ตอนที่ 28 กฎ
ราชันเร้นลับ (ราชันโลกพิศวง) ภาคสอง : บ่วงชะตากรรม
ตอนที่ 28 กฎ
※ ※ ※ ※ ※
ดวงตาของนกฮูกตัวนั้น ตาขาวสีน้ำตาลเหลืองกับตาดำของมันราวกับเรืองแสงขึ้นเล็กน้อยในตอนกลางคืน การมองดูลูมิแอร์ของมันก็ใกล้เคียงกับคำว่าจ้องมองมาก
ลูมิแอร์ไม่ได้หวาดกลัวเหมือนกับสองครั้งก่อนอีกแล้ว เขาด่าออกไปด้วยเสียงทุ้มลึก
“มองอะไรของแก?
“ถ้ามีอะไร แน่จริงก็พูดออกมาสิ!”
เขาไม่ได้มีเจตนาต้องการยั่วยุนกฮูกที่อยู่เบื้องหน้านี้ให้ได้หรอก เพียงแค่คิดจะใช้วิธีนี้กระตุ้นให้อีกฝ่ายแสดงวัตถุประสงค์ที่แท้จริงออกมาก็เท่านั้น ไม่อย่างนั้นแล้วกลางค่ำกลางคืนจู่ๆ มันก็บินมายืนจ้องตัวเองแบบนี้ ทำเอาตกใจกลัวขนหัวลุกไปหมด
นกฮูกตัวนั้นยังคงนิ่งเงียบ ไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมาแม้แต่แอะเดียว
ผ่านไปไม่กี่วินาทีมันก็กางปีกออกอีกครั้งแล้วบินหายลับไปในราตรีอันมืดมิด
“ไอ้โรคจิตเอ๊ย!” ลูมิแอร์ด่าไล่หลังไป ในใจไม่กล้าผ่อนคลายลงแม้แต่นิดเดียว
เขายังคงจ้องมองไปด้านนอกอย่างใจจดใจจ่อ พยายามจำแนกเงาดำมืดในห้วงราตรี
เขายังจำได้แม่นว่าครั้งก่อนหลังจากที่นกฮูกมาหา ตนเองก็เห็นร่างนาโรคา แล้วพอรุ่งสางก็ได้รับข่าวการตายของนาโรคา
ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะมีเรื่องอะไรแบบนั้นอีกหรือเปล่า… ลูมิแอร์เฝ้ามองอย่างจริงจังตั้งใจแต่ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ
เขาถอนใจโล่งอก รูดม่านปิด แล้วเอนหลังทิ้งตัวลงบนเตียง
ท่ามกลางความมืดมิดนั้น ลูมิแอร์ลืมตาโพลง ใคร่ครวญถึงแผนที่จะดำเนินการ
“ไม่รู้ว่านกฮูกตัวนั้นมันต้องการจะทำอะไรกันแน่… มันทำอะไรแปลกๆ แถมยังลึกลับอีกด้วย ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน…
“แต่ไม่ว่าจะยังไง จากสถานการณ์หมู่บ้านในตอนนี้ ฉันต้องรีบพาโอรอร์ออกไปให้เร็วที่สุด ฉันไม่เชื่อหรอกว่าหลังจากนี้มันจะยังตามไปที่เทรียร์ได้อีก!
“พรุ่งนี้ถ้ายังไม่ได้รับโทรเลขตอบกลับอีกล่ะก็ เช้าวันมะรืนต้องหนีออกจากกอร์ดูแล้ว…
“ถ้ามีโทรเลขมา งั้นฉันกับโอรอร์ก็จะลงเขาด้วยถนนหมู่บ้านอย่างสง่าผ่าเผย แต่ถ้าไม่… อืม…พรุ่งนี้ก็เป็นเทศกาลมหาพรตแล้ว วันมะรืนทุกคนยังฉลองกันอยู่ ไม่น่าจะมีใครมาสนใจ งั้นก็ให้โอรอร์ไปหามาดามปัวริสเพื่อขอยืมม้าน้อยของเธอ เอาไปขี่เล่นที่ทุ่งหญ้าบนภูเขาแถวๆ นี้ ไม่ต้องลงเขาไป ทำให้ไม่เหมือนว่าจะออกจากกอร์ดู แบบนี้ก็ไม่น่าจะทำให้พวกผู้ตรวจสอบติดใจสงสัยอะไร พอถึงตอนนั้นก็ค่อยใช้ทางเล็กที่อันตรายหน่อยออกจากเขตภูเขา…
“แต่ที่นั่นก็ไม่ได้เป็นทางจริงๆ หรอก ระหว่างทางมีหลายจุดที่พังกลายเป็นทางขาด ขนาดพวกคนเลี้ยงแกะเองก็ยังไม่กล้าใช้เพื่อลงเขากันเลย แต่ว่าด้วยความสามารถของฉันในตอนนี้น่ะ ข้ามไปได้สบายๆ อยู่แล้ว ส่วนโอรอร์ก็ใช้เวทลอยตัวได้ ข้ามแค่ช่วงสั้นๆ ไม่มีปัญหา แถมยังจะง่ายกว่าฉันเสียอีก…
“ตรงนี้มีความหวังค่อนข้างมากที่จะลอดหูลอดตาพวกผู้ตรวจสอบไปได้…”
หลังจากที่ได้เป็น ‘นักล่า’ แล้วเขาก็สามารถทำในหลายสิ่งหลายอย่างที่ก่อนหน้านี้ไม่อาจทำได้ นี่ทำให้ลูมิแอร์มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม จึงกำหนดแผนการออกมาได้อย่างรวดเร็ว
จิตใจเขามีความแน่วแน่มากขึ้น ร่างกายก็สงบนิ่งลงไปไม่น้อย จึงเข้าสู่ห้วงนิทราได้อย่างง่ายดาย
* * * * *
เช้าวันถัดมา ลูมิแอร์ตื่นแต่เช้า ลงมาง่วนอยู่ในครัว
เมื่อคิดถึงว่าตนเองได้กลายเป็นผู้วิเศษไปแล้ว คิดถึงว่าจะได้ออกจากหมู่บ้านกอร์ดูที่เต็มไปด้วยความผิดปกติพร้อมกับพี่สาว เขาจึงค่อนข้างอารมณ์ดี ครึ้มอกครึ้มใจเสียจนฮัมเพลงออกมา
ตอนที่โอรอร์ลงมาถึงชั้นล่าง บะหมี่เนื้อสับสองชามก็วางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อย
“ทำไมนายถึงรู้ล่ะว่าฉันกำลังจะตื่น?” เธอถามด้วยความเป็นปลื้ม
ลูมิแอร์พูดด้วยรอยยิ้ม
“พอได้ยินเสียงมาจากในห้องน้ำฉันก็เลยเริ่มลงมือทำบะหมี่น่ะ”
ขณะเดียวกันเขาก็แอบพึมพำอยู่ในใจ
คงไม่รู้ตัวล่ะสิว่าตามปกติพอตื่นนอนมาแล้วเธอก็ยังงัวเงียอยู่ตั้งพักหนึ่งเป็นประจำ
โอรอร์ผงกศีรษะ ขณะนั่งลงที่โต๊ะก็เอ่ยถามอย่างไม่ได้จริงจัง
“กลางดึกเมื่อคืนนกฮูกตัวนั้นก็บินมาอีกแล้วเหรอ?”
“อื้อ” ลูมิแอร์รู้ว่านี่เป็นเพราะพี่สาวพบว่าตนเองนั้นดึกดื่นค่อนคืนไม่ยอมนอนแต่ไปมองอยู่ริมหน้าต่างนั่นเอง
ดีที่เจ้านกฮูกตัวนั้นดันโผล่ออกมาจริงๆ ไม่อย่างนั้นตนเองก็ไม่รู้ว่าจะหาข้ออ้างอะไรไปแก้ตัวกับพี่สาว
จะให้บอกว่าพอได้เป็นผู้วิเศษเลยตื่นเต้นจนนอนไม่หลับก็คงไม่ได้ใช่ไหมล่ะ?
ขืนพูดออกไปแบบนั้นก็คงไม่แคล้วโดนพี่สาวเทศนาชุดใหญ่แหง
แต่ลูมิแอร์ก็ไม่ได้คิดจะปิดบังพี่สาวไว้นานนัก เพราะมันจะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของโอรอร์ในหลายๆ เรื่อง
เขาเตรียมจะบอกเรื่องนี้กับพี่สาวตอนที่กำลังหนีออกจากกอร์ดูในวันมะรืน เธอจะได้ไม่ต้องแบ่งสมาธิมาคอยห่วงคอยพะวงกับตนเอง
ในตอนนั้นกำลังเป็นช่วงฉุกละหุก โอรอร์คงไม่ว่างมาเทศนาเขาหรอกน่า
“นกฮูกประหลาด…” โอรอร์ขมวดคิ้ว ใบหน้างุนงงสงสัย
เธอไม่เข้าใจว่านกฮูกตัวนั้นคิดจะทำอะไรกันแน่ แต่ละครั้งที่มาก็แค่มาดูเฉยๆ
ลูมิแอร์สูดบะหมี่สวบๆ เขารอจนใกล้กินเสร็จแล้วจึงได้พูดกับโอรอร์
“ถ้ามีโทรเลขตอบกลับ เย็นวันนี้พวกเราจะออกจากกอร์ดูกันเลย ใช้ทางที่ลงเขากันตามปกติ
“แต่ถ้าไม่มีโทรเลขตอบกลับ พรุ่งนี้เช้าเธอไปหามาดามปัวริสขอยืมเจ้าม้าน้อย พวกเราจะไปทุ่งหญ้าบนภูเขาที่ใกล้ที่สุด ฉันรู้ว่าที่นั่นมีทางเล็กๆ เส้นหนึ่งที่ใช้ลงเขาไปได้ พวกผู้ตรวจสอบนั่นไม่รู้จักทางเส้นนี้แน่นอน”
โอรอร์ใช้นิ้วมือม้วนผมเล่น ไตร่ตรองในรายละเอียด
ผ่านไปครู่หนึ่งเธอก็คลี่ยิ้มออกมา
“ได้สิ แผนนี้มีโอกาสสำเร็จค่อนข้างสูง”
จากนั้นเธอก็จุ๊ปาก
“น้องชายจอมทึ่มของฉันโตแล้วสินะ”
ลูมิแอร์รู้สึกเป็นสุขขึ้นมาในชั่วขณะและค่อนข้างภาคภูมิใจ
* * * * *
หลังรับประทานมื้อเช้าเสร็จ เขาก็หาข้ออ้างจะไปดูว่าเอวาเตรียมพร้อมสำหรับขบวนพาเหรด ‘นางฟ้าฤดูใบไม้ผลิ’ แล้วหรือยัง เขาออกจากอาคารสองชั้นกึ่งใต้ดินตรงไปยังร้านเหล้าเก่า
หลังจากได้เป็นผู้วิเศษแล้วเขาก็กระหายใคร่อยากเรียนรู้ให้มากขึ้น
และผู้หญิงคนนั้นก็รับปากแล้วว่าจะบอกเขา!
เมื่อเดินมาถึงบริเวณที่อยู่ไม่ห่างจากร้านเหล้าเก่าเท่าไร ลูมิแอร์ก็เห็นคนรู้จักเดินตรงมา
นั่นก็คือป็องส์ เบอเน็ตผู้เป็นน้องชายของบาทหลวงประจำโบสถ์ เขาสวมเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายกับแจ็กเกตตัวสั้นสีฟ้าเข้ม
“มีแค่คนเดียว…” ลูมิแอร์คิดถึงเมื่อครั้งก่อนที่ถูกป็องส์ เบอเน็ตพาลูกน้องวิ่งไล่กวดตัวเองไปครึ่งค่อนหมู่บ้าน ใบหน้าอดเกิดรอยยิ้มสดใสขึ้นมาไม่ได้
เขาที่เพิ่งได้รับพละกำลังเหนือมนุษย์มา เดิมทีก็กระหายใคร่อยากทดสอบอยู่แล้ว กำลังคิดอยู่ว่าจะหาใครมาลองซ้อมดูเสียหน่อย
“เฮ้ ว่าไง เจ้าลูกเมียน้อยของฉัน” ลูมิแอร์ทักทาย “แกกล้าดียังไงถึงออกจากบ้านไปไหนมาไหนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากพ่อแกคนนี้น่ะ?”
เขาวางแผนจะยั่วโมโหป็องส์ เบอเน็ตให้เขาเป็นฝ่ายเข้ามาหาเรื่องเอง เพื่อไม่ให้พอเจอหน้ากันแล้วจะรีบเผ่นหนีไปเสียก่อน
ป็องส์ เบอเน็ตมองตามเสียงมาก็เห็นเขาเข้า
สีหน้าเจ้าอันธพาลนั่นเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะกลับหลังหันแล้วเผ่นเตลิดไปทันที
ไอ้บ้าเอ๊ย… ลูมิแอร์เห็นเจ้าหมอนี่หายลับไปในทางแยกที่อยู่ไม่ไกลก็ได้แต่ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น
“เผ่นแน่บเร็วขนาดนี้เชียว…
“อะไรจะระวังตัวขนาดนั้น…”
ลูมิแอร์ได้แต่ทอดถอนใจอย่างเงียบๆ
ถึงแม้ว่าก่อนที่เขาจะกลายเป็นผู้วิเศษก็เชื่อว่าตัวเองนั้นสามารถใส่เดี่ยวๆ กับป็องส์ เบอเน็ตได้ก็จริง และดูเหมือนว่าป็องส์ เบอเน็ตเองก็อาจคิดแบบเดียวกันด้วยว่าสามารถคว่ำเขาได้ แต่ถึงอย่างไรคนทั้งคู่ก็ไม่เคยลุยกันตัวต่อตัวเสียที เพียงแค่ต่างฝ่ายต่างก็มั่นใจในตัวเองเท่านั้น แต่ที่ไหนได้ วันนี้พอป็องส์ เบอเน็ตแค่เห็นหน้าเขาเข้าก็เผ่นแน่บไปเสียแล้ว ทำอย่างกับว่าจู่ๆ ก็มาจ๊ะเอ๋กับสัตว์ร้ายเข้าอย่างไรอย่างนั้นแหละ
เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่เขาจะรู้ว่าเมื่อคืนฉันแอบไปเป็นผู้วิเศษมาแล้วน่ะ… อย่าบอกนะว่าเจ้าหมอนี่มันทึ่มจนไม่มีสมอง ใช้แค่สัญชาตญาณของสัตว์ป่าก็ได้กลิ่นอันตรายแล้ว? ลูมิแอร์เหน็บแนมป็องส์ เบอเน็ตอยู่ในใจ
เขาไม่ได้พยายามจะไล่กวดตามไป เพราะหลังจากที่เมื่อครู่นี้หลุดปาก ‘ทักทาย’ ออกไปแล้ว เขาก็ได้แต่เสียใจว่าไม่น่าเลย
ตอนนี้หมู่บ้านมีแต่เรื่องผิดปกติอยู่เต็มไปหมด สถานการณ์ค่อนข้างอันตราย ก่อนที่จะออกจากที่นี่ไปได้จริงๆ ก็ไม่ควรอยู่ดีไม่ว่าดี ไปแกว่งเท้าหาเสี้ยนเพิ่มอีก!
เกิดว่าการทุบตีป็องส์ เบอเน็ตทำให้บาทหลวงประจำโบสถ์กับพวกเริ่มแผนการก่อนเวลา นั่นจะส่งผลกระทบต่อการหลบหนีของตัวเองและโอรอร์เข้าอย่างใหญ่หลวง แบบนั้นถึงลูมิแอร์อยากร้องไห้ก็คงร้องไม่ออกแล้ว
นอกจากนี้พวกบาทหลวงประจำโบสถ์นั่นก็ดูลึกลับ ไม่แน่ว่าป็องส์ เบอเน็ตเองก็อาจจะมีอะไรผิดปกติด้วยเหมือนกัน ลูมิแอร์รู้สึกว่าหากตนเองลงมือกับเขาเข้าจริงๆ ก็เป็นไปได้ว่าจะถูกเปิดโปงตัวตนของผู้วิเศษ ทำให้เรื่องราวต่อจากนี้ต้องยุ่งยากแล้ว
“การได้กลายเป็นผู้วิเศษทำให้เกิดความลำพองตัวและยโสเกินไปจนควบคุมตัวเองได้ไม่ดีเท่าไหร่…” ลูมิแอร์ทำการสำรวจตัวเองในเชิงลึก จากนั้นจึงเดินเข้าไปในร้านเหล้าเก่า
เขาตั้งใจจะตรงขึ้นไปที่ชั้นสองเลย แต่ก็เห็นเข้าเสียก่อนว่าผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่ที่หัวมุม
วันนี้เธอสวมชุดกระโปรงสีเทาไข่มุกและหมวกคลุมหน้าสุภาพสตรีสีอ่อน แต่ครั้งนี้เบื้องหน้าเธอนั้นไม่ได้มีอาหารอะไรอยู่
“กินมื้อเช้าเสร็จแล้วเหรอ?” ลูมิแอร์เดินเข้าไปแล้วนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม
“ยังไม่ได้กิน” ผู้หญิงคนนั้นตอบกลับอย่างไม่จริงจัง “วันนี้มีนัดน่ะ จะรอให้เธอมาก่อน”
เธอ? งั้นก็ไม่ได้รอฉันอยู่น่ะสิ… ลูมิแอร์หันไปมองรอบๆ นอกจากเจ้าของร้านเหล้าแล้วก็ไม่มีใครอื่นอีก
เขาหันกลับไปที่ผู้หญิงคนนั้นแล้วพูดอย่างจริงจัง
“ผมกลายเป็น ‘นักล่า’ เรียบร้อยแล้วล่ะ”
ถึงเวลาที่คุณต้องทำตามสัญญาแล้วนะ อธิบายความรู้มาให้ฉันซะโดยดี
ผู้หญิงคนนั้นไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย เธอคลี่ยิ้มจางๆ
“สภาพไม่เลวเลยนี่”
เธอหยุดไปอึดใจ แล้วจู่ๆ ก็พูดด้วยเสียงเลื่อนลอย
“ในเวลานี้ สิ่งจำเป็นที่คุณต้องทำคือจำกฎสองข้อให้ขึ้นใจ กับอีกหนึ่งวิธีการ”
ไหงฟังแล้วเหมือนกับมานั่งเรียนฟิสิกส์เลยแฮะ… แต่ลูมิแอร์ก็ไม่กล้าพูดออกมา
ผู้หญิงคนนั้นพูดต่อ
“สำหรับผู้วิเศษส่วนใหญ่ ความรู้ในเรื่องนี้มีค่ามหาศาล ต่อให้ต้องเอาทุกสิ่งทุกอย่างมาแลกก็ยินดี แต่สำหรับคุณน่ะ เป็นเพราะโชคชะตาจัดสรร งั้นฉันจะบอกให้ฟรีๆ ก็แล้วกัน”
ของฟรีนั่นแหละแพงที่สุด ฉันจะไปเอาที่ไหนมาจ่าย? ลูมิแอร์รู้สึกหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูก
หลังจากที่ได้กลายเป็น ‘นักล่า’ แล้ว การหยั่งรู้และการสังเกตของเขาก็เฉียบคมขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ในเวลานี้เขารู้สึกได้ถึงอารมณ์พิเศษที่อธิบายไม่ถูกจากนัยน์ตาของผู้หญิงตรงหน้าที่ปรากฏขึ้นมาอีกครั้งได้อย่างชัดเจน ทั้งยังเข้มข้นยิ่งกว่าครั้งก่อนๆ อีกด้วย เพียงแต่เขายังไม่อาจแยกแยะได้ว่ามันคืออารมณ์อะไรกันแน่
ผู้หญิงคนนั้นนั่งตัวตรงขึ้นเล็กน้อย
“ต้นตอของพลังวิเศษทั้งหมดทั้งมวลล้วนสามารถสืบย้อนกลับไปถึงปฐมบรรพผู้สรรค์สร้าง คุณเป็นสาวกแห่ง ‘สุริยันนิรันดร’ ก็ควรเข้าใจอย่างกระจ่างแล้วว่าดวงตาของท่านผู้นั้นแปรเปลี่ยนเป็นพระอาทิตย์ได้”
“ใช่” ลูมิแอร์เคยได้ยินบาทหลวงประจำโบสถ์เทศน์มาก่อน
“ที่จริงแล้วนั่นเป็นการบรรยายความในเชิงสัญลักษณ์แบบหนึ่ง” ผู้หญิงคนนั้นอธิบายอย่างง่ายๆ “สรุปก็คือปฐมบรรพผู้สรรค์สร้างองค์นั้นได้สร้างโลกใบนี้ขึ้นมา และได้สร้างทวยเทพอีกไม่น้อย สุดท้ายก็แยกสลายโดยพระองค์เอง กลายมาเป็นคุณลักษณ์พิเศษของเส้นทางต่างๆ
“ดังนั้นถึงได้เรียกว่าเป็น ‘เส้นทางของทวยเทพ’ สินะ?” ลูมิแอร์พลันกระจ่างขึ้นในทันที
ผู้หญิงคนนั้นผงกศีรษะเบาๆ
“ถูกต้อง… ลำดับ 0 ของแต่ละเส้นทางก็คือเทพที่แท้จริง อย่างเช่นลำดับ 0 ของเส้นทาง ‘นักขับขานลำนำ’ ก็คือ ‘สุริยัน’ หรือที่สาวกอย่างพวกคุณเรียกว่า ‘สุริยันนิรันดร’ นั่นแหละ”
สุดท้ายแล้วผู้วิเศษทุกคนก็สามารถกลายเป็นเทพได้งั้นเหรอ? ลูมิแอร์ตื่นตระหนกอย่างยิ่ง
ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกยินดีระคนหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก
หากว่าเขาเป็นสาวกที่เคร่งศาสนาของ ‘สุริยันนิรันดร’ ล่ะก็ ในเวลานี้จะต้องกล่าวโทษผู้หญิงคนที่อยู่ตรงหน้านี้ว่าลบหลู่ดูหมิ่นองค์เทพไปแล้ว แต่น่าเสียดายที่เขาไม่ใช่ เขาเป็นประเภทที่ว่าในเมื่อทุกคนศรัทธา งั้นฉันศรัทธาด้วยก็ได้ ที่จริงแล้วจะศรัทธาหรือเปล่าก็ไม่เห็นจะเป็นไร
เขาถามต่ออีก
“แล้วลำดับ 0 ของเส้นทาง ‘นักล่า’ ล่ะ คืออะไร? เส้นทาง ‘ผู้สอดส่องความลับ’ ด้วย”
“ก็ ‘นักบวชสีชาด’ ไงล่ะ ฉันบอกคุณไปแล้วไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้ตำแหน่งนั่นยังว่างอยู่” ผู้หญิงคนนั้นหัวเราะโคลงศีรษะ “ส่วนเส้นทาง ‘ผู้สอดส่องความลับ’ ลำดับ 0 ชื่อว่า ‘เฮอร์มิต’ ปัจจุบันถูกยึดครองโดยเทพปีศาจองค์หนึ่ง นามว่า ‘ปราชญ์เร้นกาย’ พระองค์โปรดปรานการปลูกฝังความรู้ให้กับผู้วิเศษในเส้นทางเดียวกันเป็นอย่างมาก คำเรียกอย่างเป็นทางการของกระบวนการนี้ก็คือ ‘วิทยาไล่ล่ามนุษย์’ ปัญหาส่วนใหญ่ของพี่สาวคุณก็เป็นเพราะเรื่องนี้นี่แหละ”
“อย่างนี้นี่เอง…” ลูมิแอร์เริ่มเกลียด ‘ปราชญ์เร้นกาย’ ขึ้นมาตงิด
ผู้หญิงคนนั้นดึงหัวข้อสนทนาให้กลับมาที่เดิม
“เป็นเพราะว่าคุณลักษณ์พิเศษล้วนแต่มาจากองค์ปฐมบรรพผู้สรรค์สร้างทั้งสิ้น ดังนั้นพวกมันจึงไม่สูญสลายหายไปไหน และก็จะไม่มีเพิ่มมากกว่านี้ด้วย เพียงแค่เปลี่ยนจากสถานภาพหนึ่งกลายเป็นอีกสถานภาพหนึ่ง ถ่ายโอนจากวัตถุหนึ่งไปสู่อีกวัตถุหนึ่งเท่านั้น
“นี่เรียกว่ากฎแห่งการไม่อาจถูกทำลายของคุณลักษณ์พิเศษ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น