ตอนที่ 26 แอบแจ้งข่าว
ราชันเร้นลับ (ราชันโลกพิศวง) ภาคสอง : บ่วงชะตากรรม
ตอนที่ 26 แอบแจ้งข่าว
※ ※ ※ ※ ※
ผู้หญิงคนนั้นกำลังกินครัวซองต์อยู่ ผ่านไปครู่หนึ่งเธอถึงจะตอบลูมิแอร์
“รู้สิ”
เธอรู้เยอะจริงแฮะ… ลูมิแอร์รู้สึกยินดี หลังจากที่ไตร่ตรองคำพูดแล้วเขาก็เอ่ยขึ้น
“ถ้าผมจะขอให้ท่านช่วยแก้ปัญหาของกอร์ดูจะได้ไหม ผมจะจ่ายค่าตอบแทนให้ในระดับหนึ่ง”
เขาเปลี่ยนไปใช้คำที่แสดงความเคารพอีกครั้ง
จากมุมมองของเขานั้น ผู้หญิงลึกลับคนนี้แข็งแกร่งกว่าพวกลีอาห์ทั้งสามคน ทั้งยังแข็งแกร่งกว่ามากด้วย หากว่าเธอยินดีช่วยเหลือ อย่างนั้นปัญหาของหมู่บ้านกอร์ดูก็จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป ตัวเองกับพี่สาวก็ไม่ต้องเสี่ยงหลบหนี เอ่อ…ไม่สิ…ยังมีปัญหาอีกเรื่อง นั่นก็คือค่าตอบแทนในระดับนี้ตนเองอาจไม่มีปัญญาจ่ายไหวน่ะสิ
ส่วนอีกฝ่ายจะรับปากหรือไม่ ลูมิแอร์ไม่มั่นใจแม้แต่นิดเดียว ที่จริงแล้วเขายังเตรียมใจไว้ในแง่ร้ายสุดจะร้ายด้วยซ้ำ เขาเพียงแค่รู้สึกว่าภายใต้สถานการณ์ในปัจจุบัน ไม่ว่ายังไงก็ต้องขอลองสักครั้ง ต่อให้ถูกปฏิเสธก็แค่เสียหน้านิดหน่อย เขาไม่สนใจหน้าตาอยู่แล้ว
ผู้หญิงคนนั้นหันหน้ามาทางลูมิแอร์ก่อนจะพูดเรียบๆ
“ปัญหาที่นี่น่ะฉันจัดการได้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายก็คือทุกอย่างจะถูกทำลาย รวมถึงตัวคุณด้วย
“ถ้าอยากได้ผลลัพธ์ดีกว่านี้ ก็ได้แต่ต้องอาศัยพวกคุณเท่านั้น”
ปัญหาร้ายแรงขนาดนั้นเลยเชียว? ลูมิแอร์ม่านตาเบิกกว้างขึ้นมาทันที คิดอยากจะดูสีหน้าเธอให้ชัดๆ ว่ากำลังล้อเล่นอยู่หรือเปล่า
การปฏิเสธความช่วยเหลือของผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่ได้ผิดหวังด้วย แต่ที่เขาตื่นตระหนกก็คือการที่อีกฝ่ายบอกว่าปัญหาของหมู่บ้านกอร์ดูนั้นร้ายแรงกว่าที่ตนคิดไว้หลายเท่า อาจจะถึงขั้นทำลายล้างทั้งหมู่บ้านเลยทีเดียว!
ในเมื่อเธอสามารถแก้ปัญหาได้ แล้วทำไมคนทั้งหมู่บ้านถึงต้องตายด้วยล่ะ และทำไมพวกเราที่เป็นแค่คนธรรมดากับผู้วิเศษที่ไม่ได้แข็งแกร่งซักเท่าไหร่ถึงทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีกว่าได้? ลูมิแอร์ทั้งงุนงงระคนหวาดกลัว
เขาตัดสินใจแล้วว่าถ้ามะรืนนี้ยังไม่ได้รับโทรเลขตอบกลับจาก ‘นิยายรายสัปดาห์’ ก็จะเร่งให้พี่สาวออกจากหมู่บ้านกอร์ดูทันที ต่อให้ต้องเสี่ยงอันตรายแค่ไหนก็ไม่อาจชักช้าได้อีกแล้ว!
“ที่แท้แล้วเกิดปัญหาอะไรกันแน่?” ลูมิแอร์ที่ไม่เคยสนใจศักดิ์ศรีมาแต่ไหนแต่ไรเอ่ยถามต่อ
ผู้หญิงคนนั้นยิ้มให้
“ถ้าให้ฉันพูดแล้วคุณไปสืบหา ผลลัพธ์จะต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง”
ลูมิแอร์กัดฟันตามสัญชาตญาณ เขาไม่ชอบพฤติกรรมที่ “พูดทีละขยัก เอาแต่อมพะนำไม่ยอมบอกมาให้ชัดๆ” แบบนี้เสียเหลือเกิน
ไม่ทราบว่าทำไม เขารู้สึกได้ว่าอารมณ์แปลกๆ ในดวงตาของอีกฝ่ายชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม
“ก็ได้” ลูมิแอร์คิดอยู่อึดใจแล้วเปลี่ยนเรื่องถาม “คุณรู้จักมาดามปัวริสหรือเปล่า? เธอเองก็เป็นผู้ใช้เวท…เอ่อ…เป็นผู้วิเศษด้วยหรือเปล่า?”
“ก็ใช่” ผู้หญิงคนนั้นยกแก้วกาแฟขึ้นมาดื่มไปหนึ่งอึก
อย่างที่คิดไว้เลย… ลูมิแอร์ถามต่อ
“เป็นเส้นทางอะไร อยู่ลำดับไหน?”
วินาทีถัดมาเขาก็เห็นว่าสีหน้าของผู้หญิงคนนั้นจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย
“ไม่ใช่เส้นทางปกติ”
“อะไรคือไม่ใช่เส้นทางปกติ?” ลูมิแอร์ยังคงซักต่อ
ผู้หญิงคนนั้นคลี่ยิ้ม
“อีกหน่อยคุณก็จะรู้เอง”
แต่ฉันอยากรู้ตอนนี้นี่นา… ลูมิแอร์พยายามควบคุมสีหน้าตัวเองเต็มที่
เขาที่ยืนอยู่นั้นเดิมทีคิดจะจากไป แต่แล้วจู่ๆ ก็คิดถึงคำถามเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เป็นคำถามที่สำคัญมาก
“คุณผู้หญิง แล้ววัตถุดิบพวกนั้นจะเอาเข้าไปในความฝันได้ยังไง?”
สภาพของซากปรักหักพังในความฝันนั่น ตนเองยังพอจะไปคุ้ยหาไวน์แดงกับใบโหระพาออกมาได้บ้าง ครอบครัวที่มีฐานะล้วนมีจัดเตรียมเครื่องเทศจำพวกนี้เอาไว้ แต่ดอกเกาลัดแดงกับใบป็อปลาร์นี่น่ะสิ พวกมันจำเป็นต้องรวบรวมจากความเป็นจริง
ถึงแม้ว่าทั้งสองสิ่งนี้จะหาได้ไม่ยาก ลูมิแอร์ก็คิดไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะไป ‘ยืม’ ได้จากที่ไหน แต่ถึงเอามาก็ไร้ประโยชน์อยู่ดีเพราะไม่สามารถโอนถ่ายเข้าไปในความฝันได้
ผู้หญิงคนนั้นคลี่ยิ้มเล็กน้อย
“ความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ นี่ฉันจะช่วยให้ฟรีก็แล้วกัน
“คุณไปหาวัตถุดิบพวกนั้นในความเป็นจริงมาก่อน แล้วตอนจะนอนก็เอาไปวางไว้บนโต๊ะในห้องนอนตัวเอง ฉันจะช่วยส่งเข้าไปในความฝันให้”
เธอช่วยส่งของพวกนั้นเข้าไปในความฝันของฉันได้ด้วยงั้นเหรอ? ลูมิแอร์ประหลาดในคราแรก จากนั้นก็รู้สึกโล่งใจที่ปัญหาถูกแก้ไขได้
เขาคิดไม่ถึงว่าความฝันที่พิเศษของตนเองนั้นจะยังมีคนที่สองที่สามารถ ‘เข้าไป’ ได้อีก
ครั้นเมื่อคิดถึงว่าความพิเศษที่ทำให้ตนเองสามารถเข้าไปในซากปรักหักพังในความฝันนั้นได้อาจจะเป็นเพราะสัญลักษณ์แปลกๆ บนหน้าอก เขาจึงรู้สึกสงสัยขึ้นมาว่าผู้หญิงที่อยู่เบื้องหน้าคนนี้อาจจะมีความเกี่ยวข้องอะไรบางอย่างกับสัญลักษณ์อันนั้นหรือไม่ก็เสียงแปลกๆ ที่น่ากลัวนั่น
ออกจากร้านเหล้าเก่ามาแล้ว ลูมิแอร์ก็กะว่าจะไปเก็บดอกเกาลัดแดงกับใบป็อบลาร์ทันที
แล้วในตอนนี้นี่เอง เขาก็เห็นไรอัน ลีอาห์ และวาเลนไทน์ เดินมาจากทางเล็กที่ใช้สำหรับเข้าประตูหลังของร้านเหล้า พวกเขายังคงสวมเสื้อผ้าชุดเก่าเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้ แต่งกายในลักษณะเดิม
ลูมิแอร์หัวใจกระตุกวูบ เอ่ยต้อนรับอย่างยิ้มแย้ม
“อรุณสวัสดิ์ กะหล่ำปลีของผม”
ลีอาห์หันหน้ามายิ้มให้พร้อมกับเสียงกระดิ่งกรุ๊งกริ๊ง
“คุณมาแต่เช้าเลย”
ลูมิแอร์แสร้งทำเป็นลับๆ ล่อๆ เหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะกดเสียงพูดกระซิบกระซาบ
“เมื่อวานผมเจอเรื่องผิดปกติ”
ไรอันมีสีหน้าจริงจัง หันไปสบตากับวาเลนไทน์และลีอาห์ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“เรื่องอะไร?”
ลูมิแอร์พูดด้วยอาการกลัวอยู่บ้าง
“ผมสงสัยว่าการตายของนาโรคาจะไม่ใช่เรื่องปกติ คนที่พวกคุณไปร่วมงานศพเมื่อวานน่ะ”
ไรอันแสดงท่าทางว่าให้พูดต่อ
ลูมิแอร์ผ่อนหายใจออก
“ผมเล่าเกี่ยวกับประเพณีงานศพในภูมิภาคดาริแยฌให้พวกคุณฟังแล้วใช่ไหมล่ะ? หลังจากนั้นน่ะพอทุกคนไปที่สุสานกันแล้ว ป็องส์ เบอเน็ตก็เข้าไปในบ้านของนาโรคา เจ้าของบ้านเองก็ไม่ได้ห้ามปรามด้วย
“แบบนี้มันไม่เท่ากับว่าไปทำลายอิทธิพลของราศีครอบครัว พาเอาโชคลาภของพวกเขาไปด้วยหรือไง?
“นี่ต้องมีปัญหาบางอย่างแน่!”
“ป็องส์ เบอเน็ตนี่คือคนที่เป็นพี่น้องของบาทหลวงประจำโบสถ์ใช่ไหม?” ไรอันคิดอยู่สองสามวินาทีแล้วถามขึ้น
ลูมิแอร์ผงกศีรษะอย่างแรง
เมื่อนึกถึงความผิดปกติของบาทหลวงประจำโบสถ์กับพวกพ้องขึ้นมา เมื่อคิดถึงว่าตัวเองกับพี่สาวกำลังจะออกจากหมู่บ้านกอร์ดูในอีกไม่นาน เขาก็ไม่กังวลว่าตัวเองอาจถูกปิดปากหรือถูกแก้แค้นอีกแล้ว จึงพูดออกมาตามตรง
“บาทหลวงนั่นไม่ใช่คนดี!”
“ทำไมถึงพูดอย่างนั้นล่ะ?” ลีอาห์ถามอย่างยิ้มแย้ม
การที่ลูมิแอร์กล่าวโทษบาทหลวงประจำถิ่นเช่นนี้ ลีอาห์ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย
ลูมิแอร์ไม่เกรงใจอีก เขาเล่าถึงเรื่องที่ก่อนหน้านี้มีชาวบ้านบางคนหายตัวไปหลังจากที่ไปแอบแจ้งข่าวที่ดาริแยฌ โดยเน้นที่คำกล่าวโทษต่อบาทหลวงประจำโบสถ์
สุดท้ายเขาก็พูดว่า
“ผมล่ะสงสัยจริงเชียวว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่ศาสนาของโบสถ์จริงหรือเปล่า
“มีครั้งหนึ่ง ผมก็แค่เล่าอะไรที่มันเป็นความจริงมากไปหน่อยเลยทำให้บางคนไม่พอใจ ช่วยไม่ได้ที่ต้องไปซ่อนตัวอยู่ในโบสถ์ชั่วคราว
“ตอนที่ผมเกือบจะหลับอยู่หลังแท่นบูชาน่ะ บาทหลวงประจำโบสถ์ก็เดินเข้ามาพร้อมกับมาดามปัวริส พวกเขาทั้งสองคนทำเรื่องบัดสีต่อหน้าต่อตาองค์เทพเลยแหละ
“แล้วช่วงท้ายๆ ที่พวกเขาคุยกัน บาทหลวงก็ยังแสดงความรู้สึกออกมาต่อหน้ามาดามปัวริสด้วย เขาพูดว่า ‘ทำไมผู้ชายถึงแต่งงานกับพี่สาวน้องสาวตัวเองไม่ได้?
“ประโยคนี้ทำให้มาดามปัวริสรับไม่ได้ รู้สึกว่านี่เป็นบาปมหันต์ เธอต้องการให้บาทหลวงรีบสำนึกผิดทันที
“บาทหลวงประจำโบสถ์พูดว่า ‘มีครอบครัวมั่งคั่งอยู่หลายบ้าน ที่พอลูกสาวแต่งงานออกเรือน ลูกชายออกไปสร้างครอบครัว ทำให้ต้องเสียเงินเสียทองไปมากมาย สุดท้ายครอบครัวก็เลยตกต่ำ ถ้าหากลูกชายสามารถแต่งงานกับพี่สาวน้องสาวของตัวเองได้ ปัญหาพวกนี้ก็จะไม่ใช่ปัญหาอีก แต่น่าเสียดายที่กฎหมายและจริยธรรมไม่อนุญาตให้ทำ’ …”
เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ วาเลนไทน์ที่สีหน้าเย็นชามาโดยตลอดก็พูดอย่างไม่พอใจ
“ตกลงว่าเขาเป็นข้ารับใช้ขององค์เทพหรือว่าเป็นข้ารับใช้ของปีศาจกันแน่?”
ไรอันผงกศีรษะราวกับกำลังครุ่นคิด
“มิน่าล่ะ ป็องส์ เบอเน็ตแต่งงานมาหลายปีขนาดนี้ก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปสร้างครอบครัว…”
ลีอาห์มองสองตาของลูมิแอร์ พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ
“ที่จริงคุณก็รู้อยู่ก่อนแล้วว่ามาดามปัวริสมีความสัมพันธ์กับบาทหลวงประจำโบสถ์ วันนั้นก็เลยจงใจใช้พวกเราสินะ”
ลูมิแอร์ยิ้มอย่างเก้อเขินขึ้นมาก่อน จากนั้นจึงพูดด้วยสีหน้าเที่ยงธรรม
“ในฐานะผู้ศรัทธาของ ‘สุริยันนิรันดร’ ผมทนให้คนแบบนี้มีที่ยืนอยู่ในโบสถ์ไม่ได้”
สีหน้าเย็นชาของวาเลนไทน์อ่อนลง เขาผงกศีรษะเห็นพ้องด้วย
“ถ้าหมู่บ้านกอร์ดูมีคนอย่างคุณอีกหลายๆ คนก็จะดีไม่น้อยเลย”
มีคนอย่างผมอีกหลายๆ คนเนี่ยนะ? ลูมิแอร์ไม่กล้านึกภาพเลยว่าหมู่บ้านกอร์ดูภายใต้สถานการณ์แบบนั้นจะมีสภาพเป็นอย่างไร
แล้วเขาก็พูดเสริมอีก
“ในครั้งนั้นผมก็ยังได้ยินบาทหลวงประจำโบสถ์พูดกับมาดามปัวริสอีกว่า เขากำลังวางแผนทำเรื่องบางอย่างอยู่ อาจจะทำให้คนของศาลศาสนจักรจับตามอง ให้มาดามปัวริสคอยระวังไว้ด้วย อย่าได้พลั้งปากหลุดพูดอะไรออกมา”
สีหน้าไรอันกลายเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันที
“มีบอกอย่างเจาะจงหรือเปล่าว่าเป็นเรื่องอะไร?”
“เปล่า” ลูมิแอร์ไม่ได้ปรุงเสริมเติมแต่งอะไร
สำหรับคนระดับนี้พูดเพียงเท่านี้ก็พอแล้ว ถ้ายังจะเพิ่มอะไรเข้าไปอีก ดีไม่ดีเกิดปัญหาปะทุขึ้นมาคืนนี้ก็แย่แล้ว เขายังไม่ทันได้กลายเป็นผู้วิเศษเลย
หลังจากอำลาคนต่างถิ่นทั้งสามแล้ว ลูมิแอร์ก็ใช้เวลาไปไม่น้อยเพื่อเก็บดอกเกาลัดแดงกับใบป็อปลาร์
เมื่อใกล้เที่ยงวัน เขาก็มาที่ลานจัตุรัส มาถึงอาคารสองชั้นซึ่งเป็นที่ทำการของสำนักบริหาร
ในเวลานี้ชาวหมู่บ้านส่วนใหญ่มารวมตัวออกันอยู่ที่นี่เพื่อรอการคัดเลือก ‘นางฟ้าฤดูใบไม้ผลิ’
วันพรุ่งนี้จะเริ่มต้นการเฉลิมฉลองเทศกาลมหาพรตในบางส่วน
ลูมิแอร์เห็นพวกแรมุนด์เอวา จึงเบียดตัวฝ่าฝูงชนเข้าไปหา
“เอวาอยู่ในรายชื่อหรือเปล่า?” เขาเอ่ยปากขึ้นมาก็ถามถึงทันที
เอวาไม่ได้พูดอะไร ในใจกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด ส่วนแรมุนด์ส่ายหัวสั่นศีรษะ
“ไม่รู้เหมือนกัน”
“ต้องมีเอวาแน่อยู่แล้ว ผู้หญิงในหมู่บ้านที่ยังไม่ได้แต่งงานเนี่ย นอกจากพี่สาวนายแล้วก็มีเธอนี่แหละที่สวยที่สุด แถมอายุพี่สาวนายก็เกินเกณฑ์ไปแล้วด้วย” กีโยม แบร์รี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดแทรกขึ้นมา
เขาก็คือกีโยมจูเนียร์ในก๊วนของลูมิแอร์ เป็นหนึ่งในคนที่มักจะเล่นด้วยกันอยู่บ่อยๆ เขามีผมสีน้ำตาลหยักศกเล็กน้อย ใบหน้ามีกระอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาสีฟ้าที่ไม่ได้ใหญ่นักจนเป็นตาหยี
อาเซมา น้องสาวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องฝั่งทางพ่อของเอวาก็อยู่นี่ด้วย รูปลักษณ์ของเธอเป็นเอวาในฉบับที่ตัวเล็กกว่าหนึ่งเบอร์และดูธรรมดากว่านิดหน่อย
ในเวลานี้เธอไม่ได้พูดอะไร
ลูมิแอร์เข้าใจความรู้สึกเธอ เพราะเธอเองก็อยากเป็น ‘นางฟ้าฤดูใบไม้ผลิ’ เช่นกัน
ในภูมิภาคดาริแยฌนั้น การถูกเลือกให้เป็น ‘นางฟ้าฤดูใบไม้ผลิ’ ไม่เพียงแต่ทุกคนจะยอมรับในรูปร่างหน้าตาและความประพฤติของคุณเท่านั้น มันยังมีผลประโยชน์ที่แฝงอยู่ในระดับหนึ่งด้วยเช่นกัน
เมื่อได้ยินคำพูดของกีโยมจูเนียร์แล้ว ลูมิแอร์ก็พูดด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าไม่มีชื่ออยู่ งั้นรอให้ผู้บริหารท้องถิ่นอ่านชื่อจบเมื่อไหร่ ฉันจะตะโกนออกไปดังๆ เลยว่า ‘ฉันเลือกเอวา!’ ”
เอวารู้สึกเก้อเขินขึ้นมาเล็กน้อย
“ไม่ต้องหรอกน่า”
ที่จริงแล้วนี่ก็เป็นกระบวนการตามปกติ หลังจากที่ทางผู้บริหารท้องถิ่นอ่านรายชื่อผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือก ‘นางฟ้าฤดูใบไม้ผลิ’ จบแล้ว หากว่าพวกชาวบ้านมีผู้สมัครของตัวเองก็สามารถตะโกนขึ้นมาได้ เพื่อเพิ่มเข้าไปในการลงคะแนนเสียง ทว่าคนที่ใจกล้าหน้าหนามากพอจะทำเช่นนั้นได้นับว่ามีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย และลูมิแอร์ก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น
ในเรื่องนี้เขาไม่สะทกสะท้านแม้แต่นิดเดียว
ถึงอย่างไรคนที่อายก็เป็นเอวา ไม่ใช่ฉันเสียหน่อย
จากนั้นไม่นานนัก หน้าต่างชั้นสองก็ถูกเปิดออก บิวส์ผู้บริหารท้องถิ่นปรากฏตัวขึ้นที่นั่น
ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้วเขาดูดีกว่าบาทหลวงประจำโบสถ์อย่างเทียบไม่ติด เรือนผมสีน้ำตาลที่บรรจงหวีลงแป้งอย่างประณีต ดวงตาสีฟ้าอ่อนมีเส้นสีดำ จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบาง หนวดสองเส้นที่ตัดแต่งมาเป็นอย่างดี ทำให้เขาดูมีสง่าราศีไม่น้อย เสื้อนอกผ้าสักหลาดกลัดกระดุมสองแถวก็ยิ่งขับเน้นสถานภาพของเขาให้เด่นชัดมากขึ้นอีกด้วย
บิวส์มองดูฝูงชนอยู่สองสามวินาที
“ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ตอนนี้ได้เวลาแล้ว คนที่มาไม่ทันจะไม่มีสิทธิ์ลงคะแนนอีกแล้ว
“ลำดับต่อไป ผมจะอ่านรายชื่อผู้สมัคร ‘นางฟ้าฤดูใบไม้ผลิ’
“เอวา ลิเซียร์…”
เมื่อได้ยินคำนี้ เอวาก็โล่งใจอย่างเห็นได้ชัด
และไม่มีอะไรผิดคาด การยกมือลงคะแนนเสียงนั้น เธอได้รับการสนับสนุนจากชาวบ้านเกินกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์
หลังจากการลงคะแนนสิ้นสุดลง ลูมิแอร์ไม่ได้ไปร่วมฉลองกับสหายร่วมคณะทั้งสี่คน เขาอ้างว่าที่บ้านยังมีเรื่องต้องทำอีก ก่อนจะเดินออกมาจากลานจัตุรัสทันที
เพิ่งจะกลับมาถึงบ้านเขาก็เอ่ยถามพี่สาว
“โทรเลขตอบกลับมาหรือยัง?”
ถ้าหากมีโทรเลขตอบกลับ พนักงานโทรเลขจะมาส่งให้ถึงบ้านและเก็บค่าธรรมเนียมเล็กน้อย
“ยังเลย” โอรอร์สั่นศีรษะ
เธอเปลี่ยนหัวข้อ
“ช่วงนี้คลื่นใต้น้ำเยอะมาก นายห้ามอู้เรื่องฝึกต่อสู้เชียวนะ อ้อ… เดี๋ยวช่วงบ่ายฉันจะซ้อมให้นายด้วย”
ลูมิแอร์ได้ยินแล้วก็รู้สึกปวดไปทั้งตัว แอบสูดปากไปหนึ่งที
ทันใดนั้นหัวใจเขาก็กระตุกเล็กน้อย แล้วจงใจพูดด้วยสีหน้าขื่นขม
“ไม่รู้ว่าเป็นเพราะช่วงนี้ซ้อมหนักเกินไปหรือเปล่า วันนี้เลยยอกไปทั้งตัว โอรอร์… เอ้ย…พี่… ช่วยนวดให้หน่อยได้ไหม? ฝีมือนวดของพี่น่ะสุดยอดไม่มีใครเทียบ!”
“ได้สิ” โอรอร์ผงกศีรษะ
* * * * *
เมื่อถึงตอนค่ำ ด้วยการนวดคลายเส้นจากพี่สาวรวมกับได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ ทำให้เนื้อตัวของลูมิแอร์ฟื้นตัวจนหายสนิท
ก่อนเข้านอนเขาวางดอกเกาลัดแดงสามดอกกับขวดใส่ใบป็อปลาร์ป่นไว้บนโต๊ะริมหน้าต่าง
หลังจากที่จ้องมองพวกมันแล้ว ลูมิแอร์ก็ปีนขึ้นเตียงด้วยความคาดหวังเจือความประหม่า
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น