ตอนที่ 9 นิตยสาร
บ่วงชะตากรรม : ราชันเร้นลับ (ราชันโลกพิศวง) ภาคสอง
ตอนที่ 9 นิตยสาร
※ ※ ※ ※ ※
กลางดึก
หลังจากรับมือกับเพื่อนบ้านที่มาขอยืมเตาอบเสร็จแล้ว ลูมิแอร์ก็ขึ้นไปบนชั้นสองแล้วเข้าไปในห้องที่ใช้เป็นห้องหนังสือ
ในหมู่บ้านกอร์ดูนั้นมีครอบครัวยากจนมากมายที่ไม่มีเตาอบใช้ รวมถึงเตาขนาดใหญ่ด้วย ยามจำเป็นที่ต้องอบขนมปังหรือทำเนื้อรมควันจึงได้แต่ต้องไปขอยืมใช้ที่บ้านคนอื่น
เกี่ยวกับเรื่องนี้โอรอร์ค่อนข้างเปิดใจและใจกว้างมาก ไม่ว่าใครจะมาขอยืม เธอก็ให้ทั้งนั้น เพียงแค่จ่ายค่าเชื้อเพลิงที่ต้องใช้หรือไม่ก็เอาพวกถ่านหินถ่านไม้มากันเอง
เวลานี้เธอเปลี่ยนมาสวมชุดนอนผ้าไหมสีขาวแล้ว กำลังนั่งขดอยู่บนเก้าอี้เอน จดจ่ออยู่กับหนังสือในมือโดยอาศัยแสงสว่างจากโคมไฟใช้แบตเตอรี่ที่วางอยู่บนโต๊ะ
ลูมิแอร์ไม่ได้เข้าไปรบกวนเธอ เขาสุ่มหยิบเอาหนังสือเล่มที่ค่อนข้างบางออกมาจากชั้นวางแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ที่หัวมุมห้อง
‘ผ้าคลุมหน้าของความลับ’ … นี่มันนิตยสารอะไรเนี่ย? ลูมิแอร์จ้องมองหน้าปกที่เต็มไปด้วยสัญลักษณ์แปลกๆ ในใจบังเกิดความสงสัยขึ้นมา
เขารีบพลิกดูเนื้อหา ยิ่งดูก็ยิ่งตื่นตระหนก
ที่นิตยสารฉบับนี้พูดถึงก็คือการมีอยู่ของวิญญาณมนุษย์ พูดถึงว่าสรรพสิ่งล้วนมีวิญญาณ พูดถึงกรรมวิธีลับแบบต่างๆ ที่ใช้สื่อสารกับวิญญาณ การได้รับความช่วยเหลือสารพัดอย่าง…
ถึงแม้ลูมิแอร์จะไม่ได้เลื่อมใสศรัทธาศาสนาแม้แต่น้อย เพียงแค่ไปสวดอธิษฐานที่โบสถ์ ‘สุริยันเจิดจรัส’ ตามกระแสไปอย่างนั้น รวมถึงไปร่วมมิสซาบ้างเป็นครั้งคราว แต่ในหัวเขาก็มีสองคำผุดวาบขึ้นมา
‘ลบหลู่เทพ!
‘ของต้องห้าม!’
โอรอร์เป็นผู้ใช้เวทคนหนึ่งซึ่งถ้าหากถูกเปิดโปงเมื่อใดก็จะต้องถูกจับไปศาลศาสนจักรและถูกเผาทั้งเป็นอย่างแน่นอน ดังนั้นถึงแม้การที่เธอมีหนังสือจำพวกนี้อยู่ในบ้านจะไม่ใช่เรื่องแปลกก็จริง แต่ลูมิแอร์ก็เห็นได้ชัดว่านิตยสารฉบับนี้ตีพิมพ์เผยแพร่โดยได้รับอนุญาตจากทางการ!
ของแบบนี้สามารถเผยแพร่อย่างเปิดเผยได้ด้วยเหรอ?
ไม่ใช่ว่าการตรวจสอบสิ่งตีพิมพ์นี่เข้มงวดมาแต่ไหนแต่ไรหรอกเหรอ?
หรือว่า…ใช้ใบอนุญาตปลอมในการเผยแพร่… ลูมิแอร์เงยหน้ามองโอรอร์แล้วเอ่ยถามขึ้น
“นี่เป็นนิตยสารต้องห้ามหรือเปล่า?”
โอรอร์ละสายตาจากหนังสือมาชำเลืองมองน้องชาย ก่อนจะพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“สมัยก่อนน่ะใช่ มันเคยเป็นวรรณกรรมใต้ดินมาก่อน แต่ต่อมาก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงผ่านการตรวจสอบมาได้และได้รับอนุญาตให้ตีพิมพ์อย่างเป็นทางการ ทางโบสถ์ ‘สุริยันเจิดจรัส’ เองก็ไม่ได้ว่าอะไร ก็เหมือนว่ายอมรับกลายๆ นั่นแหละ”
“วรรณกรรม?” ลูมิแอร์ไม่ค่อยเข้าใจคำศัพท์ที่พี่สาวใช้เท่าไร
“แหงล่ะ ก็ต้องเป็นวรรณกรรมอยู่แล้วสิ นายคิดว่าเป็นเรื่องจริงหรือไง?” โอรอร์หัวเราะออกมา “ถ้าที่เขียนไว้เป็นเรื่องจริงเนี่ย นายคิดว่ามันจะยังตีพิมพ์ได้หรือไง? ถ้านายทำตามกรรมวิธีที่เขียนไว้ในนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นก็มีแค่ทำให้จิตใจตัวเองอ่อนแอลงจนกลายเป็นโรคประสาทเท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรอย่างอื่นเกิดขึ้นหรอก อืม… แต่บางอย่างก็เป็นเรื่องจริงอยู่นะ เพียงแต่ถ้าไม่มีคำบริกรรมที่ใช้ควบคู่กัน ต่อให้พยายามแค่ไหนก็ไม่เกิดประโยชน์”
นี่คือการประเมินจากผู้ใช้เวทมืออาชีพ
“รู้แล้วน่า…” ลูมิแอร์ไม่อาจซ่อนความผิดหวังไว้ได้ “ฉันเพียงแค่แปลกใจว่าทำไมของแบบนี้ถึงตีพิมพ์ออกมาได้เท่านั้นเอง”
โอรอร์ทำแก้มป่องราวกับกำลังใคร่ครวญอย่างจริงจัง
“ฉันเองก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ พวกพลังลึกลับในทุกๆ ที่… เอ่อ…หมายถึงปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยเหนือธรรมชาติน่ะ ยิ่งทีก็ยิ่งเกิดเยอะขึ้นจนไม่มีทางปิดบังไว้ทั้งหมด ทำให้หลายคนเริ่มเชื่ออย่างเป็นจริงเป็นจังจนกลายเป็นกระแสความคิดมวลชนขึ้นมาแล้วว่ามันมีอยู่จริงๆ ทางรัฐบาลเลยคิดว่าจะให้ประชาชนทุกคนได้รู้เอาไว้บ้างนิดหน่อย ดังนั้นมาตรการควบคุมหนังสือประเภทนี้ก็เลยได้รับการผ่อนปรนลงมา ที่เทรียร์น่ะ นิตยสาร ‘สื่อสารวิญญาณ’ เอย นิตยสาร ‘ดอกบัว’ เอย นิตยสาร ‘ความนัยพิศวง’ เอย ทั้งสามฉบับนี้น่ะยิ่งเป็นที่นิยมกันมากเลยล่ะ บนชั้นหนังสือของฉันก็มี ถ้านายสนใจก็ลองเอามาดูได้ ทีหลังเวลาไปแต่งเรื่องในร้านเหล้าจะได้สมจริงมากขึ้นอีกหน่อย”
“อื้อ” ลูมิแอร์รู้สึกสนใจมากจริงๆ
ขณะเดียวกันเขาก็แอบถอนใจอยู่ในใจอีกครั้ง
หนังสือของโอรอร์นี่เยอะชะมัด!
เพียงแค่อาศัยหนังสือพวกนี้กับคำอธิบายของโอรอร์เป็นครั้งคราว ตัวเขาที่เป็นเยาวชนไร้การศึกษาก็เพียงพอจะทำให้ตัวเองมีความเข้าใจเกี่ยวกับโลก เกี่ยวกับทวีป เกี่ยวกับประเทศที่ตนเองอาศัยอยู่ได้แล้ว
โลกนี้มีอยู่สองทวีปคือทวีปเหนือและทวีปใต้ ระหว่างกลางถูกขวางกั้นไว้ด้วยทะเลคลั่งที่มีพายุเฮอริเคนรุนแรงกระหน่ำจนยากจะเดินเรือ ส่วนทวีปทางตะวันออกและตะวันตกในคำเล่าลือนั้น จวบจนกระทั่งทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครไปถึง จึงไม่มีใครสามารถยืนยันได้ว่าพวกมันมีอยู่จริงหรือไม่
สาธารณรัฐอินทิสที่ลูมิแอร์กับโอรอร์อาศัยอยู่ตั้งอยู่ทางตอนกลางของทวีปเหนือ มีทะเลหมอกอยู่ทางตะวันตก ทางเหนือเป็นจักรวรรดิเฟย์แซค ทางตะวันออกคือเทือกเขาฮอร์นาซิสและอาณาจักรโลเอน ประเทศที่มีพรมแดนติดกันทางทิศใต้ได้แก่อาณาจักรเฟย์นาพ็อตเตอร์ เลนเบิร์ก และเมซิน
ระหว่างอาณาจักรเฟย์นาพ็อตเตอร์กับอาณาจักรโลเอนก็ยังมีประเทศเล็กๆ อย่างเช่นประเทศเซการ์ ซึ่งประเทศเหล่านี้รวมถึงเลนเบิร์กกับเมซินเรียกรวมๆ กันว่าประเทศใต้ตอนกลาง ทั้งหมดนี้ต่างก็ศรัทธาใน ‘เทพแห่งความรู้และปัญญา’
ทวีปใต้ตกเป็นอาณานิคมของประเทศทางทวีปเหนือไปแล้ว นอกจากจักรวรรดิบาลามก็ยังมีอาณาจักรฮักกาตีหรือไม่ก็ประเทศอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดต่างก็สูญเสียอำนาจการปกครองตนเองส่วนใหญ่ไป แน่นอนว่ากระแสความไม่สงบที่ต่อต้านการล่าอาณานิคมไม่เคยขาดหายไปไหน
นอกจากทะเลคลั่งที่อยู่ระหว่างทวีปเหนือใต้แล้ว ทางตะวันตกของสาธารณรัฐอินทีสมีทะเลหมอก ทางตะวันออกของอาณาจักรโลเอนก็ยังมีทะเลโซเนีย ทางเหนือของจักรวรรดิเฟย์แซคมีทะเลเหนือ และทางใต้ของทวีปใต้ก็มีทะเลขั้วโลก พวกมันทั้งหมดนี้รวมเรียกว่า ‘ห้าทะเล’
ในบรรดาประเทศทั้งหมดของทวีปเหนือ อาณาจักรโลเอนมีความแข็งแกร่งที่สุด รองลงมาคือสาธารณรัฐอินทีส จักรวรรดิเฟย์แซคที่พ่ายในสงครามครั้งล่าสุดตกไปอยู่อันดับสี่ อาณาจักรเฟย์นาพ็อตเตอร์ขึ้นมาเป็นอันดับสาม ส่วนประเทศใต้ตอนกลางนั้น เลนเบิร์กมีความแข็งแกร่งที่สุด
เมื่อเทียบกับชาวบ้านกอร์ดูที่รู้จักเพียงแค่สาธารณรัฐอินทิส อาณาจักรเฟย์นาพ็อตเตอร์ และเลนเบิร์กแล้ว ลูมิแอร์ก็เรียกได้ว่าเป็นนักภูมิศาสตร์เลยทีเดียว
แน่นอนว่านี่เป็นเพราะพวกคนเลี้ยงแกะในหมู่บ้านกอร์ดูจำเป็นต้องเปลี่ยนลานไปยังเพื่อนบ้านอย่างอาณาจักรเฟย์นาพ็อตเตอร์กับเลนเบิร์ก จึงรู้จักทั้งสองประเทศนี้อยู่พอประมาณ ส่วนพวกชาวบ้านในหมู่บ้านทางตอนเหนือของภูมิภาคดาริแยฌนั้น นอกจากหมู่บ้านกับเมืองใหญ่น้อยที่อยู่รายรอบแล้ว พวกเขาก็รู้จักเพียงแค่ชื่อของมหานครในประเทศอย่างพวกเทรียร์หรือซูสิทเท่านั้น
บางครั้งลูมิแอร์ก็เกิดความกังขาสงสัยเป็นอย่างมากว่าทำไมโอรอร์ถึงได้มีความรู้มากมายถึงเพียงนี้ได้
หนังสือเรียนทั้งหมดที่เขาเรียนก็ล้วนแต่เขียนขึ้นโดยโอรอร์ แบบฝึกหัดทั้งหมดก็เป็นโอรอร์จัดทำขึ้น เวลาที่หยิบหนังสือมาอ่านแล้วเกิดคำถามขึ้นมา โอรอร์ก็สามารถตอบได้ทุกครั้ง!
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือเธอเองก็ยังเชี่ยวชาญวิชาการต่อสู้สารพัดแขนงอีกด้วย
นี่ไม่เหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่ผู้หญิงในวัยเพียงยี่สิบเศษควรจะทำได้ บางคนใช้ชีวิตมาห้าหกสิบปีก็ยังไม่อาจสั่งสมความรู้ได้มากขนาดนี้ด้วยซ้ำ
อย่าบอกนะว่านี่เป็นเงื่อนไขพื้นฐานสำหรับการเป็นผู้ใช้เวทตัวจริงน่ะ? ลูมิแอร์เงยหน้าขึ้นมามองโอรอร์อีกครั้ง
โอรอร์อ่านหนังสือไปก็ใช้นิ้วเคาะแก้มตนเองเบาๆ ไปด้วย ดูยังไงก็ไม่เหมือนนักวิชาการหรือผู้ใช้เวทแม้แต่นิดเดียว
“มองอะไรของนาย?” โอรอร์สังเกตได้ถึงสายตาที่จับจ้องของเขา
“ครั้งก่อนเธอบอกว่าฉันมีความรู้พร้อมสำหรับการสอบเข้าในระดับอุดมศึกษาแบบรวมศูนย์แล้วใช่ไหม?” ลูมิแอร์เปลี่ยนหัวข้อ
โอรอร์ครุ่นคิดแล้วพูดขึ้น
“ถ้าว่ากันตามทฤษฎีแล้วนายสามารถเข้าสถาบันอุดมศึกษาที่ไหนก็ได้แหละ แต่ฉันไม่เคยเข้าร่วมการสอบเข้าแบบนั้นน่ะสิ ก็เลยไม่กล้าฟันธงว่าข้อสอบจะออกอะไรยังไง
“โรเซลล์นี่ก็ช่างสร้างความลำบากให้คนอื่นซะจริงเชียว เฮ่อ… แต่จะว่าไปก็ถือเป็นเรื่องดีล่ะนะ…”
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการสอบเข้าระดับอุดมศึกษาแบบรวมศูนย์นั้นถูกสร้างขึ้นในสมัยของจักรพรรดิโรเซลล์ และดำเนินสืบต่อมาจวบจนกระทั่งทุกวันนี้
จู่ๆ โอรอร์ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหันไปมองลูมิแอร์ก่อนจะถามด้วยรอยยิ้มจางๆ
“ทำไมวันนี้ถึงไม่ไปเล่านิทานที่ร้านเหล้าล่ะ?”
“ฉันไม่ใช่พวกผีขี้เหล้าจริงๆ เสียหน่อย” ลูมิแอร์โบกนิตยสารในมือไปมา “อยู่บ้านอ่านหนังสือก็เป็นการสร้างความบันเทิงที่ดีเหมือนกัน”
และยังทำให้ฉันสงบจิตสงบใจและผ่อนคลายได้ด้วย… เขาพูดเสริมในใจอีกประโยค
โอรอร์ผงกศีรษะ มองไปทางมุมที่ลูมิแอร์อยู่
“ทำไมไปนั่งซะตั้งไกลล่ะ ทำอย่างกับเป็นคนน่าสงสาร ใจเสาะ หมดทางเยียวยาอย่างนั้นแหละ
“มานี่สิ จะอ่านหนังสือตอนกลางคืนก็ต้องมีแสงให้เพียงพอ ไม่งั้นจะทำร้ายสายตาได้นะ”
โอรอร์มีคำพูดคำจาแบบแปลกๆ อยู่เต็มไปหมด… ฉันน่ะเข้าใจคำว่า ‘น่าสงสาร’ ‘ใจเสาะ’ ‘หมดทางเยียวยา’ ก็จริง แต่พอเอามาพูดรวมกันแล้วรู้สึกแปลกชะมัด ไม่เหมือนกับวิธีการพูดตามปกติเท่าไหร่… ลูมิแอร์ชินกับพฤติกรรมเช่นนี้ของโอรอร์มานานแล้ว เขายกเก้าอี้ไปที่ข้างโต๊ะหนังสือ
เขากับโอรอร์นั่งอ่านหนังสือเงียบๆ เคียงข้างกันเบื้องหน้าโคมไฟที่สว่างไสว บางครั้งบางคราวก็พูดคุยกันสองสามคำ
เสียงลมหายใจ เสียงพลิกกระดาษ สายลมวิกาลที่บางครั้งก็พัดมาจากนอกหน้าต่างทำให้เกิดความผ่อนคลายสงบเงียบ
* * * * *
หลังจากกล่าวราตรีสวัสดิ์กับโอรอร์แล้ว ลูมิแอร์ก็กลับไปยังห้องตนเอง
เขาถอดเสื้อโค้ตออกแล้วแขวนไว้กับพนักเก้าอี้ ไม่ได้คิดจะทดลองเอาไพ่ ‘ไม้เท้า’ ไปไว้บนเตียง
นี่ก็เพราะเขาไม่อยากทำให้โอรอร์เกิดความสงสัย เพราะพี่สาวบอกว่าจะคอยจับตาดูเขาเอาไว้ตลอดเวลา
ลูมิแอร์กำลังจะก้าวเท้าเดินไปที่เตียง แต่แล้วจู่ๆ ก็เกิดวูบไหวในใจ ชะงักเท้าทันที
เขาชำเลืองมองก่อนจะขยับเก้าอี้ที่ปกติจะตั้งเอียงเป็นแนวทแยงกับหน้าต่างให้หันหน้าตรงแทน
จากนั้นเขาก็ขึ้นเตียง แล้วดับตะเกียงน้ำมันก๊าดที่วางอยู่บนตู้เสื้อผ้าที่อยู่ข้างๆ
หลังจากที่ผล็อยหลับไปตามปกติ ไม่ทราบว่าผ่านไปนานเพียงใด ลูมิแอร์ก็สะดุ้งตื่นและได้สติขึ้นมา
เขาเห็นห้องนอนที่เต็มไปด้วยหมอกเทาหม่นสลัวอีกครั้ง
ลูมิแอร์ที่เตรียมใจไว้แล้วมองไปรอบๆ อย่างสงบนิ่ง และได้พบกับสิ่งหนึ่ง
เก้าอี้ที่เขาจงใจขยับตำแหน่งเอาไว้ก่อนนอน เมื่อเข้ามาในความฝันมันก็ยังคงเอียงทแยง รักษาสภาพดั้งเดิมไว้
หรือจะพูดอีกอย่างก็คือห้องนอนในความฝันไม่ได้ตรงกับความเป็นจริงในทุกรายละเอียด มันอาจจะมาจากภาพจำส่วนลึกที่สุดในจิตใต้สำนึกของฉันก็ได้… ถึงแม้จะยังไม่รู้อย่างถ่องแท้ว่านี่มันหมายความว่าอย่างไร แต่ลูมิแอร์ก็รู้สึกว่านี่เป็นจุดสำคัญที่ต้องจำไว้ให้ดี
เขามาที่ริมหน้าต่างแล้วใช้สองมือเท้าโต๊ะ มองออกไปข้างนอก
ยอดเขาที่ประกอบขึ้นจากหินสีน้ำตาลแดงกับดินสีแดงน้ำตาลแห่งนั้นกับอาคารพังถล่มที่โอบล้อมมันไว้เป็นชั้นๆ สะท้อนเข้าสู่ครรลองสายตาของเขาอีกครั้ง
ที่แห่งนี้เงียบสงัดจนวังเวง
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ลูมิแอร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจได้
คืนนี้ต้องสำรวจเบื้องต้นในระดับหนึ่งให้ได้!
ชีวิตเร่ร่อนในอดีตทำให้เขายอมทุ่มสุดตัว
เขาไม่ได้รีบลงไปชั้นล่างเพื่อตรงดิ่งเข้าไปในซากปรักหักพัง แต่เปิดตู้เสื้อผ้าเพื่อใส่เสื้อเสริม
นี่ไม่ได้เป็นเพราะเขาเกิดหนาวขึ้นมา แต่เป็นเพราะเขาต้องการใช้วิธีนี้เพื่อ ‘เสริมพลังป้องกัน’ ขึ้นมาอีกเล็กน้อย
หลังจากสวมเสื้อบุฝ้าย กางเกงบุฝ้าย และแจ็กเกตที่ทำจากหนังเสร็จ ลูมิแอร์ลองขยับตัวดูก็รู้สึกว่าใส่เพิ่มอีกไม่ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นมันจะส่งผลต่อความคล่องตัวอย่างชัดเจน
ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า
ขณะที่กำลังปรับตัวให้เข้ากับสภาพในตอนนี้ จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็วาบขึ้นในใจของลูมิแอร์
นี่เป็นความฝันของฉันนี่นา ถ้าฉันอยากให้มีอะไรแล้วจะมีอย่างนั้นออกมาหรือเปล่านะ?
ด้วยใจที่ต้องการจะทดลอง เขาก็เริ่มพึมพำเบาๆ
“ฉันต้องการเกราะหน้าอกหนึ่งชุด ปืนพกหนึ่งกระบอก… ฉันต้องการเกราะหน้าอกหนึ่งชุด ปืนพกหนึ่งกระบอก…”
ห้องที่เต็มไปด้วยหมอกสีเทาหม่นสลัวไม่เกิดความเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น
ดูท่าแล้วคงไม่ได้แฮะ ความฝันนี่มันพิเศษกว่าธรรมดา… ลูมิแอร์สะกดความผิดหวังไว้แล้วเปิดประตูห้องนอน เข้าไปที่เฉลียงทางเดิน
ที่นี่ไม่มีแสงไฟ มันมืดสลัว
ลูมิแอร์เปิดประตูห้องนอนของโอรอร์กับประตูห้องหนังสือ ผังห้องด้านในมีรายละเอียดบางอย่างต่างไปจากความเป็นจริง แต่ส่วนใหญ่ยังคงเดิม สิ่งที่แตกต่างมากที่สุดก็คือทั้งสองห้องนั้นไม่มีโอรอร์อยู่ ราวกับมันถูกแช่แข็งไว้ในสีเทาผืนหนึ่ง
เฉกเช่นเดียวกับชั้นล่างของบ้าน
ลูมิแอร์เริ่มค้นหาอาวุธป้องกันตัว จากความคุ้นเคยที่มีต่อบ้าน เพียงไม่นานเขาก็มีสองตัวเลือก
อย่างแรกคือส้อมยาวเกือบสองเมตรที่ทำจากเหล็กกล้า หากใช้คำพูดของโอรอร์ก็คือถ้าเป้าหมายไม่มีอาวุธระยะไกล ของสิ่งนี้จะใช้งานได้ดีมาก ผลลัพธ์ก็ค่อนข้างโดดเด่นอีกด้วย
อย่างที่สองคือขวานเหล็กสีดำที่มีความคมมากกว่า
เหมาสองสบายใจกว่า… ลูมิแอร์นึกถึงคำพูดประโยคหนึ่งที่โอรอร์มักจะพูดอยู่บ่อยครั้ง แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น
นี่เป็นเพราะวันนี้เขาเพียงแค่ต้องการสำรวจเบื้องต้นเท่านั้น สิ่งสำคัญคือการหลบซ่อน ระวัง และเคลื่อนไหวได้คล่องตัว
การพกพาอาวุธยาวแบบนี้ไปด้วยจะทำให้การเคลื่อนไหวของเขาไม่คล่องตัวและขยับได้ช้าลง ทั้งยังทำให้ถูกเปิดเผยตำแหน่งได้ง่ายขึ้นด้วย
ลูมิแอร์หายใจออกช้าๆ ก่อนจะก้มลงไปหยิบขวานขึ้นมา
จากนั้นเขาก็ยืดตัวขึ้นทันที เดินฝ่าหมอกเทาหม่นสลัวไปยังประตูทีละก้าวๆ
เขาเปิดประตูออกอย่างเงียบเชียบ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น