ตอนที่ 32 ความผิดปกติ

ราชันเร้นลับ (ราชันโลกพิศวง) ภาคสอง : บ่วงชะตากรรม

ตอนที่ 32 ความผิดปกติ

※ ※ ※ ※ ※

พวกผ้า หม้อ ไข่ไก่ และสิ่งของอื่นๆ ที่ถูกเลือดสาดกระเซ็นใส่จนเกิดกลิ่นคาวฉุนรุนแรงชอนไชเข้าจมูกไม่ได้ทำให้กีโยม เบอเน็ตบาทหลวงประจำโบสถ์เปลี่ยนสีหน้าแม้แต่น้อย เขาเอี้ยวตัวไปมองที่ไหนสักแห่งในโบสถ์ จากนั้นร่างของลูมิแอร์ที่กำลังวิ่งเตลิดก็สะท้อนอยู่ในดวงตาสีฟ้าของเขา

สีของรูม่านตาบาทหลวงประจำโบสถ์ซีดจางลง มันพร่าเลือนจนราวกับโปร่งใส

ในสายตาของเขา รอบๆ ตัวลูมิแอร์มีสัญลักษณ์ซับซ้อนสีปรอทวนรอบเป็นชั้นๆ พวกมันบิดพันเกี่ยวกระหวัดในตัวเองจนเหมือนเป็นลำธารเล็กๆ สายแล้วสายเล่า และตัวลูมิแอร์เหมือนกำลังอยู่ในแม่น้ำมายาที่เป็นประกายระยิบระยับอันเกิดจากสัญลักษณ์เหล่านั้น ด้านหน้าเขายังมีสายธารพร่าเลือนอีกหลายสายที่มากยิ่งกว่านั้น

กีโยม เบอเน็ตยื่นมือขวาออกไปในอากาศคว้าจับสัญลักษณ์สีปรอทที่อยู่รอบตัวเป้าหมาย

ลูมิแอร์ย่ำเท้าขวาเต็มแรงเตรียมจะพุ่งตัวไปยังกระจกสีด้านหน้าเพื่อกระแทกชนออกไปโดยตรง

แต่แล้วในตอนนี้ใต้เท้าเขากลับลื่นจนไม่อาจใช้แรงได้เต็มที่

ร่างเขาพุ่งลอยไปในสภาพปัดป่ายอยู่กลางอากาศ

เสียงพลั่กตุ้บแคร๊กดังขึ้น ลูมิแอร์พุ่งกระแทกกระจกสีรูปนักบุญซิธจนแตกร้าว แต่ไม่อาจทะลุออกไปได้ เขาหยุดอยู่แค่ภายในโบสถ์เท่านั้น

บนร่างเขาปรากฏบาดแผลจำนวนมากจากรอยขีดข่วน เลือดสีแดงสดไหลออกมาอย่างรวดเร็ว

ณ เวลานี้ คนเลี้ยงแกะปิแอร์ แบร์รี่ที่ก่อนหน้านี้ใช้ขวานเด็ดศีรษะเอวาก็หมายตามายังลูมิแอร์

ใบหน้าเขายังคงมีรอยยิ้มอ่อนโยนอบอุ่นประดับอยู่ ขณะที่ดวงตาสีฟ้าเต็มไปด้วยความดุร้าย ประหนึ่งว่าได้ปลดปล่อยผนึกอะไรบางอย่างในตัวออกตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ แล้วเผยถึงตัวตนแท้จริงที่อำพรางไว้ออกมา

ปิแอร์ แบร์รี่ถือขวานย่างเท้าก้าวใหญ่ตรงเข้าไปหาลูมิแอร์

ทุกๆ ก้าวที่ย่างออกไป ร่างกายเขาราวกับเปลี่ยนเป็นสูงใหญ่แข็งแรงขึ้นทุกขณะ เห็นๆ อยู่ว่าในความเป็นจริงนั้นยังคงเป็นเฉกเช่นเดิม ทว่ากลับมีกลิ่นอายของยักษาแผ่พุ่งออกมา

ลูมิแอร์หันหลังให้คนเลี้ยงแกะที่ดุร้ายผู้นี้ เอนพิงหน้าต่างกระจกสีเพื่อทรงตัว

เขาเพิ่งสลัดหลุดความเจ็บปวดที่ล้มกระแทกอย่างแรงและถูกบาด กำลังใช้สองมือพยุงตัว ฝืนจะพุ่งม้วนตัวออกไปจากโบสถ์ แต่ก็รับรู้ถึงอันตรายผิดปกติที่บังเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน

ด้านหลังมีคนมา… ความคิดผุดขึ้นในหัวลูมิแอร์ที่ยังคงกดกรอบหน้าต่างซึ่งเต็มไปด้วยเศษกระจกคาไว้ ไม่คำนึงถึงว่ามีบาดแผล ไม่สนใจเลือดที่ไหลลงมา ทำประหนึ่งว่าต้องการจะพุ่งม้วนตัวออกไปข้างนอก

ทว่าการกระทำนี่เป็นเพียงการแสร้งแกล้งทำเท่านั้น เขาดึงร่างกลับมาโดยเร็ว ไม่ได้พุ่งไปข้างหน้าแต่ล้มถอยไปด้านหลัง

เพล้ง!

ขวานหวดผ่านกรอบหน้าต่างที่มีแต่กระจกแตกและกวาดพวกมันหลุดจากผนังปลิวออกไปนอกโบสถ์

และลูมิแอร์ที่กลิ้งตัวกลับหลังก็หลบรอดอันตรายได้อย่างเฉียดฉิวผ่านข้างเท้าของปิแอร์ หลีกเลี่ยงจากการโจมตีที่รุนแรงนี้ไปได้

ทว่าเขากลับไม่ได้รู้สึกยินดีแม้แต่น้อยนิด เพราะในขณะนี้เขาถูกต้อนให้กลับเข้ามาในโบสถ์ และเส้นทางหลบหนีที่เร็วที่สุดก็ถูกขวางไว้เรียบร้อยโดยปิแอร์ แบร์รี่คนเลี้ยงแกะซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีความผิดปกติ

ถึงแม้ลูมิแอร์จะอ่านนิยายมาไม่น้อยก็จริง แต่ก็ไม่ได้โลกสวยคิดอย่างไร้เดียงสาว่าขอเพียงแค่กลิ้งหลบไปเรื่อยๆ ก็จะไม่ถูกฟาดเข้าให้ พอเพิ่งจะผ่านร่างปิแอร์ แบร์รี่มาได้ เขาก็ใช้ข้อศอกยัน ออกแรงที่เอวแล้วดีดตัวขึ้นมา

เขากวาดสายตาไปตามแนวขวาง พบว่านอกจากพวกกีโยมจูเนียร์ไม่กี่คนแล้ว วัยรุ่นที่เหลืออยู่ราวกับถูกอิทธิพลจากของบางอย่างจนสูญเสียความสามารถในการคิด กลายเป็นคนเสียสติไปแล้ว

พวกเขาต่างเมินเฉยร่างเอวาที่ไร้ศีรษะและเลือดที่ไหลนองไปทั่วบริเวณ พากันโห่ร้องก้องตะโกน

“ส่ง ‘นางฟ้าฤดูใบไม้ผลิ’ ออกไป!

“ส่ง ‘นางฟ้าฤดูใบไม้ผลิ’ ออกไป!

“…”

พวกกีโยมจูเนียร์ไม่กี่คนนั่นยืนตะลึงอยู่ตรงนั้นอย่างทื่อทึ่ม ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว มองดูดวงตาเบิกกว้างที่แฝงด้วยรอยยิ้มของเอวาอยู่อย่างนั้น

ใบหน้าพวกเขาแสดงความหวาดกลัว ตื่นตระหนก และไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่ตาเห็น ราวกับกำลังตกอยู่ในฝันร้ายที่ไม่อาจหนีไปไหนได้

และเห็นอย่างชัดเจนว่าความสูงของปิแอร์ แบร์รี่นั้นไม่ได้ต่างไปจากเดิม แต่ลูมิแอร์กลับเหมือนตาฝาดเห็นว่าเขาสูงใหญ่แทบไม่ต่างจากหลังคาโดมเลย

เมื่อคนเลี้ยงแกะโจมตีพลาดก็รีบชักขวานกลับมาทันที เขากลับหลังหันแล้วเงื้อจามใส่ลูมิแอร์ที่อยู่ไม่ห่างนัก แต่ลูมิแอร์เองก็ไม่ได้ยืนนิ่งเป็นหุ่น เขาวิ่งขึ้นหน้าหลบการโจมตีนี้ได้สำเร็จ

ตึก ตึก ตึก!

ลูมิแอร์ปลดปล่อยความว่องไวและคล่องแคล่วของนักล่าออกมาเต็มที่ สับเท้าวิ่งสุดแรงเป็นเส้นโค้ง

เป้าหมาย : บาทหลวงประจำโบสถ์!

ประสบการณ์บอกเขาว่าในเวลาเช่นนี้จะต้องจับหัวหน้าของศัตรูให้ได้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำกับตนเช่นไร ก็ได้เพียงแค่ทุบตีทำร้ายเขาเท่านั้น มาดูกันว่าจะปล่อยฉันไปหรือจะยอมแลกชีวิตตายไปด้วยกัน

ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยสุดๆ แบบนี้ มีเพียงแค่ทำเช่นนี้เท่านั้นถึงจะสามารถสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมาได้

ปิแอร์ แบร์รี่คนเลี้ยงแกะไม่ได้ไล่ตามลูมิแอร์ต่อ เขาถือขวานเปื้อนเลือดยืนอยู่หน้าผนังที่กรอบหน้าต่างหลุดหายไปแล้ว ยื่นมือซ้ายออกมาทางลูมิแอร์

ทั่วทั้งโบสถ์กลายเป็นมืดครึ้มลงทันที รอบๆ ตัวลูมิแอร์ยิ่งมืดลงไปอีก กลายเป็นความอนธการผืนหนึ่ง

ความอนธการนี้ราวกับมีพลังชีวิตเป็นของตัวเอง มันสั่นส่ายเบาๆ

ราวกับมันมีม่านคลุมไว้เป็นชั้นๆ ซ้ำด้านหลังก็ยังมีท่อนแขนแปลกประหลาดที่ขาวซีดดำมะเมื่อมซ้อนกันอันแล้วอันเล่า ยื่นออกมาจะไขว่คว้า

และภายในดวงตาที่เกือบจะโปร่งใสของกีโยม เบอเน็ตบาทหลวงประจำโบสถ์ ร่างของลูมิแอร์ที่ยังคงจมอยู่ในแม่น้ำมายาของสัญลักษณ์ซับซ้อนสีปรอทสายนั้น เบื้องหน้าก็ยังมีลักษณะเฉกเช่นเดียวกันแต่ดูมีความเป็นภาพมายายิ่งกว่า ราวกับว่านั่นเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งในอนาคตหรือเรียกว่าเป็นแขนงกระแสก็ว่าได้

มือขวาของกีโยม เบอเน็ตพยายามอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็คว้าจับเอารูปแบบที่ประกอบด้วยสัญลักษณ์หลายตัวซึ่งเป็นกุญแจสำคัญออกมาจากสายน้ำมายาได้

ขอเพียงแค่เขาเปลี่ยนมันได้ ความพยายามทั้งหมดของลูมิแอร์จะกลับกลายเป็นสูญเปล่าทันที ชะตากรรมในอนาคตจะถูกเขียนขึ้นใหม่ตามนั้น

แต่ฉับพลันนั้นเอง ดวงตาของบาทหลวงประจำโบสถ์ก็ชะงักค้างไป

“อา!!!!”

เขากรีดร้องเสียงดังลั่น ดวงตาปิดแน่น น้ำตาขุ่นข้นและเลือดสีแดงสดไหลพราก

ขณะที่เสียงกรีดร้องดังก้องอยู่ ร่างของกีโยม เบอเน็ตก็โป่งพองขึ้นประหนึ่งว่าถูกฉีดแก๊สจำนวนมากเข้าไปในตัว

แควก!

ชุดคลุมสีขาวประดับเลื่อมทองยากจะทนทานไหว มันฉีกขาดในเวลาอันสั้น

ผิวหนังของเขาเองก็ยืดออกจนแทบจะโปร่งใส เผยให้เห็นรอยตราประทับประหลาดที่ก่อนหน้านี้ซุกซ่อนอยู่ในร่มผ้า

เส้นรอยแต่ละเส้นมันเป็นสิ่งสีดำที่คล้ายกับรอยสักตราประทับ พวกมันเชื่อมต่อเข้ากับโลกที่ยากอธิบาย นำมาซึ่งออร่าที่น่าหวาดกลัวสุดขีด

ออร่านี้แผ่กระจายไปทั่วทั้งโบสถ์ กลุ่มวัยรุ่นที่ส่ง ‘นางฟ้าฤดูใบไม้ผลิ’ ต่างตกอยู่ในสภาพตื่นตระหนกจนไม่อาจเปรียบเปรย พวกเขาบ้างวิ่งไปรอบกองเครื่องสักการะ บ้างคุกเขาลงกับพื้น บ้างหมอบราบกราบกราน ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง

พวกกีโยมจูเนียร์กับอีกไม่กี่คนที่หวาดกลัวอยู่แล้วพากันสิ้นสติไปทันที ร่างกายท่อนล่างมีของเหลวเปียกโชกเปรอะเปื้อน ส่งกลิ่นเหม็นโชยออกมา

ปิแอร์ แบร์รี่คนเลี้ยงแกะที่กำลังจะใช้ศาสตร์ลี้ลับจับลูมิแอร์ ในเวลานี้เขาทิ้งขวานลงพื้น คุกชันเข่าข้างหนึ่ง ก้มศีรษะหลุบต่ำ ไม่ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว

ตลอดทั่วทั้งโบสถ์ในเวลานี้มีเพียงผู้เดียวที่ไม่เป็นไร นั่นคือลูมิแอร์

ทว่าในความเป็นจริงเขาเองได้รับผลกระทบเข้าไปเช่นกัน ศีรษะปวดขนาดหนัก แต่เมื่อเทียบกับเสียงลึกลับที่ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพเจียนตายนั่นแล้ว ออร่าในขณะนี้ยังนับได้ว่าห่างไกลยิ่งนัก

และนอกจากนี้เขาก็ยังรู้สึกหน้าอกร้อนรุ่มถูกแผดเผา จนเกิดความสงสัยว่ารอยตราประทับที่เป็นโซ่หนามสีดำนั่นคงปรากฏขึ้นมา ทั้งยังอาจจะมีรอยตราสีดำเขียวที่คาดว่าเป็นดวงตาและตัวหนอนเพิ่มมาอีกด้วย

ลูมิแอร์ไม่สนใจตรวจสอบสภาพร่างกายตนเอง ซ้ำยังไม่สนใจอยากรู้ว่าเหตุใดตนเองจู่ๆ จึงพลิกกลับมาได้เปรียบ เขายังคงพุ่งเข้าหากีโยม เบอเน็ตบาทหลวงประจำโบสถ์ต่อ

เมื่อโอกาสมาถึง ย่อมไม่อาจปล่อยให้หลุดมือไป!

ระยะห่างที่กระชับเข้ามาใกล้มากขึ้น เขาจึงได้มองเห็นรอยสีดำที่คล้ายกับรอยตราประทับพวกนั้นชัดมากขึ้น

พวกมันราวกับประกอบขึ้นด้วยตัวอักขระพิเศษและสัญลักษณ์ประหลาด

เมื่อกวาดตามองอย่างรวดเร็ว ลูมิแอร์พบว่ามันเป็นสิ่งที่ค่อนข้างคุ้นตา

หน้าอกด้านซ้ายของกีโยม เบอเน็ตบาทหลวงประจำโบสถ์ มีสัญลักษณ์ที่เหมือนหนามสีดำเจาะออกมาจากข้างในแล้วอ้อมไปที่ด้านหลัง!

นี่เหมือนกับรอยบนหน้าอกของลูมิแอร์ไม่มีผิด เพียงแต่มันจางกว่ามาก

“เขาก็มีด้วยเหรอ?”

ลูมิแอร์หัวใจกระตุกวูบ

“นี่ก็คือต้นตอของความผิดปกติในหมู่บ้าน?

“แล้วทำไมฉันถึงมีล่ะ… มีมาตั้งแต่เมื่อไหร่?

“…”

ความคิดแต่ละเรื่องผุดวาบขึ้นในหัวลูมิแอร์อย่างรวดเร็ว แต่นั่นมิได้ส่งผลกระทบต่อการกระทำของเขา

เขารีบพุ่งเข้าใส่ด้านหน้าของกีโยม เบอเน็ต เหยียดมือขวาออกไปโอบรัดศีรษะของศัตรู

เขาไม่ได้หยุดตัวเองไว้เพียงเท่านั้น แต่ออกแรงเหวี่ยงตัวต่อไปที่ด้านหลังของบาทหลวงประจำโบสถ์ต่อทันที

เสียงเป๊าะดังขึ้น ศีรษะกีโยม เบอเน็ต ‘หมุน’ เปลี่ยนทิศ หันมาทางด้านเดียวกับกระดูกสันหลังของตัวเอง

ฟู่… ลูมิแอร์เห็นดังนี้จึงได้ถอนใจโล่งอกอย่างเงียบๆ

ปัญหาใหญ่ที่สุดถูกจัดการเรียบร้อย ตอนนี้ถึงเวลาที่ตนต้องรีบกลับบ้านโดยด่วน แล้วหนีไปพร้อมกับพี่สาว เรื่องที่เหลือก็ปล่อยให้คนต่างถิ่นทั้งสามคนนั่นจัดการต่อกันเองก็แล้วกัน!

แต่แล้วในตอนนี้นี่เอง กีโยม เบอเน็ตที่ควรเสียชีวิตไปแล้วกลับลืมตาขึ้น

ดวงตาเขาแดงก่ำด้วยเส้นเลือด

ฉัวะ!

ศีรษะลูมิแอร์ราวกับถูกคนใช้ขวานจามจนแยกเป็นสองเสี่ยง ความเจ็บปวดรุนแรงที่ถาโถมเข้าใส่ทำให้เขาแม้แต่จะกรีดร้องก็ยังไม่อาจทำ

ทุกสรรพสิ่งในครรลองจักษุพังทลายแตกสลายกลายเป็นความดำมืดมิด

เขาสิ้นสติไป

* * * * *

เจ็บ!

เจ็บชะมัด!

ลูมิแอร์ลุกพรวดขึ้นมานั่ง ลืมตา ยกมือลูบศีรษะ

เขามองไปก็เห็นโต๊ะไม้ริมหน้าต่าง เก้าอี้เอน รวมถึงตู้เสื้อผ้ากับชั้นหนังสือเล็กๆ ที่ตั้งอยู่สองฟาก

ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่คุ้นเคยเป็นอย่างมาก

ที่นี่ก็คือห้องนอนของเขานั่นเอง

“พี่ช่วยฉันกลับมางั้นเหรอ? ฉันสลบไปนานแค่ไหน? สถานการณ์ในโบสถ์เป็นไงบ้าง?” ลูมิแอร์ไม่มัวใส่ใจเรื่องพวกนี้ เขาจำเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทั้งหมด รีบลุกลงจากเตียงทันที กุมศีรษะออกจากห้อง

เขามาถึงชั้นหนึ่งอย่างรวดเร็วและได้พบกับโอรอร์อยู่ตรงนั้น

โอรอร์สวมชุดกระโปรงสีฟ้า กำลังตระเตรียมอาหารเย็นอย่างจริงจังตั้งใจ

“โอรอร์! พี่! รีบหนีเร็วเข้า!” ลูมิแอร์ตะโกนเสียงดัง “บาทหลวงแล้วก็คนในหมู่บ้านเสียสติไปหมดแล้ว พวกเขาฆ่าเอวาหลังจากเสร็จพิธีเฉลิมฉลอง!”

เขาไม่แน่ใจว่าพี่สาวรู้หรือไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ถึงอย่างไรวิธีช่วยเหลือก็มีหลายวิธี ไม่จำเป็นต้องเข้าไปยังสถานที่เกิดเหตุด้วยตนเอง ดังนั้นเขาจึงรีบบอกเล่าจุดสำคัญออกไปโดยตรงเพื่อไม่ให้เสียเวลา

โอรอร์กลับหลังหันมาเอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงงสงสัย

“พิธีเฉลิมฉลอง?

“เฉลิมฉลองเทศกาลมหาพรตน่ะเหรอ?”

“ใช่” ลูมิแอร์ผงกศีรษะอย่างแรง

โอรอร์หัวเราะ

“แต่งเรื่องได้ไม่เลวนี่ สามารถสรุปเรื่องประหลาดทั้งหมดจบได้ในสองประโยค ทำให้กลัวจนขนหัวลุกเลยเชียว

“แต่ว่านะ ครั้งต่อไปที่แต่งเรื่องก็ช่วยใส่ใจหน่อยสิ เทศกาลมหาพรตน่ะ ยังเหลืออีกตั้งหลายวันกว่าจะถึง”

“…” ลูมิแอร์ถึงกับตกตะลึงไปชั่วครู่

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

บ่วงชะตากรรม : ราชันเร้นลับ 2

ตอนที่ 9 นิตยสาร

ตอนที่ 15 พูดคุยสอบถามข้อมูล