ตอนที่ 31 การเฉลิมฉลอง
ราชันเร้นลับ (ราชันโลกพิศวง) ภาคสอง : บ่วงชะตากรรม
ตอนที่ 31 การเฉลิมฉลอง
※ ※ ※ ※ ※
ลูมิแอร์เพียงแค่ปวดใจด้วยความเสียดายตามนิสัยความเคยชินเท่านั้น แต่ไม่ได้ห้ามพี่สาวเอาไว้
เมื่อพวกเอวาแรมุนด์กลับหลังหันเดินไปบ้านหลังอื่นที่อยู่ใกล้ๆ เขาก็เจตนารั้งท้ายขบวน หันไปกระซิบกระซาบกับโอรอร์
“ถ้า ‘นิยายรายสัปดาห์’ ตอบโทรเลขกลับมาเมื่อไหร่ ต้องรีบเรียกฉันมาทันทีเลยนะ”
“วางใจเถอะน่า เรื่องแบบนี้ฉันไม่ประมาทหรอก” โอรอร์ส่งสายตาให้ลูมิแอร์เป็นเชิงว่า ‘สบายใจได้ เชื่อมือฉันเถอะ’
กลุ่มคณะขบวนแห่ต่างมีความรื่นเริงปรีดีร้องเพลงกันเต็มที่ ไปเคาะตามบ้านของชาวหมู่บ้านกอร์ดูอย่างต่อเนื่องไม่หยุด
จนกระทั่งสุดท้ายพวกเขาก็มาถึงคฤหาสน์ของผู้บริหารท้องถิ่น
ที่นี่ดัดแปลงมาจากปราสาทหลังหนึ่งในสมัยราชวงศ์เซารอน ตั้งอยู่เนินเขาริมหมู่บ้านกอร์ดู มีสีเข้มและหอคอยสูงสองหอ
กำแพงรอบคฤหาสน์ถูกทำลายไปนานแล้ว พวกลูมิแอร์เดินผ่านสวนดอกไม้ที่คู่สามีภรรยาบิวส์เปิดให้เป็นการเฉพาะ ไปจนถึงประตูคฤหาสน์
ประตูใหญ่ที่เปิดอยู่นั้นสูงสี่ห้าเมตร หากไม่ใช่การต้อนรับแขกผู้มีเกียรติก็จะไม่ได้เปิดออกทั้งหมด จะเปิดเพียงแค่ในส่วนครึ่งล่างที่สูงสองเมตรเท่านั้น
‘นางฟ้าฤดูใบไม้ผลิ’ เป็นอวตารแห่งวสันตฤดูและทูตของการเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์ จึงเป็นธรรมดาที่ย่อมต้องได้รับการปฏิบัติอย่างมีเกียรติที่สุด ในเวลานี้ประตูใหญ่ที่หนักอึ้งเปิดกางออกจนหมด มาดามปัวริสที่สวมชุดกระโปรงรัดทรงสีเขียวอ่อนยืนอยู่ตรงนั้น
เคธี่สาวใช้ของเธอถือตะกร้ากิ่งไม้สานยืนอยู่ด้านหลังครึ่งก้าว
เอวาเดินเข้าไปแล้วร้องเพลงอวยพร
มาดามปัวริสยิ้มมุมปาก ฟังอย่างเงียบๆ ดูสง่าและไว้ตัว ทำเอาพวกหนุ่มๆ ที่ตามขบวนแห่ ‘นางฟ้าฤดูใบไม้ผลิ’ มา คิดอยากมองชมแต่ก็ไม่กล้าจ้องมอง
ลูมิแอร์ที่เคย ‘ร่วมฟัง’ บทสนทนาในขณะที่อีกฝ่ายทำเรื่องบัดสีกับบาทหลวงประจำโบสถ์เห็นเช่นนั้นก็แค่นเสียง “เฮอะ” อยู่ในใจ
บทเพลงมาถึงท่อนจบ เอวาก็แลกเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ไม้กับตะกร้าไข่ไก่
เมื่อมาถึงจุดนี้ ขบวนแห่อวยพรก็ถึงคราวสิ้นสุด ลูมิแอร์แรมุนด์และพวกวัยรุ่นทั้งหลายก็ห้อมล้อมเอวา ‘นางฟ้าฤดูใบไม้ผลิ’ มุ่งหน้าไปยังแม่น้ำบนภูเขาที่อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านนัก
ถัดไปก็คือพิธีในส่วนที่สองของเทศกาลมหาพรต… พิธีริมน้ำ
เมื่อมาถึงสถานที่ที่ปกติใช้เลี้ยงห่าน เอวาก็ขยับเข้าไปใกล้แม่น้ำบริเวณที่น้ำใสสะอาด เต้นรำแบบง่ายๆ ขับขานบทเพลงที่ร้องก่อนหน้านี้อีกรอบ ในขณะที่ลูมิแอร์กับพวกวัยรุ่นคนอื่นๆ ยืนอยู่เฉยๆ ห่างจาก ‘นางฟ้าฤดูใบไม้ผลิ’ ไปเจ็ดแปดเมตร
หลังจากเสร็จสิ้นเรื่องเหล่านี้แล้ว เอวาก็หยิบหัวเทอร์นิพ [1] หั่นเป็นชิ้นๆ ที่ชาวบ้านให้มาจากตะกร้าซึ่งวางอยู่ที่เท้า โยนลงไปในน้ำ
เธอโยนไปพร้อมกับร้องเพลงไปด้วย
“เก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์! เก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์!”
จนกระทั่งเอวาโยนเสร็จแล้ว ลูมิแอร์ก็สืบเท้าวิ่งเข้าไป ก้มหยิบหัวเทอร์นิพที่หั่นเป็นชิ้นๆ จากตะกร้า ขว้างลงแม่น้ำ
“เก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์! เก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์!”
เขาตะโกนเสียงดัง
พวกหนุ่มสาวที่เหลือนั้นช้ากว่าเขาไปหนึ่งจังหวะ บางคนก็ช้ากว่านั้นอีก ต่างพากันพุ่งเข้าหาเอวาราวกับกลัวว่าจะถูกทิ้งให้ล้าหลัง แล้วหยิบเอาพวกหัวเทอร์นิพ หัวแรดิช และสิ่งของที่ไม่ได้มีค่ามากนักจากในตะกร้า ไปหาที่โยนลงแม่น้ำ ตะโกนเสียงดัง “เก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์”
แรมุนด์ไม่มีโอกาสเป็นคนเปิดขบวน ทั้งยังตามคนอื่นไม่ทันด้วย จึงเป็นคนสุดท้ายที่ทำพิธีเสร็จ
วินาทีถัดมาเขาก็เห็นพวกลูมิแอร์ กีโยมจูเนียร์ เผยรอยยิ้มไม่ประสงค์ดี
หนุ่มๆ เหล่านี้พร้อมใจกันจับตัวแรมุนด์ยกชูขึ้น
ขณะที่พวกเขาตะโกนว่า “เก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์” ก็ออกแรงโยนแรมุนด์ลงแม่น้ำ
ตูม! แรมุนด์ตกน้ำ เสื้อผ้าผมเผ้าเปียกปอนทันที
ผู้คนที่อยู่ริมฝั่งก็ยังหยิบดิน หยิบกิ่งไม้ โยนไปรอบๆ ตัวเขาด้วย
นี่ก็คือขั้นตอนตายตัวของพิธีริมน้ำ : ผู้ที่อธิษฐานเสร็จเป็นคนสุดท้ายจะถูกโยนลงน้ำ ไม่อนุญาตให้ขึ้นฝั่ง ได้แต่ต้องว่ายต่อไปอีกระยะหนึ่งแล้วค่อยขึ้นฝั่งกลับหมู่บ้านไปอย่างเงียบๆ ซ่อนตัวอยู่ในบ้าน จะออกไปไหนก่อนฟ้ามืดไม่ได้
แรมุนด์เช็ดน้ำบนหน้า พุ้ยน้ำสองสามครั้งก่อนจะมุ่งหน้าล่องไปตามกระแสน้ำ
จากนั้นคณะขบวนแห่อวยพรจึงมาห้อมล้อมเอวา เดินไปยังโบสถ์ ‘สุริยันนิรันดร’ ที่อยู่ริมลานจัตุรัสหมู่บ้านกอร์ดู
ณ ขณะนี้เกือบจะเป็นเที่ยงวันแล้ว ชาวหมู่บ้านส่วนใหญ่ต่างมารวมตัวกันในที่แห่งนี้ รวมถึงโอรอร์พี่สาวของลูมิแอร์ด้วย
เมื่อเปรียบเทียบกับบรรดา ‘สหาย’ หลังอื่นๆ ในตัวเมืองแล้ว โบสถ์ของที่นี่ไม่ได้ยิ่งใหญ่โอ่อ่ามากนัก มีความสูงอย่างมากก็เพียงแค่สิบเอ็ดสิบสองเมตร
มันโค้งเป็นทรงโดม มองจากภายนอกดูคล้ายกับหัวหอม เมื่ออยู่ข้างในแล้วแหงนหน้ามอง สิ่งที่เข้าสู่ครรลองจักษุก็คือภาพจิตรกรรมฝาผนังของดวงอาทิตย์ที่งดงามแพรวพราวอร่ามตา
ตลอดทั่วทั้งโบสถ์ทาด้วยสีทองเป็นหลัก ดูสว่างโล่งสดใสเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งก็เป็นรูปแบบโดยทั่วไปของโบสถ์ ‘สุริยันนิรันดร’
แท่นบูชาตั้งอยู่ทางตะวันออก มีดอกทานตะวันหลากหลายชนิดล้อมรอบสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ขนาดโอฬารเอาไว้
บนพื้นผิวของสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์นั้นมีทรงกลมสีทองและเส้นสายที่แสดงถึงแสงรัศมี ก่อเกิดเป็นสัญลักษณ์ซึ่งให้ความรู้สึกถึงความลึกลับคัมภีรภาพ
นี่ก็คือสัญลักษณ์แห่ง ‘สุริยันนิรันดร’
บนผนังที่อยู่สูงขึ้นไปด้านหลังแท่นบูชา มีหน้าต่างบานกระจกใสบริสุทธิ์สองบานเลี่ยมทองคำเปลว ทุกๆ วันเมื่อถึงเวลาดวงตะวันทอแสง แสงแดดจากตรงนี้จะสาดต้องส่องกระทบสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์
ตำแหน่งที่สอดคล้องกันทางฝั่งตะวันตกของโบสถ์ก็มีหน้าต่างกระจกสองบานในลักษณะเดียวกัน ใช้สำหรับรับแสงจากอาทิตย์ยามสนธยา
เป็นเพราะนี่ไม่ใช่พิธีอย่างเป็นทางการของทางโบสถ์ แต่เป็นการเฉลิมฉลองพื้นบ้าน กีโยม เบอเน็ตบาทหลวงประจำโบสถ์จึงไม่ได้ปรากฏตัว มีบิวส์ผู้บริหารท้องถิ่นเป็นประธานงาน
เอวาที่ยังแต่งตัวเป็น ‘นางฟ้าฤดูใบไม้ผลิ’ ยืนอยู่ข้างเขา เสียงเครื่องดนตรีพวกขลุ่ยพวกพิณเจ็ดสายดังขึ้น บรรดาชาวบ้านร่วมกันร้องเพลงสดุดีฤดูใบไม้ผลิและอธิษฐานขอให้การเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์
พวกเขาไม่ได้มีการซักซ้อม ร้องเพลงก็ไม่พร้อมเพรียง บางคนก็ยังเต้นไปร้องไป ทำให้ฉากที่เห็นนี้ครึกครื้นมีชีวิตชีวายิ่งนัก
ลูมิแอร์ขยับปากตามแต่ไม่ได้ส่งเสียงออกมา เขาเพียงแค่ทำแบบขอไปทีให้จบๆ ไป ทว่าโอรอร์ที่อยู่ข้างเขานั้นกลับตรงกันข้าม เธอทุ่มเทเป็นอย่างมาก แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้อธิษฐานเพื่อขอให้การเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์ แค่หาโอกาสได้เล่นสนุกและได้ร้องเสียงสูงมากกว่า
เป็นเพราะเขาร้องเพลงแบบส่งๆ ไปอย่างนั้น ลูมิแอร์จึงมีเวลาว่างมองสังเกตรอบๆ ตัว
เขาไม่พบว่าสีหน้าท่าทางของชาวบ้านจะมีอะไรผิดปกติ จึงได้แต่เงยหน้ามองไปยังจิตรกรรมฝาผนังภาพดวงอาทิตย์ทองคำพร่างพราวอร่ามตามจิตใต้สำนึก
ในฉับพลันนั้นเขาก็รู้แล้วว่าทำไมตนเองถึงได้ติดใจมาตลอดว่ามีอะไรผิดปกติ
ชาวบ้านจำนวนมากเหล่านี้ไม่ได้สดุดีพระอาทิตย์มาตั้งนานแล้วนี่เอง!
สำหรับชาวบ้านที่ศรัทธาใน ‘สุริยันนิรันดร’ เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นคำว่า ‘สุริยะสักการะ’ ‘ข้าแต่บิดาแห่งพระบิดา’ อะไรทำนองนี้มักจะต้องปรากฏอยู่ในชีวิตประจำวันตลอด แต่เมื่อลูมิแอร์ย้อนนึกดูก็พบว่าในช่วงระหว่างนี้น้อยครั้งมากที่ตนเองได้ยิน!
ในฐานะสาวกแต่ในนามคนหนึ่ง โดยปกติเขาย่อมไม่พูดอะไรแบบนั้นอยู่แล้ว รวมถึงที่เขาไปสร้างความขุ่นเคืองให้กับบาทหลวงประจำโบสถ์ด้วย จึงไม่ได้ไปเข้าร่วมกิจกรรมใดๆ ของศาสนจักรมาช่วงหนึ่ง ดังนั้นก่อนหน้านี้จึงไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีปัญหาอันใด ทว่าจนกระทั่งวันนี้ ภายในตัวโบสถ์ที่เคร่งขรึมน่าเกรงขามของสภาพแวดล้อมสีทองเหนือศีรษะจึงทำให้สังเกตเห็นถึงความผิดปกติขึ้นมา
จากนั้นเนื้อหาข้อความในจดหมายขอความช่วยเหลือที่เขาถอดความออกมาได้ก็ผุดขึ้นในหัวของเขาทันที
‘พวกเราต้องการความช่วยเหลือด่วนที่สุด
‘คนรอบข้างแปลกประหลาดมากขึ้นทุกที’
ผู้คนรอบข้างเริ่มแปลกประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ … เสี้ยววินาทีนี้ลูมิแอร์บังเกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงประโยคนี้และเห็นพ้องด้วย
เขามองไปโดยรอบอีกครั้ง พยายามมองหาพวกลีอาห์คนต่างถิ่น
ราวกับพวกไรอันไม่ได้มาร่วมชมการเฉลิมฉลองของพิธีมหาพรต
“เอาจริงดิ เวลาที่ควรจะมาก็ดันไม่ยอมโผล่มาซะงั้น…” ลูมิแอร์บ่นอุบอิบอยู่ในใจ
เขาแสร้งทำเป็นว่าไม่ได้สังเกตเห็นอะไรเข้า แล้วเปล่งเสียงร่วมร้องเพลงประสานไปกับคนอื่นๆ
จนกระทั่งเสียงเพลงเริ่มซาลง การเฉลิมฉลองสิ้นสุด เขาก็โน้มตัวไปข้างๆ หูโอรอร์ พูดกระซิบออกไป
“ไว้รอให้กลับบ้านก่อน ฉันมีอะไรจะคุยกับเธอ”
ในฐานะที่เป็นคนในขบวนแห่เพื่อส่ง ‘นางฟ้าฤดูใบไม้ผลิ’ เขายังต้องเข้าร่วมพิธีในส่วนสุดท้ายด้วย จึงไม่อาจออกไปก่อนพร้อมกับคนอื่นๆ ได้
และเขาเองก็ไม่ได้คิดจะฝืนออกไปจากโบสถ์ด้วย เพราะเกรงว่าอาจจะนำไปสู่การปะทุของความผิดปกติก่อนเวลาอันควร
โอรอร์ผงกศีรษะครุ่นคิด
“ได้”
เธอไม่ได้ถามอะไรอีก เดินออกจากโบสถ์ไปพร้อมกับมาดามปัวริสและชาวบ้านส่วนใหญ่
ไม่นานนักที่นี่ก็เหลือเพียงแค่หนุ่มสาวที่เข้าร่วมขบวนแห่อวยพรและเอวาที่เป็นอวตารของ ‘นางฟ้าฤดูใบไม้ผลิ’ เท่านั้น
เครื่องสักการะทั้งหมดที่ได้รับมาก่อนหน้า นอกเหนือจากสิ่งที่โยนลงแม่น้ำไป ล้วนถูกวางอยู่ข้างตัวเอวา นอกจากนี้ก็ยังมีสิ่งของที่มีความหมายในเชิงสัญลักษณ์ อย่างเช่น หญ้าอาหารสัตว์ ขวาน พลั่ว แส้ และไม้ต้อนห่าน
ขั้นตอนถัดไป สิ่งที่พวกลูมิแอร์จำเป็นต้องทำก็เพียงแค่รอให้คนหนึ่งจากนอกโบสถ์เดินเข้ามาประกาศเริ่มส่งตัว ‘นางฟ้าฤดูใบไม้ผลิ’ จึงค่อยไปห้อมล้อมเอวาเพื่อถอดมงกุฎกิ่งไม้สาน สร้อยคอกิ่งไม้สาน และกิ่งไม้ใบไม้บนร่างเธอออกมา
ระหว่างขั้นตอนดังกล่าวพวกเขาจำเป็นต้องเว้นช่องว่างไว้หนึ่งช่องเพื่อให้ ‘นางฟ้าฤดูใบไม้ผลิ’ ถอนออกมาจากร่างของเอวา
รอกันไปได้เพียงยี่สิบสามสิบวินาที ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากทางประตูโบสถ์
ลูมิแอร์หันไปมองตามสัญชาตญาณ ก็เห็นว่าเป็นคนสองคน
หนึ่งคือปิแอร์ แบร์รี่คนเลี้ยงแกะที่กลับมาเพื่อร่วมพิธีมหาพรตเป็นการเฉพาะ เบ้าตาเขาลึกลงไปเล็กน้อย สวมเสื้อคลุมยาวสีน้ำตาลเข้มมีฮู้ด มีเชือกผูกรอบเอว ที่เท้าสวมรองเท้าหนังสีดำคู่ใหม่เอี่ยม
ที่แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้ก็คือผมสีดำเป็นมันเยิ้มของเขานั้นราวกับถูกชำระล้างมา ดูสะอาดเรียบลื่น หนวดเครารุงรังก็ได้รับการตัดแต่งเล็ม ไม่เพียงแต่ไม่ยาวรุงรังอีกแล้ว ซ้ำยังดูเรียบร้อยกว่าเดิมมากนัก
ในเวลานี้ดวงตาสีฟ้าของเขามีรอยยิ้มจางๆ เฉกเช่นตามปกติวิสัย
อีกคนก็คือกีโยม เบอเน็ตบาทหลวงประจำโบสถ์ เขายังคงสวมชุดคลุมสีขาวที่มีแถบเลื่อมทองซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของบาทหลวงประจำโบสถ์ไว้บนร่าง เขามีผมสีดำอ่อน จมูกงุ้มเล็กน้อย แผ่กลิ่นอายน่าเกรงขาม แต่มีส่วนสูงไม่มาก ไม่ถึงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร เทียบแล้วยังเตี้ยกว่าปิแอร์ แบร์รี่ที่อยู่ด้านข้าง
บาทหลวงประจำโบสถ์… เขามาได้ยังไง? ลูมิแอร์แปลกใจระคนสงสัย
ในฐานะเจ้าหน้าที่ศาสนจักรของโบสถ์ ‘สุริยันนิรันดร’ เขาไม่สมควรปรากฏตัวในงานเฉลิมฉลองพื้นบ้านที่ไม่ได้มีพิธีส่วนไหนเกี่ยวข้องกับ ‘สุริยะสักการะ’ เช่นนี้
เมื่อคิดถึงว่าบาทหลวงกับพวกพ้องแอบวางแผนลับๆ อะไรบางอย่าง และนึกถึงว่าตนเองได้สร้างความขุ่นข้องหมองใจขนาดหนักต่อเขา ลูมิแอร์ที่สติสัมปชัญญะกลับคืนมาแล้วจึงค่อยๆ ย่องถอยไปข้างๆ กระจกสี [2] ในทันที
เป็นเพราะในขณะนี้ยังไม่ถึงเวลาไปห้อมล้อมรอบตัวเอวา ‘นางฟ้าฤดูใบไม้ผลิ’ พวกเขาที่เป็นกลุ่มวัยรุ่นยังยืนกระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ดังนั้นการกระทำของเขาจึงไม่ได้สะดุดตาใคร
เอวาเห็นว่าเป็นบาทหลวงประจำโบสถ์เดินเข้ามาก็ให้ประหลาดใจอยู่บ้าง แต่เมื่อคิดได้ว่าเขาเป็นผู้ทรงเกียรติที่สุดในหมู่บ้าน การที่เขาเป็นผู้ประกาศสิ้นสุดการเฉลิมฉลองเทศกาลมหาพรตจึงย่อมเหมาะสมกว่าคนอื่นอยู่แล้ว ดังนั้นเธอจึงคลี่ยิ้มออกมาอีกครั้ง
กีโยม เบอเน็ตบาทหลวงประจำโบสถ์และปิแอร์ แบร์รี่คนเลี้ยงแกะเดินมาถึงข้างกายเอวาอย่างรวดเร็ว
ฝ่ายแรกพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก
“เริ่มส่งตัว ‘นางฟ้าฤดูใบไม้ผลิ’ ”
คนอื่นๆ นอกจากลูมิแอร์เริ่มเตรียมพุ่งเข้าหาเอวา เพื่อไปล้อมรอบๆ เธอ
“เริ่มส่งตัว ‘นางฟ้าฤดูใบไม้ผลิ’ ” ปิแอร์ แบร์รี่คนเลี้ยงแกะตะโกนเสียงดังตาม พร้อมกันนั้นก็ก้มตัวลงไปพร้อมรอยยิ้ม
ไม่เข้าท่าแล้ว! ลูมิแอร์เห็นฉากนี้ก็หัวใจกระตุกวูบ เขาก้าวเท้าขวาออกไปตามจิตสำนึก โน้มตัวไปข้างหน้า เตรียมจะพุ่งออกไป
ก่อนที่ทุกคนจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง ปิแอร์ แบร์รี่ก็หยิบขวานจากในกองสิ่งของสักการะขึ้นมา สองมือจับกำไว้แน่น ยืดตัวขึ้นแล้วเหวี่ยงออกไปเต็มแรง!
เสียงฉัวะทึบหนักดังขึ้น เลือดพุ่งกระฉูดออกมาจากลำคอของเอวาราวกับจู่ๆ ก็เกิดกลุ่มหมอกโลหิตสีแดงเข้มก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
ตุ้บ!
ศีรษะเอวาที่ไร้ลำตัวหมุนกลิ้งกระทบพื้นสองสามรอบ ก่อนจะหยุดสนิทหงายหน้าขึ้น เลือดอาบย้อมใบหน้าจนชุ่มโชก ดวงตาเบิกโพลง
ในดวงตาเธอยังคงมีร่องรอยแห่งความปีติสุขอย่างชัดเจน
ลูมิแอร์ที่เพิ่งขยับเท้าไปได้เพียงแค่สองก้าว หัวใจเขาจมดิ่งวูบ รีบกลับหลังหันทันที พุ่งไปทางกระจกสีที่อยู่ด้านข้าง ต้องการหนีออกไป
* * * * *
[1] เทอร์นิพ (芜菁) turnip หัวผักกาดหรือหัวผักกาดขาว เป็นผักมีรากที่ปลูกในสภาพอากาศอบอุ่นทั่วโลก ลักษณะจะเป็นลูกกลมๆ ต่างจากหัวผักกาดทรงยาวที่พบเห็นในบ้านเรา
[2] กระจกสี (Stained Glass) เป็นงานประติมากรรมที่ใช้กับหน้าต่างของโบสถ์และอาคารสำคัญทางคริสศาสนา
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น