที่คนคนนั้นจะตาย พวกเราไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นผู้ใช้เวท เขาทำตัวเป็นปกติมาก”

ก็เหมือนที่พวกคุณไม่รู้ว่าโอรอร์เองก็เป็นผู้ใช้เวทนั่นแหละ… ลูมิแอร์ตอบกลับในใจประโยคหนึ่ง

“ตอนที่เขาตายอย่างกะทันหัน นกฮูกตัวนั้นก็บินมา…” นาโรคารำลึกความทรงจำ

เนื้อหาที่เธอพูดมาหลังจากนั้นก็เหมือนกับที่เขาเล่าลือกัน

ลูมิแอร์พูดต่ออีก

“แล้วตอนนั้นผู้ใช้เวทนั่นอาศัยอยู่ที่ไหนเหรอฮะ?”

นาโรคาเหลือบมองเขา

“ก็ที่ที่เธอกับโอรอร์อาศัยอยู่นั่นแหละ

“หลังจากเสร็จงานศพของผู้ใช้เวทคนนั้นแล้ว บาทหลวงประจำโบสถ์ก็พาคนสองสามคนไปหาสิ่งของมีค่าแล้วก็เผาบ้านหลังนั้นทิ้ง ผ่านไปยี่สิบสามสิบปีแล้วก็ยังไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ที่นั่น ในภายหลังเรื่องนี้ก็ค่อยๆ ถูกลืมไป แล้วต่อมาโอรอร์ก็มาที่นี่ จากนั้นก็ซื้อที่ดินผืนนั้น ปลูกบ้านขึ้นมาใหม่”

บ้านเรางั้นเหรอ? ลูมิแอร์ตกตะลึง

คำตอบนี้เกินความคาดหมายของเขาโดยสิ้นเชิง!

ในพริบตานั้นเขาก็นึกถึงคำถามที่โดยปกติไม่เคยใส่ใจ…

ด้วยความสามารถในการหาเงินของโอรอร์ รวมถึงพลังพิเศษที่เธอซ่อนไว้ แล้วทำไมถึงมาลงหลักปักฐานอยู่ที่หมู่บ้านชนบทอย่างกอร์ดูนี่ล่ะ?

ไม่ว่าจะเป็นตัวเมืองของจังหวัดบีกอร์ หรือจะเป็นศูนย์กลางสิ่งทออย่างซูสิทกับนครหลวงเทรียร์ ต่างก็เป็นตัวเลือกที่ดีกว่าทั้งนั้น และถ้าอยากจะเลือกสถานที่ที่มีสภาพแวดล้อมดีมีอากาศบริสุทธิ์จริงๆ ในเมืองใหญ่พวกนั้นก็ยังมีพื้นที่บางส่วนให้เลือกได้อยู่

โอรอร์เคยบอกว่าการซ่อนตัวที่ดีที่สุดก็คือซ่อนอยู่ในเมืองใหญ่… ความคิดลูมิแอร์ปั่นป่วนยุ่งเหยิงจนยากสงบใจได้

วันนี้เขาถึงเพิ่งจะรู้ว่าสถานที่ที่โอรอร์เลือก สถานที่ที่บ้านตนถูกสร้างขึ้นมา เคยเป็นทรัพย์สินของผู้ใช้เวทคนหนึ่ง…

“แล้วผู้ใช้เวทคนนั้นถูกฝังอยู่ที่ไหนเหรอฮะ?” แรมุนด์ที่อยู่ข้างๆ อดถามไม่ได้

ในเมื่อไม่มีหวังเรื่องทรัพย์สินในบ้านแล้ว ที่ทำได้ก็เหลือเพียงแค่ดูว่าซากของผู้ใช้เวทจะมีอะไรพิเศษบ้างหรือเปล่า

นาโรคาพูดด้วยรอยยิ้ม

“เรื่องใหญ่ขนาดนั้นต้องทำให้บาทหลวงประจำโบสถ์ตื่นตัวอยู่แล้วล่ะ

“ตอนนั้นพวกเราใช้วัวเก้าตัวถึงจะลากโลงศพไปที่สุสานข้างโบสถ์ได้ บาทหลวงประจำโบสถ์ประกอบพิธีชำระล้าง แถมสุดท้ายก็ยังเผาไฟจนกลายเป็นขี้เถ้าแล้วขุดหลุมฝังเอาไว้ด้วย”

“อย่างนั้นเหรอ…” แรมุนด์ยากจะซ่อนความผิดหวัง

“ทำไมพวกเธอถึงมาถามเรื่องนี้ล่ะ?” นาโรคามองดูสีหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามขึ้น

ลูมิแอร์หัวเราะก่อนจะพูดความจริงที่ดูเหมือนโกหก

“เราอยากจะหาสมบัติของผู้ใช้เวทคนนั่นน่ะ”

“คนหนุ่มอย่ามัวแต่หมกมุ่นอยู่กับความเพ้อฝันเลย” นาโรคาเตือน

“ทราบแล้วฮะ” ลูมิแอร์ทำตัวว่านอนสอนง่าย

เขากับแรมุนด์อำลานาโรคาแล้วเดินไปยังถนนที่นำไปสู่ลานจัตุรัสของหมู่บ้าน

“หมดหวังแล้วล่ะลูมิแอร์… เรื่องนี้ไม่มีหวังแล้ว” พอเดินผ่านอาคารมาหลังหนึ่ง แรมุนด์ก็พูดอย่างหดหู่

“ก็จริง… อะไรที่ควรเผาก็ถูกเผาไปหมดแล้ว อะไรที่เอาไปได้ก็ถูกเอาไปตั้งหลายสิบปีแล้ว” ลูมิแอร์ผงกศีรษะ

เป็นเพราะเรื่องของความฝันนั้นเกิดจุดพลิกผันหักเหขึ้นมา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ผิดหวังในเรื่องนี้มากนัก

แรมุนด์เห็นด้วย

“นั่นสิ… ที่อยู่ในคำเล่าลือก็มีแค่นกฮูกเท่านั้นแหละที่ยังไม่ถูกทำลาย”

“นกฮูก…” ดวงตาลูมิแอร์เป็นประกาย เขาทอดสายตามองไปยังป่าบนเขานอกหมู่บ้าน

แรมุนด์ตัวสั่นขึ้นมา รีบพูดเสริมอีก

“แต่ผ่านมาตั้งหลายปีขนาดนี้ มันต้องตายไปนานแล้วแน่ๆ”

เขากลัวจะเจอกับสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายอย่างนกฮูกจนขึ้นสมอง

ทางตอนใต้ของอินทิสนั้น นกฮูก นกไนติงเกล และอีกา ล้วนถูกมองว่าเป็นลางร้าย เป็นความชั่วร้าย เป็นสิ่งมีชีวิตที่รับใช้ภูตผีปีศาจ พวกมันมักจะเอาดวงวิญญาณของมนุษย์ไป หรือไม่ก็นำพาความโชคร้ายมาให้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บ่วงชะตากรรม : ราชันเร้นลับ 2

ตอนที่ 9 นิตยสาร

ตอนที่ 15 พูดคุยสอบถามข้อมูล